บทที่ 1.4 : วาสนาพานพบ

1270 คำ
บทที่ 1.4 วาสนาพานพบ "กินข้าวให้หมด แล้วนอนพักข้าจะไปเก็บผัก" เอ่ยเพียงเท่านั้นเซี่ยอวี้ฉีก็ลุกขึ้นไปหยิบผ้าเก่าของคนป่วยออกไปวัดขนาด ตัวนางนั้นแม้เชี่ยวชาญการยิงธนู ขี่ม้า ทว่างานด้านตัดเย็บกลับทำได้ไม่ดีนัก คาดว่ากว่าเด็กน้อยจะได้ใส่ชุดใหม่ก็คงอีกสามสี่วัน ดังนั้นให้ชุดเก่าของเขาย่ำแย่เพียงใด ก็คงทำได้เพียงลงมือซักตากให้อีกฝ่ายใช้ไปก่อน ไม่รู้ด้วยฤทธิ์ยา หรือเพราะความเอาใจใส่ของสตรีแปลกหน้า หลังจากนอนพักอยู่หนึ่งวันเต็มๆ อาการไข้สูงของหลี่เทียนซินก็ทุเลาลง ยามที่สายตามองเห็นเสื้อผ้าชุดเก่าของตนพับวางไว้ข้างเตียง ก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง หยิบผ้าชุบน้ำในอ่างเล็กเช็ดเนื้อตัวล้างคราบเหงื่อไคลก่อนสวมเสื้อผ้าโดยไม่เอ่ยขอให้ผู้ใดช่วยเหลือ อีกทั้งทุกการกระทำล้วนอยู่บนเตียง ไม่แม้แต่จะหย่อนเท้าลงเหยียบพื้นเรือน มือเล็กลูบไล้บนเสื้อผ้าสีซีดของตน สตรีนางนั้น นางซักผ้าให้เขา ยามที่ได้รับการใส่ใจอีกครั้ง ในใจที่เหน็บหนาวก็พลันรู้สึกอบอุ่น และหวาดกลัวไปพร้อมๆ กัน "ต้มยานี่ให้เขากินอีกสักสามวันก็น่าจะหายดีแล้ว" เสียงสนทนาที่นอกเรือนดึงความสนใจของคนบนเตียง มีคนนำยามาให้เเขา หมอ! นางตามหมอมารักษาเขาหรือ หลี่เทียนซินขยับตัวหมายใจก้าวลงจากเตียงด้วยอยากรู้ว่าตนเองเจ็บป่วยด้วยโรคอันใด ทว่ายามที่นึกถึงประโยคที่สตรีเจ้าของบ้านเอ่ยบอกกับตนเมื่อตอนกลางวัน ขาเล็กก็ขยับกลับขึ้นเตียงดังเดิม "ขอบคุณท่านอามากเจ้าค่ะ ไข่ไก่ตะกร้านี้รบกวนฝากให้ท่านอาหยูด้วยนะเจ้าค่ะ" เซี่ยซือเอินถอนหายใจยาว สตรีนางนี้ช่างรู้จักหาสิ่งตอบแทนนัก เมื่อเช้าเขาไม่รับเงินนางก็มอบชาเหมยกุ้ยให้เขา ยามนี้ยังใช้ชื่อภรรยาของเขามอบไข่ไก่มาอีกหนึ่งตะกร้า ด้วยเหตุผลเช่นนี้แม้เขาไม่อยากรับก็ไม่อาจปฏิเสธ "หากกินยาครบสามวันแล้ว บุตรชายของเจ้ายังไม่หายดีก็ไปบอกข้า ข้าจะมาตรวจดูอีกครั้ง" "ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอามาก" หลังจากออกไปส่งเซี่ยซือเอินแล้ว เซี่ยอวี้ฉีก็เข้าครัวต้มยาในทันที ใช้เวลาอยู่ครึ่งชั่วยามก็แล้วเสร็จก่อนยกมาให้คนป่วย ทว่าทันทีที่เปิดประตูห้องนอนเด็กน้อยที่ควรนอนหลับกลับนั่งสงบนิ่งคล้ายกำลังรอนางอยู่ ในสายตากลมใสเต็มไปด้วยคำถามมากมาย หลี่เทียนซินนั่งนิ่งมือเล็กทั้งสองข้างกำผ้าปูเตียงแน่น ในใจอยากเอ่ยถามสตรีตรงหน้าว่าเขาป่วยด้วยโรคอะไร ร้ายแรงหรือไม่ หากแต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเม้มริมฝีปากเอาไว้ ไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้เพียงครึ่งคำ ตัวเขาไม่กลัวว่าจะเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรง แต่กลัวจะถูกคนตรงหน้ามองว่าเป็นภาระและขับไล่เขา ดังเช่นคนในตระกูลหลี่ “เป็นเพียงไข้ลมเท่านั้นกินยาไม่กี่วันก็หาย” เซี่ยอวี้ฉีปกติเป็นคนไม่ชอบเจรจา เพียงแต่ยามที่เห็นสายตาวิตกกังวลของเด็กน้อยบนเตียง นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอธิบายออกไป “เจ้าชื่อ แซ่อะไร” มือเล็กที่คลายออกเมื่อครู่กำเข้าหากันแน่นอีกครั้ง หากเขาเอ่ยบอกชื่อแซ่ที่แท้จริงออกไป นางย่อมต้องส่งเขากลับตระกูลหลี่ และหากเป็นเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้คงไม่อาจได้ตอบแทนบุญคุณของนาง แต่บิดาเคยสอนเอาไว้เป็นบุรุษมิควรโป้ปด เช่นนี้แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี เซี่ยอวี้ฉีเห็นท่าทางลังเลไม่ยอมเจรจา อีกทั้งลมหายใจยังติดขัด ก็คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ต้องการพูดถึงอดีตของตนเอง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบเตียง วางมือลงบนหลังมือเล็กที่เกร็งสะท้าน “ไม่ว่าในอดีตเจ้าจะชื่อแซ่อะไร นับจากนี้เจ้าคือเซี่ยอวี้เฉิน เป็นบุตรชายของข้า” บุตรชายของข้า คำพูดนี้นางกำลังหมายความว่า... จะรับเขาเป็นบุตรใช่หรือไม่ “อาเฉิน เจ้าจำไว้ให้ดี เจ้าเกิดมาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นบิดา สุขภาพเจ้าอ่อนแอจึงไม่ค่อยได้พบปะผู้ใด หนึ่งปีก่อนท่านยายของเจ้าป่วยหนักข้าจึงพาเจ้ากลับมาที่หมู่บ้านตระกูลเซี่ย” หลังฟังจบหลี่เทียนซินก็พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ในเมื่อนางอยากให้เขาเป็นเซี่ยอวี้เฉิน เขาก็จะเป็นเซี่ยอวี้เฉิน นับจากนี้จะไม่มีคุณชายน้อยบ้านสามตระกูลหลี่ นามหลี่เทียนซินอีก เมื่อเห็นเด็กน้อยว่าง่ายเซี่ยอวี้เฉินก็คลี่ยิ้มกว้าง จับมือเล็กทั้งสองข้างมากอบกุมเอาไว้อย่างอ่อนโยน เรื่องราวโหดร้ายในอดีตของเขานางจะช่วยปลอบโยนเอง "อาเฉินคนดีของแม่ได้เวลากินยาแล้ว" ........................................................................ ผ่านมาสามวันอาการป่วยของเซี่ยอวี้เฉินก็หายดี หลังจากที่วางอาหารเช้าลงบนโต๊ะเล็กกลางบ้านแล้ว เซี่ยอวี้ฉีก็ส่งผ้าพับหนึ่งให้เด็กน้อย ยามที่มือเล็กคลี่ผ้าออกก็พบว่าเป็นชุดใหม่สีฟ้าครามขอบเหลือง ดูจากขนาดตัวแล้วผ้าใหม่ชุดนี้ย่อมเป็นของเขา ดวงตากลมของเด็กน้อยแดงก่ำ หยาดน้ำตาพลันเอ่อคลอก่อนจะขยับลงจากเก้าอี้ ทิ้งตัวลงคุกเข่าพร้อมกับโขกศีรษะแสดงการขอบคุณ เซี่ยอวี้ฉีเร่งเข้าไปประคองเด็กน้อยตรงหน้าให้ลุกขึ้น มองรอยแดงบนหน้าผากเล็กแล้วส่งสายตาตำหนิ ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ต่อไปหากอยากขอบคุณข้าให้เอ่ยคำว่าขอบคุณ ไม่ต้องคุกเข่าเช่นนี้อีกเข้าใจหรือไม่” เด็กน้อยถูกตำหนิทางสายตาก็ก้มหน้ามองต่ำ เม้มริมฝีปากแน่น ที่เขาไม่เอ่ยคำใดกับนางไม่ใช่เพราะไม่อยากเอ่ย แต่เขาหวาดกลัว... กลัวว่ายามที่เขาเอ่ยความต้องการออกไปจะทำให้นางขุ่นเคืองเช่นท่านย่า กลัวว่ายามที่เขาเรียกหานางจะทำให้นางโมโหเช่นท่านป้าใหญ่ กลัวว่ายามที่เขาส่งยิ้มให้นางจะทำให้นางหงุดหงิดเช่นท่านป้ารอง กลัวว่าสุดท้ายแล้วนางจะไม่ต้องการเขา... เขากลัว... กลัวมากจริงๆ “เอาเถิดกับข้าวเย็นหมดแล้ว เร่งกินข้าวกันเถอะ” เซี่ยอวี้ฉีเห็นท่าทางคล้ายแบกท้องฟ้าไว้บนหลังของเด็กน้อยแล้วก็อดที่จะเห็นใจไม่ได้ นางเอ่ยบอกในสิ่งที่นางต้องการให้เขารับรู้แล้ว ส่วนเขาจะเปิดใจรับนางได้ตอนไหนนั้น ให้เป็นเรื่องของระยะเวลา มือเรียวหยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหารวางบนถ้วยข้าวของอีกฝ่าย ก่อนจะหยิบไข่ต้มมาปอกเปลือกให้ ทุกการกระทำล้วนแสดงออกถึงความจริงใจ จนเซี่ยอวี้เฉินค่อยๆ คลายริมฝีปากเล็กที่เม้มออก แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ขอบคุณขอรับ... ท่านแม่” ........................................................................
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม