“เชิญค่ะ”
จุติพนมมือไหว้มารดาของหญิงสาว พร้อมแนะนำผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายให้ได้รู้จักกัน “สวัสดีครับคุณแม่ นี่พ่อผมครับ”
คุณอรทัยยกมือปรามพร้อมบอกเสียงตึงเครียด “อย่าเพิ่งด่วนเรียกแม่กันเลยคุณ”
จุติกระแอมทีหนึ่งแล้วจึงเปลี่ยนคำแนะนำใหม่ “นี่คุณอรทัยครับพ่อ ส่วนนั่นอรนลินครับ”
อรนลินยกมือไหว้ชายคราวพ่ออย่างนอบน้อมแล้วนิ่งเงียบรอฟังการเจรจา
“เข้าเรื่องเถอะค่ะ คุยตรง ๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม ดิฉันมีเวลาไม่มากนัก”
“ครับ ผมมาขอแม่หนูคนสวยให้ลูกชายของผมนั่นแหละ” จตุรงค์เริ่มต้นเจรจาทันที อย่างไม่ต้องการให้เสียเวลามากไปกว่านี้เช่นกัน
“หนูดียังเด็ก ดิฉันยังไม่คิดจะให้ลูกหมั้นหมายกับใคร”
อรทัยยกมือตนเองวางทาบทับกัน ปรายตาเมินไปทางอื่นอย่างไม่ใยดี เธอไม่พอใจมาก ๆ ที่บุตรสาวสุดรัก สุดสวาทขาดใจ เข้ามาบอกว่าจะมีผู้ใหญ่ของชายหนุ่มเข้ามาพูดคุยเรื่องสู่ขอตนเอง
เพราะหากอรนลินจะไม่ได้แต่งงานกับณัฏฐ์แล้ว นางก็ไม่อยากให้แต่งกับใครเลย จะดีเสียกว่า คนเป็นแม่คิดอย่างคนที่เป็นศูนย์กลางจักรวาล
“แต่เด็กมันได้กันแล้วนะคุณ”
จตุรงค์บอกหน้าตาย อรทัยสะดุ้งตกใจ ค่อยเบือนหน้ามาตวัดมองทางบุตรสาวคนเดียวของตนเองเขม็ง
“ไอ้ลูกผมมันก็คงติดใจแม่หนูนี่แหละ มันเลยให้ผมมาขอเป็นเมียแต่ง ดีกว่าเป็นแค่เมียบำเรอนะคุณนาย”
อรนลินก้มหน้าลงมองมือตัวเองอยู่อย่างนั้น นึกเคืองบิดาของจุติที่พูดจาโผงผางเช่นนี้ ใบหน้าสวยใสออกแดงจนร้อนแทบไหม้ จุติกระแอม ส่งสายตายั้งบิดา แต่ก็ไม่ทน นึกจนใจกับปากของท่านที่เป็นคนตรงประเด็นเหลือเกิน
“จริงหรือคะลูก” อรทัยถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
ไม่มีเสียงตอบจากบุตรี แต่คนเป็นแม่ที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกก็รู้ดีว่าคำตอบนั้นคือ ‘ใช่’ อย่างแน่แท้
อรทัยเชิดหน้าสูดลมหายใจอย่างขุ่นเคือง “ถ้าเป็นความจริง ฉันจะแจ้งความว่าลูกชายคุณล่วงละเมิดลูกสาวดิฉัน”
“อู้ย ตำรวจเขาไม่รับแจ้งหรอกคุณนาย เดี๋ยวก็ต้องให้มาไกล่เกลี่ยกันเอง นี่ผมลงทุนมาคุยเองเลยนะ ได้ข่าวว่าคุณนายก็หาผัวไว้ให้ลูกสาวแล้วนี่ครับ ถ้าฝ่ายนั้นรู้ว่าโดนหลอก จะเอาหน้าไปไว้ไหนกันล่ะงานนี้”
อรทัยเงียบแล้วมองหน้าบุตรีนิ่ง อยากบิดให้เนื้อเขียวนักไอ้ที่ฝันนั้นผิดเสียที่ไหน ฝันบอกเหตุจริง ๆ ด้วยว่าจะถูกเพศตรงข้ามข่มเหงรังแกเอา
ลูกหนอลูก
“ว่าไงคะลูก จะแต่งกับเขาไหม”
จุติรีบค้านขึ้นแทน จู่ ๆ ก็นึกกลัวยัยตุ๊กตาหน้าจิ้มลิ้มจะบอกปัด ไม่ยอมแต่งงานด้วย นี่เขาลงทุนขนาดนี้ เพราะกลัวยัยนี่จะตามไปขวางทางรักของเพื่อนเท่านั้นหรอกนะ ไม่มีเรื่องอื่นมาข้องเกี่ยวเลยสักนิด ไม่มี๊
“แต่งเถอะครับ ผมไม่อยากสวมเขาให้เพื่อน”
อรนลินยังนิ่ง ไม่ตอบรับ จนคนที่พาพ่อมาขอชักหงุดหงิดคันยิบ ๆ ในหัวใจ อยากเตะข้าวของที่นึกขวางหูขวางตาขึ้นมาตงิด ๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่ใช่บ้านของตนเอง
“ถ้าเงียบงั้นผมแปลว่าตกลงนะครับ แล้วสินสอดคุณนายจะคิดเท่าไร” เป็นเสียงของคนพ่อที่สรุปความเอาเอง พยายามปิดการขายในท้ายประโยค
“ดิฉันไม่ได้...ขาย...ลูก...กิน...หรอกค่ะ” อรทัยทำน้ำเสียงเฉียบเน้นทีละคำ ใบหน้าเชิดอย่างถือตัวอีกครั้ง จตุรงค์หยิบเช็คในกระเป๋าเสื้อที่ระบุตัวเลขแปดหลัก วางลงบนโต๊ะ แล้วผลักให้คนไม่คิดขายลูกกิน
ตัวเลขในกระดาษ ทำให้ดวงตาของคนเป็นแม่ขยายกว้างแล้วรีบสำรวมท่าทีเอาไว้ พลางดีดลูกคิดในหัวทันที
“สินสอดยังมีอีกนะครับคุณนาย นี่แค่วางมัดจำเอาไว้ก่อน”
มีมากกว่านี้อีกหรือ
ถ้าอย่างนั้น ก็มากกว่าที่เคยคุยไว้กับสารินี มารดาของณัฏฐ์อีกน่ะสิ แต่ก็ต้องระงับอาการเอาไว้ ลอบกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก อาการคอแข็งเมื่อครู่ อ่อนยวบลดฮวบลงทันที มุมปากยกขึ้นได้ทีละน้อย อารมณ์ดิ่งลงเหวเมื่อครู่ ถูกหักหัวขึ้นฟ้าอีกครั้ง เสียงอ่อนหวาน อ่อนน้อมลงกว่าเมื่อครู่นี้เกือบครึ่ง
“ไม่ต้องยุ่งยากหรอกค่ะ ถ้าเด็ก ๆ รักกัน ชอบพอกัน ดิฉันก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย คนเป็นพ่อเป็นแม่จะต้องการอะไรไปมากกว่าความสุขของลูกล่ะคะ ใช่ไหมคุณพ่อ” โทนเสียงของอรทัยเปลี่ยนทันที จุดยืนของเธอก็เช่นกันหลังเห็นตัวเลขบนเช็คเงินสด
“ถ้าเราตกลงกันได้แล้วก็ดีครับ ผมล่ะเป็นห่วงลูกจะแย่ กลัวว่ามัน...” คุยเสียเพลิน กำลังจะบอกว่ากลัวลูกติดโรคตายไปก่อน ก็เปลี่ยนพูดไปว่า “กลัวมันจะเป็นตุ๊ดน่ะครับ ทั้งบ้านมันเป็นลูกชายแค่คนเดียว แถมพี่ ๆ น้อง ๆ ของมันก็เป็นผู้หญิงหมด แล้วนี่นะ ถ้าแม่หนูมีหลานชายได้นะ ผมจะรับขวัญให้อีก...ห้าเท่าของสินสอดเลย”
“อุ้ย! อย่าเพิ่งคุยไปถึงเรื่องนั้นเลยค่ะ แล้วนี่รับประทานอะไรกันมาหรือยังคะ อยู่ร่วมโต๊ะด้วยกันก่อนนะคะ...หนูดีขา” ท้ายประโยคหันบอกบุตรสาวที่นั่งก้มหน้านิ่งเงียบอยู่
“ไปบอกให้แม่บ้านเตรียมอาหารรอไปลูกไป แม่จะคุยธุระกับคุณพ่อเขาก่อน ลูกติคะ จะไปกับน้องเลยไหมลูก จะได้พูดคุยให้สนิทสนมกันมากกว่านี้อีกหน่อยไงคะ”
คนที่ไม่ให้เป็นแม่ทีแรกจัดแจงเพิ่มบุตรชายอีกคนทันที เรียกจุติว่าลูกเรียบร้อย
“ครับ”
จุติรับคำยิ้ม ๆ แล้วเดินตามหลังเธอออกมาหลังจากนั้น
สองหนุ่มสาวพากันออกจากห้องนั่งเล่น โดยมีเจ้าบ้านเดินนำหน้าตรงไปยังห้องครัวที่ด้านหลัง เพื่อบอกให้คนเตรียมอาหารรับรองแขก
คนเดินตามเรียกไว้ทันก่อนเธอจะเดินพ้นหัวมุมไป “เดี๋ยวก่อนคุณ”
“มีอะไรคะ”