ปริมระตา
“ถ้าพี่ไม่ปกป้องผู้หญิงที่พี่รัก จะให้พี่ปกป้องใคร” ฉันมองและฟังคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีตัวเอง และอดีตเพื่อนสนิทตัวเองพลอดรักกันตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้
“วันนี้ปริมไม่ทานข้าวนะคะ” ฉันเดินไปบอกป้าน้อยด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินขึ้นห้องนอนไป จะให้ฉันไปนั่งดูพวกเขาสองคนรักกันโดยที่ไม่ทำอะไรหรือว่านั่งเฉยๆฉันทำไม่ได้หรอก
แต่ถ้าฉันทำอะไรลงไป ก็ไม่วายโดนพี่คิมหันต์ดุด่าว่าอีกตามเคย และที่สำคัญฉันกลัวว่าจะอดใจให้ลุกไปตบหน้าคนตอแหลตรงหน้าตัวเองไม่ไหว ฉันเลยตัดปัญหาหนีขึ้นมาแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ฉันนั่งเล่นโทรศัพท์ได้สักพักใหญ่ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น ฉันเลยวางโทรศัพท์ลุกขึ้นไปเปิด เพราะถ้าเป็นเจ้าของบ้านเขาไม่เคาะแน่นอน
“มีอะไรหรอคะ” พอเปิดมาเห็นป้าน้อยที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงหน้า
“คือว่าคุณคิมหันต์ให้ป้ามาตามหนูปริมไปทานข้าวน่ะค่ะ แล้วบอกว่ายังไงก็ต้องลงไปด้วย” ป้าน้อยบอกฉัน (ส่วนที่เรียกว่าหนูปริมฉันบอกว่าไม่ต้องเรียกคุณเอง)
“ค่ะ เดี๋ยวปริมลงไป” ฉันบอกป้าน้อยออกไป ในเมื่อเขาอยากจะให้ฉันลงไป ฉันก็จะลงไป
“แขกมาบ้านอย่าเสียมารยาท” พอเดินลงมาถึงโต๊ะอาหารที่พี่คิมหันต์กับไข่มุกนั่งรออยู่ เสียงเข้มก็เอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ
“ปริมแค่ผู้อาศัย จำเป็นต้องรับแขก ที่ไม่ต้อนรับด้วยหรอคะ” ฉันสวนกลับไปก่อนจะนั่งลงที่ตัวเอง
พี่คิมหันต์ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหันมามองฉันอย่างไม่พอใจ ส่วนอีไข่มุกก็แสร้งทำเป็นนั่งก้มหน้ากลัว เหอะ ตอแหลสิ้นดี
แล้วเราก็เริ่มลงมือกินข้าวกัน โดยตลอดเวลาบนโต๊ะก็มีเพียงเสียงพูดคุยกันของพี่คิมหันต์กับอีไข่มุก และตักอาหารให้กันไปมา โดยเหมือนฉันเป็นเพียงส่วนเกินของเขาเท่านั้น
“ปริมลองทานนี่ดูสิ มุกจำได้ว่าปริมชอบ” อีไขมุกพูดขึ้นพร้อมกับตักบล็อกเคอรี่ผัดกุ้งมาเพื่อใส่จานฉัน
“ไม่จำเป็น” ฉันพูดพร้อมกับดึงจานฉันเลี่ยงออกไม่ให้คนทรยศมันมายุ่งกับจานฉัน
“อย่าเสียมารยาทให้มากนะปริมระตา” เสียงเข้มเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจทันที ฉันหันไปมองหน้าเขาที่จ้องหน้าฉันอยู่ด้วยสายตาดุดัน
“ปริมอิ่มแล้วขอตัว” ฉันว่าพร้อมกับรวบช้อนแล้วลุกขึ้น
“นั่งลงเดี๋ยวนี้ปริมระตา คนอื่นยังกินไม่เสร็จ” พี่คิมหันต์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบและไม่มองหน้าฉัน
“ก็กินกันต่อสิคะ เกี่ยวอะไรกับปริม” ฉันถามออกไปอย่างไม่พอใจ ฉันไม่อยากอยู่ตรงนี้นานๆเพราะฉันกลัวจะเผลอทำอะไรผู้หญิงตรงหน้าออกไป นั่นมันจะยิ่งทำให้พี่คิมหันต์มองฉันในแง่ร้ายมากกว่าเดิม
“ฉันรู้ว่าคนอย่างเธอไม่รู้จักมารยาท แต่จะอยู่ที่นี่ต้องหัดมีมัน” คำพูดร้ายกาจออกจากปากหยักของร่างสูง ทำให้ฉันไม่พอใจกับสิ่งที่เขาพูดขึ้น แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากมาทะเลาะกับเขาให้งูพิษอย่างไข่มุกเห็น ถึงแม้ว่ามันจะรู้เรื่องของฉันกับพี่คิมหันต์ แต่ก็ไม่อยากตอกย้ำว่าสิ่งที่มันคิด เป็นความจริงทุกอย่าง
ฉันไม่ตอบอะไรกลับไป แต่ฉันเลือกที่จะเดินออกจากเก้าอี้และขึ้นห้องไปทันที เขาจะทำอะไรไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของฉันเลยสักนิด ไม่รู้หรือไงว่าฉันเสียใจแค่ไหน
นี่ก็ผ่านมาร่วมเดือนแล้วที่ฉันกับพี่คิมหันต์แต่งงานกัน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมนั่นคือเขายังไม่ญาติดีกับฉันเลย ฉันพยายามจะพูดเรื่องในอดีตกับเขา แต่เขาก็ไม่ฟังและเดินหนีฉันตลอด แล้วยิ่งช่วงนี้ฉันก็กลับไปทำงานเหมือนเดิมแล้วยิ่งทำให้เราไม่ค่อยได้มีเวลาเห็นหน้ากันเท่าไหร่
และที่ยังคงเหมือนเดิมมากที่สุดก็คงจะเป็นคำพูดร้ายกาจจากปากของพี่คิมหันต์ ที่ยังคงสาดใส่ฉันไม่เลิก และเหมือนว่าบางครั้งมันจะแรงมากเกินไปด้วยซ้ำ
“หึ ที่กลับดึกนี่ทำงานพิเศษหรอ” พอฉันเข้ามาในห้องนอนในเวลาเกือบสองทุ่มเพราะว่าวันนี้งานที่บริษัทมีปัญหา ทำให้พนักงานหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องอยู่ช่วยกันแก้ไขเพราะมันเป็นงานเร่ง เพราะไม่อยากไปทำต่อกันวันหยุด
แต่ก็ไม่วายพ่นคำร้ายกาจที่คอยถากถางจากปากของผู้ที่ได้ชื่อว่าสามีของฉันเหมือนเดิม
“ค่ะ” ฉันตอบกลับไปอย่างไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ก่อนจะหยิบผ้าเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายให้สบายตัวขึ้น
แล้วก็เหมือนเดิมทุกๆคืน ที่ฉันจะได้ยินคำพูดหวานหูจากปากร้ายของร่างสูงทุกวันก่อนนอน แต่เขาไม่ได้พูดกับฉันหรอก เขาพูดกับผู้หญิงที่เขาบอกว่ารักต่างหากล่ะ
“นอนได้แล้วนะ ดึกแล้วพี่เป็นห่วง” ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงหวานฟังลื่นหู ต่างจากเวลาพูดกับฉัน
ฉันทำเป็นไม่สนใจเดินเลี่ยงมาแต่งตัวของตัวเอง ทั้งที่ในหัวใจฉันตอนนี้มันกำลังปวดหนึบ
“พี่ก็รักมุกนะ ฝันดีครับ” หึ บอกรักผู้หญิงอีกคนต่อหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียตัวเอง
ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมเขาชอบมาคุยโทรศัพท์กันหวานๆต่อหน้าฉัน ทั้งที่บอกว่าเกลียดฉันแล้วไปหาความเป็นส่วนตัวคุย แล้วถ้ายิ่งฉันแทรกแซงเขาไประหว่างเขาคุยอยู่นะ เขาจะต่อว่าฉันออกมาให้ปลายสายได้ยิน แล้วก็จะยิ่งเพิ่มความหวานใส่กันจนฉันแทบจะอยากอ้วก ทำให้ทุกวันนี้ฉันทำเป็นไม่สนใจเขาเวลาคุย
“คุยเสร็จแล้วหรอคะ” พอฉันแต่งตัวเสร็จบวกกับเขาวางสายไปแล้ว ฉันก็ถามขึ้น แต่ไม่ได้ประชดอะไรหรอก
“แล้วมันเรื่องอะไรของเธอ” เขาถามฉันออกมาเสียงห้วน
“คุยเสร็จก็ดีแล้วค่ะ เพราะต่อไปปริมจะได้คุยเรื่องของปริมบ้าง” ฉันพูดออกไป นี่แต่งงานกันมาเดือนกว่าแล้วนอนด้วยกันทุกวัน ฉันยังไม่สามารถทำสิ่งที่ฉันต้องการได้สำเร็จเลย
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเธอ” ร่างสูงพูดออกมา ก่อนจะเก็บโทรศัพท์แล้วทิ้งตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้ฉัน
“พี่คิมไม่มีอะไรคุยก็ไม่ต้องคุยค่ะ แค่ฟังอย่างเดียวก็พอ” ฉันพูดออกไป เพราะฉันก็ไม่หวังให้เขาพูดอะไรอยู่แล้ว ขอแค่ฟังฉันก็พอ
“ฉันจะนอน ไม่อยากฟัง” ร่างสูงตอบกลับมาโดยที่หันหลังให้ฉันอยู่
“พรุ่งนี้วันหยุด เสียเวลาพี่สักสิบนาทีฟังหน่อยนะคะ” ฉันก็ยังคงไม่ยอมเหมือนกัน วันนี้ยังไงก็จะต้องพูดให้ได้
“วันหยุดแล้วยังไง ฉันมีนัดกับคนรัก” พี่คิมหันต์พลิกตัวนอนหงายแล้วตอบฉันออกมาพร้อมกับจ้องหน้าฉันด้วยสายตาเรียบนิ่ง เพื่อตอกย้ำว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นรักกัน
“ค่ะ งั้นแค่ห้านาทีก็ได้” ฉันพูดออกไปอย่างไม่ยอม ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องที่ผ่านมาเป็นปีแล้วที่ฉันอยากจะเคลียร์กับเขา
“เรื่องที่คิมเข้าใจวะ...” พอฉันเริ่มพูด ร่างสูงก็แทรกขึ้นด้วยเสียงดังทันที
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่อยากฟัง!”
“แล้วถ้าไม่ฟังเมื่อไหร่จะได้รู้เรื่องสักทีล่ะคะ!” ฉันเองก็เถียงกลับไปเสียงแข็งเหมือนกันอย่างไม่ยอม
“เธอคิดว่าตัวเองเก่งมากหรอ ที่เคยหลอกสวมเขาให้ฉันได้” เสียงเข้มพูดรอดไรฟันออกมาอย่างไม่พอใจ
“ปริมไม่ได้หลอกพี่คิม และไม่เคยคิดว่าตัวเองฉลาด” ฉันมันโง่ด้วยซ้ำที่ไว้ใจคนผิด
“แล้วจะฟื้นฝอยหาพระแสงอะไร!” ร่างสูงลุกขึ้นแล้วตะคอกกลับมาใส่ฉันอย่างไม่พอใจ
“พี่ก็ฟังปริมบ้างสิ ฟังความจริงจากปากปริมบ้าง!” ฉันตะคอกกลับไปอย่างไม่ยอมเหมือนกัน ตั้งแต่วันนั้นที่เขาบอกเลิกฉันเขาก็ไม่ฟังอะไรจากปากฉันเลย ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเขาไปฟังเรื่องทั้งหมดมาจากใครบ้าง แต่ก็มีคนหนึ่งที่ฉันสงสัย
“คำโกหกตอแหลจากปากเธอนะหรอ” พี่คิมหันต์ถามขึ้นเสียงเข้มพร้อมกับมองฉันด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม
“ใช่ ต่อให้สิ่งที่ปริมจะพูดพี่จะคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหกก็ได้ แต่ช่วยฟังปริมหน่อย!” ฉันพูดออกไป ในเมื่ออยากให้มันเป็นเพียงคำโกหกก็แล้วแต่ ฉันจะไม่ปฏิเสธ ขอแค่เขาได้ฟังทั้งหมดจากมุมของฉันบ้าง
“ฉันไม่ฟัง แล้วเธอก็ไม่ต้องพูดมันอีก!” พี่คิมหันต์ตอบพร้อมกับทำท่าจะลุกหนีฉัน แต่ฉันรั้งแขนเขาไว้แน่น
“ยังไงพี่ก็ต้องฟัง ปริมจะพูดมันจนกว่าจะได้พูดออกไปทั้งหมด!” ฉันพูดออกไป ตอนนี้ยอมรับว่าทั้งฉันและเขาต่างก็อารมณ์ร้อนไม่ต่างกัน
“ได้! งั้นฉันจะทำให้เธอพูดไม่ออกเอง!” พี่คิมหันต์พูดจบก็ผลักฉันนอนราบลงไปกับเตียง ก่อนจะขึ้นมาคร่อมฉันแล้วกดไหล่ฉันไว้ทั้งสองข้างจมไปกับเตียง
“พี่คิม! โอ้ย!!!”
พี่คิมจะทำอะไรปริมค่ะ