ศศิร์ธาขมวดคิ้วสงสัยให้กับเสียงที่กระตุ้นแรงเต้นของหัวใจของเขา จนเผลอยกมือขึ้นแตะลงตรงหน้าอกด้านซ้ายเบา ๆ เกิดคำถามว่าทำไมหัวใจของเขาถึงได้กระแทกจังหวะแรงขึ้นแบบนี้ และการได้ยินแต่เพียงเสียง ไม่เห็นหน้าค่าตากัน มันทำให้ศศิร์ธาหงุดหงิดขึ้นในหัวใจ เขาขยับตัวใหม่ ให้พ้นจากรั้วไม้ เพื่อมองให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้น แต่ก็ยังมองไม่เห็น เพราะเจ้าของเสียงเดี๋ยวก้ม เดี๋ยวย่อตัวลงไปขุดดิน ไม่อยู่นิ่งให้เห็นหน้าแบบชัดเจนได้เลย
ศศิร์ธาขยับตัวออกมาจนพ้นจากมุมรั้วอีกครั้ง พาตัวเองออกไปเผชิญกับเจ้าของที่พร้อมพูดขึ้น “รบกวนบอกให้ผมรู้ได้ไหมว่าทำไมคุณถึงไม่อยากขายที่แปลงนี้”
เสียงถามสอดแทรกดังมาจากทางออกของสวน ทำเอาทั้งสี่สาวที่กำลังพรวนดินแปลงผักหันขวับไปมองแทบพร้อม ๆ กัน ทั้งหมดจึงได้เห็นชายแปลกหน้าในชุดคล้ายกันกับพวกเธอยืนจังก้าอยู่ตรงนั้น
ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อและกางเกงยีนแบบที่รู้เลยว่าไม่ใช่ของมือสอง หรือซื้อจากตลาดนัดแถวบ้าน แต่เป็นเสื้อผ้ายี่ห้อดัง รองเท้าบูทของเขาเป็นมันเงาวับ คล้ายกับว่าไม่เคยเหยียบลงบนดินเลยมั้งตั้งแต่แต่งตัวออกจากบ้านมา
ประไพพรรณียืนขึ้นโดยไม่ทิ้งเสียมในมือของเธอลงดิน เธอมองชายคนที่มาเยือน โดยไม่มีใครเชื้อเชิญด้วยสายตาเรียบเฉยเย็นชาดุจน้ำแข็งที่เย็นเยียบและเอาเรื่อง
ทั้งหมดพากันงงกันไปเป็นครู่ และเมื่อคาดเดาได้แล้วจากคำถาม ก็ได้คำตอบในตอนนั้นเองว่าชายแปลกหน้าคนนี้คงเป็นคนที่ต้องการซื้อที่ของพวกตน ไม่เช่นนั้นคงไม่ทักทายด้วยคำถามเรื่องการซื้อขายที่ขึ้นมาหรอก
ประไพพรรณีไม่ได้ตอบคำถามของเขาในทันที เธอโยนคำถามกลับไปด้วยสีหน้าที่อ่านความรู้สึกไม่ออก
“ทุก ๆ คนที่เขามีที่มีทางทำมาหากิน จำเป็นจะต้องอยากขายที่กันทุกคนเลยหรือไง”
“ถ้าราคามากพอกว่ารายได้ทำสวน ขายผัก ขายผลไม้ ผมคิดว่าเจ้าของที่ก็น่าจะอยากขายนะ” ศศิร์ธาตอบเสียงเนิบช้า ยกเอาเหตุและผลประโยชน์ของอีกฝ่ายขึ้นมาพูด เขาจ้องดวงตาของหญิงสาวเจ้าของเสียงนั้นด้วยความสนใจ แววตาเศร้าปนดุสร้างความท้าทายในใจเขาไม่น้อย
ประไพพรรณีที่เป็นคนฟังรู้ในทันทีว่าเขาพูดเพื่อเข้าข้างตัวเขาเองแบบแนบเนียน เธอเบ้ปากใส่ แต่ก็ทำได้ค่อนข้างลำบากอยู่ไม่น้อยเพราะไม่ค่อยได้ทำ ปกติเธอไม่ชอบทำกิริยาลักษณะนี้ใส่ใคร แต่ตอนนี้จำเป็นต้องทำ นั่นเพราะเจอตอใหญ่เข้าให้แล้ว คนพวกนี้ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทอะไรด้วยเลย หากเขาไร้มารยาทมาก่อน
“ไม่มีความจำเป็นจะต้องขาย ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน”
ประไพพรรณีบอกเหตุผลด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เธอส่งสายตาบอกให้คนทั้งหมดทยอยออกไปจากแปลงผัก เมื่อพูดจบประโยคนั้น
ทั้งหมดเห็นสายตาสั่งการของประไพพรรณีแล้วรีบพยักหน้าตอบกลับเธอ พากันเดินออกไปยังบริเวณนอกแปลงผัก
ประไพพรรณีที่อยู่หลังสุดเลยรั้งท้าย คนที่เหลือไปจนพ้นแปลงผักแล้ว เลยเหลือเพียงเธอกับชายแปลกหน้า และเหมือนว่าเขาจะจงใจก้าวมายืนขวางทางออกเธอ
ประไพพรรณีเป็นหญิงสาวที่มีความสูงในระดับที่เรียกว่าเกินมาตรฐานหญิงไทย แต่ผู้ชายคนนั้นกลับสูงมากกว่าเธอเสียอีก เมื่อยืนประจันหน้ากันอย่างนี้แล้ว เลยทำให้เธอต้องแหงนศีรษะขึ้นเล็กน้อยเพื่อเจรจากับเขา
ศศิร์ธามองสำรวจหญิงสาวตรงหน้า สายตาของเขาประเมินเธอเงียบ ๆ แบบที่คนมองสบตาตอบรู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ และเป็นความคิดที่ไม่ได้บริสุทธิ์เลยสักนิด
“คุณต้องการเท่าไหร่ บอกตัวเลขมาได้เลย”
ประไพพรรณีเกลียดคำถามลักษณะนี้ที่สุด หกปีก่อนตอนที่เธอลากสังขารของตัวเองตอนท้องไปหาเขาที่บ้าน ครอบครัวของเขาก็ถามแบบนี้เช่นกัน