“น้ายนาย”
เสียงเล็ก ๆ สดใสร่าเริงดังขึ้นพร้อมกับโบกมือลาสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกีสี่ตัวของลูกค้าที่หอบเอาขึ้นท้ายรถมารับผลไม้ที่สวนของเธอ คู่รักต่างวัยแวะมาอุดหนุนหลายครั้งแล้ว พวกเขาทำผลไม้ตากแห้งขายออนไลน์ พอได้กำไร พออยู่ พอกิน ประไพพรรณีพูดคุยกับพวกเขาอยู่นาน เพราะตัวเธอเองมีความคิดอยากทำแบบนั้นด้วย แล้วถึงหมุนหน้ามามองยังเจ้าของเสียงลาที่ข้างตัว
“บ๊ายบายลูก”
ประไพพรรณีพูดคำที่ถูกต้อง ย้ำให้ลูกสาวพูดตามให้ชัดเจน แต่เด็กหญิงก็เอาแต่มองหน้าเธอแล้วกะพริบตาปริบ ใครมองก็ว่าน่าเอ็นดู น่าหลงใหล ไม่เว้นแม้แต่คนเป็นแม่ที่ยืนมองดูลูกของตนด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความรัก
“บ๊าย บาย” เสียงเล็ก ๆ พูดตามเธอ
“เก่งมาก” เธอชมลูกจากใจจริง แล้วจับให้ลูกหมุนตัวเข้าบ้านไปด้วยกัน แม่ตัวน้อยของแม่บอกหน้างอตอนเดินตามแรงของแม่เข้าบ้าน
“น้องก็รู้ แต่น้องอยากพูดว่าน้ายนาย”
“เถียงเก่งที่หนึ่ง” ประไพพรรณีส่งเสียงดุ ตำหนิปนหยอกเย้าลูกสาวของเธอ “ไม่รู้ว่าไปเอาคำพูดผิด ๆ เพี้ยน ๆ พวกนี้มาจากที่ไหน สงสัยต้องงดดูการ์ตูน งดเข้าไปดูอะไรใน YouTube บ้างแล้วล่ะมั้งแม่ว่า”
คนกำลังจะโดนงดเสพย์สื่อหน้าตึงหนักกว่าเดิม ตอบแม่กลับไป “ถ้าน้องโตแล้ว น้องจะไม่ทำแบบนี้กับลูกสาวของน้องเด็ดขาด”
“จ๊ะ รอให้หนูโตกว่านี้ก่อนเถอะ แล้วจะเปลี่ยนคำพูด”
ประไพพรรณีพูดตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แล้วเปลี่ยนอารมณ์ของลูกสาวตัวดีด้วยการถามถึงเมนูเย็นนี้
“วันนี้น้องจะกินอะไรดี”
“น้องหนากนิน…ไหน่เนียว”
อีกแล้ว ประไพพรรณนึกอย่างเหนื่อยหน่ายใจพร้อมกับกลอกตามองบน “พูดไม่ถูกก็จะทำเมนูที่แม่เข้าใจให้กินก็แล้วกัน แครอทผัดกับบล็อคโคลีกับหอมใหญ่ใช่ไหม”
แม่หนูตัวน้อยแหงนหน้ามองหน้าพร้อมกับทำหน้าเบ้ “แน่”
“ไปกันใหญ่เลยคราวนี้ แม่ไปดีกว่า” ประไพพรรณีบ่นแล้วทำท่าจะเดินหนีไปทางนอกบ้าน แม่ตัวดีรีบวิ่งมาขวางหน้าเธอไว้ทันที กอดขาพร้อมกับเรียกอ้อน ๆ
“แน่”
ประไพพรรณีทำท่าเปลี่ยนทิศทางจะเดินหนีเข้าไปในบ้านแทนเพื่อแกล้งลูกเล่น และแม่ตัวดีของเธอก็รู้ดีว่าแบบนี้คือแม่แกล้งตนเข้าแล้ว ในบ้านเลยแว่วเสียงหยอกล้อ เสียงหัวเราะดังอยู่แบบนั้นเป็นนาน
หากว่าประไพพรรณีไม่เคยได้พบกับนักบำบัดการพูดมาก่อน เธอคงวุ่นวายใจมากกว่านี้ ที่ลูกสาวของเธอเอาแต่พูดจาแปลก ๆ ชอบแทนทุกคำด้วยตัวอักษร นอ หนู
‘น้องอาจจะพูดไปอย่างนั้นเองก็ได้นะคะคุณแม่’
‘ใช่ค่ะหมอ เพราะบางทีเขาก็พูดคำที่ถูกต้องได้นะคะ’
‘หรืออีกอย่าง’
‘คะ?’
“อาจเป็นกรรมพันธุ์ก็ได้ค่ะ ไม่ทราบว่าทางคุณแม่หรือคุณพ่อตอนเด็ก ๆ มีอาการแบบนี้ไหมคะ’
ประไพพรรณีนึกถึงตอนที่เธอปรึกษาแพทย์ และแพทย์ส่งไปคุยกับนักบำบัดการพูดอีกทอดหนึ่ง เมื่อได้พูดคุยกับนักบำบัดแล้ว นักบำบัดซักถามถึงต้นสายปลายเหตุ ถามไปถึงพ่อกับแม่อีกทีหนึ่ง เรื่องนี้เธอเองก็เคยสงสัย จึงนำความสงสัยนี้ไปถามตา ยาย พ่อและแม่ พวกท่านฟังสิ่งที่เธอสงสัยแล้วก็พากันส่ายหน้า บอกว่าไม่มีใครเป็นแบบนี้มาก่อน
ประไพพรรณีคิดทบทวนดี ๆ แล้วอดนึกไปถึงสายเลือดอีกครึ่งหนึ่งของลูกสาวไม่ได้ หรือบางทีอาจเหมือนทางพ่อของเขา
‘หรือบางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้ค่ะคุณแม่’ นักบำบัดการพูดบอกให้เธอสบายใจขึ้น ‘น้องอาจดูการ์ตูนมากเกินไปหรือไม่ก็พวกคลิปตลก ๆ ตามอินเตอร์เน็ต แล้วเอามาทำเป็นแบบอย่างก็ได้ค่ะ’
เมื่อได้รับความเห็น ได้คำแนะนำแบบนั้นมาแล้ว ประไพพรรณีจึงสบายใจได้หน่อยหนึ่ง พร้อมกับบอกตัวเองว่าต้องใส่ใจลูกให้มากกว่านี้
‘คงต้องงดใช้อินเตอร์เนต’
หากลูกอยู่กับเธอตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ประไพพรรณีไม่กังวลเรื่องการใช้อินเตอร์เนตเลยสักนิด แต่บางครั้งที่เธอต้องออกไปดูคนงานในสวนบ้าง และไม่สามารถพาลูกไปด้วยได้ นั่นแหละที่เธอเป็นกังวล
เอาเถอะ คงต้องค่อย ๆ ฝึกกันไป รออีกหน่อยอาการแบบนี้ของแม่ตัวดีคงจะหายดีในสักวันหนึ่ง
ประไพพรรณีเดินหยอกล้อหลบลูกสาวตัวดีเข้าไปที่ในครัวเพื่อเตรียมทำอาหารเมนูเย็นนี้ นึกแปลกใจที่ทำไมวันนี้บ้านเงียบ แล้วถึงได้ยินเสียงบ่นของยายกับแม่ดังแว่วเข้ามา เธอจึงเดินเข้าไปฟัง พอจับใจความได้แล้วก็ทำเป็นผ่อนลมหายใจกระแทกหนัก ๆ ออกมาทีหนึ่ง
“ปล่อยตาไปกับพรรคพวกของแกบ้างเถอะ ยายจะบ่นทำไมล่ะ”
“ก็จะไม่ให้ยายบ่นได้ยังไง นี่ไปตีไก่กันอีกแล้ว เดี๋ยวเถอะ จะแจ้งตำรวจให้เข้าไปจับให้หมดเลย”
ประไพพรรณีรู้จักนิสัยของทุกคนในบ้านเป็นอย่างดี แล้วก็สนิทกับตามาก เธอรู้ว่าตาของเธอไม่ได้เอาไก่ไปตีกับเขาหรอก แต่ชอบไปนั่งดู ชอบไปนั่งคุยกับกลุ่มคนตีไก่เสียมากกว่า
รอบก่อนเห็นว่าเจอคนคอเดียวกัน ไปแล้วสนุกดี ครึกครื้น แกเลยไปบ่อย ๆ คิดแล้วก็เห็นใจและเข้าใจตาเป็นอย่างดี
“ไม่ไปก็บ่นว่าอยู่แต่บ้าน พอตาไปยายกับแม่ก็บ่นอีกว่าไปนั่นไปนี่”
“ที่อื่นมีเยอะแยะไม่ไป ชอบไปยุ่มย่ามในที่ของคนอื่นเขา” ยายยวงของเธอบ่น แววตาหนักใจเล็กน้อย เมื่อนึกถึงพฤติกรรมของสามี “รู้ไหมว่าเขาไปตีไก่กันที่ไหน นู่นตรงท้ายไร่ใหญ่ ๆ นู่นเลยนะ จะไม่ให้ยายบ่นได้ยังไง”
ประไพพรรณีพยักหน้าเข้าใจในที่สุด ถึงว่าทำไมต้องบ่น เพราะเจ้าของที่เขาไม่ชอบให้ใครไปยุ่มย่ามในที่ของเขานั่นเอง ก็คงเหมือนอย่างครอบครัวของเธอนี่ไง ประไพพรรณีเข้าใจความกังวลของยายบ้างแล้ว
“เอาเถอะน่า อย่าบ่นเลย ช่วยกันทำกับข้าวดีกว่า”
ประไพพรรณีเปลี่ยนเรื่องคุย เธอชวนยายยวงกับแม่ทำเมี่ยงปลากินกันเย็นนี้ แต่ยายยวงยังไม่หยุดบ่นเรื่องของตาสุนทรอยู่ดี เธอสบตากับแม่แล้วกลั้นยิ้ม รอจังหวะเปลี่ยนเรื่องคุยอีกรอบต่อจากนั้น
เรื่องซื้อขายที่ดินไม่ลงตัว ไม่ใช่ประเด็นให้คนอย่างศศิร์ธาต้องมานั่งเครียด แต่ที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ อาจเพราะเจ้าของที่ดินนั่นต่างหาก ที่กำลังก่อกวนจิตใจของเขาอยู่
แม้เวลาจะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้ว หลังจากได้เจอเจ้าของที่และเจ้าของชื่อแสนเชย ‘ประไพพรรณี’ แต่ศศิร์ธาก็ยังคงวนเวียนนึกถึงหญิงสาวอยู่บ่อยครั้ง
ไม่ใช่ความคิดถึง ก็แค่นึกถึง...เท่านั้น