บทที่ 1 (2)

2246 คำ
พูดคุยกันได้ไม่นานก็ถึงเวลาต้องวางสายและออกเดินทางไปยังสนามบินเพื่อรอเซอร์ไพรส์คู่หมั้นที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง จากใบหน้าอันเคยเต็มไปด้วยความตึงเครียดหลังได้รับพลังด้านลบ ๆ เมื่อครู่ ก็กลับมายิ้มสดใสมากขึ้นแค่เพียงคิดถึงการพบหน้ากันครั้งแรกในรอบสี่ปี “จะเป็นยังไงนะ...ได้คุยแบบเห็นหน้ากันผ่านวิดีโอคอลบ่อย ๆ ก็จริงแต่..พอจะได้เจอตัวจริงก็ยังรู้สึกเขิน ๆ เหมือนกันแฮะ” รถคันหรูขับตรงไปเรื่อย ๆ บนท้องถนนเวลาหัวค่ำ มันเป็นช่วงที่รถขับพลุกพล่านไปมาอยู่พอสมควรและมีบางจังหวะที่รถกำลังติด เพนใช้เวลาในตอนนั้นจ้องมองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเองซ้ำไปซ้ำมาพร้อมกับมองโทรศัพท์ของเขาเผื่อมีใครติดต่อ แต่ในวันนี้มันกลับเงียบแปลก ๆ เกินจะเหลือเชื่อ “วันนี้แปลกจัง ปกติพ่อกับแม่ต้องส่งข้อความมาแล้วสิ” “ฮึก...ฮือออ~” “....?” ระหว่างขับรถบนท้องถนนเพียงลำพัง ทว่าในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงแปลกดังอยู่ใกล้ ๆ เสียงที่เหมือนกับใครคนหนึ่งกำลังเสียใจ แน่ล่ะว่าใครที่ได้ยินต้องมีเหลียวหลังมองซ้ายมองขวาด้วยความระแวงกันบ้างแหละ “เสียง.. ไม่หรอกมั้ง” เพนส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วกลับมาจดจ่อกับการขับรถอย่างตั้งใจอีกครั้ง ทว่าในตอนนั้น อยู่ ๆ ศีรษะของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาราวกับถูกใครบางคนทุบเข้าเต็มแรง มันเจ็บปวดขนาดทำให้เขาหลุดโฟกัสจากการขับรถแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมศีรษะของตัวเองเอาไว้ ก่อนได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วอีกครั้ง “ฮือออ~ ฮึก.. อือออ” “โอ๊ย! อ้า!” ‘เจ็บชะมัดเลย..หัวจะระเบิดอยู่แล้ว เป็นอะไรกันแน่เนี่ย’ ไม่อาจต่อต้านความปวดที่มีแต่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับสมองจะระเบิดออกมา เพนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบข้างนอกจากหูของเขาที่ดังวิ้งอยู่แบบนั้น แค่เพียงกลับมาโฟกัสทางตรงหน้าหวังจอดรถเข้าข้างทางเพื่อความปลอดภัย แต่ดูเหมือนมันจะช้าไปเสียแล้ว...เมื่อรถของเขาพุ่งมากลางสี่แยกเต็มกำลัง เพนก็ถูกรถที่ขับพุ่งเข้ามาทางด้านข้างชนเข้าอย่างจัง “โครม!!” “อึก...ปวดหัวจัง” “คุณหนูคะ! คุณหนูฟื้นแล้ว!” เสียงอันคุ้นหูของคุณแม่บ้านดังขึ้น เมื่อเห็นร่างกายที่นอนพักอยู่บนเตียงค่อย ๆ ขยับตัวแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าของหล่อนเปื้อนไปด้วยน้ำตาพร้อมกับจับมือเพนเข้ามากอดเอาไว้อย่างหวงแหน “อย่าทำแบบนี้อีกนะคะคุณหนู ฉันขอร้องล่ะค่ะ ถ้าจะไปไหนช่วยพาแม่บ้านคนอื่น ๆ หรือไม่ก็พาฉันไปด้วยเถอะนะคะ” “แมรี? คุณพูดอะไรขอคุณน่ะ โอ๊ย..” ความรู้สึกปวดศีรษะค่อย ๆ ทุเลาลงระหว่างชายหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียง แต่เมื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เขาก็ต้องพบกับความประหลาดใจ “แมรี..ที่นี่ที่ไหนครับ?” “คะ? ก็ที่บ้านของคุณหนูไงคะ” “บ้าน?” ร่างสันทัดมองไปรอบ ๆ อีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ เมื่อพิจารณาดูห้องที่ตนเองกำลังอยู่ในตอนนี้ มันไม่ใช่ห้องของเขาเลยสักนิด โคมไฟก็ไม่เหมือนเดิม เตียงนอนผ้าปูเตียงก็ไม่ใช่สีเดิม ทุก ๆ อย่างล้วนบ่งบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา “เดี๋ยวสิ..อะไรกันเนี่ย แมรี..ผมโดนรถชนมา ทำไมถึงได้มานอนที่..” “คะคุณหนู? รถชน? ไม่ใช่นะคะ คุณหนูจมน้ำที่สระน้ำด้านหลังต่างหากล่ะคะ” “จมน้ำ?” “ค่ะ ก็คุณหนูมาเดินเล่นช่วงพักกลางวันแล้วพลัดตกน้ำในสระ ทีหลังอย่าไปอยู่ใกล้ ๆ สระอีกนะคะ คุณหนูยังว่ายน้ำไม่แข็งอยู่เลยนี่คะ” “ครับ? ผมว่ายน้ำไม่แข็งเหรอ? ไม่สิผมว่ายน้ำเป็นตั้งนานแล้วต่างหาก จำไม่ได้เหรอครับ? ช่วงที่รุ่นพี่ไปเรียนต่างประเทศใหม่ ๆ ผมเป็นคนขอให้คุณพ่อจ้างครูสอนว่ายน้ำมาช่วยสอนนะ” เพนพยายามอธิบาย แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสีหน้าของแมรีผู้จ้องมาที่เขาอย่างไม่เข้าใจราวกับเขาไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นมาก่อน มันทำให้ชายหนุ่มกลับมาตั้งสติแล้วลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินออกไปนอกห้อง หวังทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันคืออะไรกันแน่ “คุณหนูคะ จะลุกไปไหนคะ พึ่งพักฟื้นแท้ ๆ นอนอีกสักหน่อย...” “ขอผมเดินออกไปดูรอบ ๆ หน่อย” ประตูห้องเปิดกว้างขณะเพนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ โถงทางเดิน แต่มันก็ไม่ใช่สถานที่ที่คุ้นตาสำหรับเขาเลยสักนิด “นี่มันไม่ใช่บ้านฉัน...โรงพยาบาลก็ไม่ใช่” เท้าเปล่าก้าวออกไปจากห้องเพื่อหวังได้สำรวจสถานที่อันแปลกตานี้ แต่ก็ไม่มีส่วนไหนของบ้านที่ชวนให้รู้สึกว่ามันคือความคุ้นเคยเลย ‘หรือจะโดนรถชนจนเบลอกันนะ บางทีนี่อาจจะเป็นความฝันก็..ได้..’ เมื่อเดินมาถึงโถงบันไดขนาดใหญ่ ฝีเท้าเรียวสวยก็หยุดชะงักอยู่หน้ารูปภาพรูปหนึ่งที่แขวนอยู่ข้างบันได ทั้งที่มันเป็นรูปที่สวยเอามาก ๆ แต่มันกลับมาแขวนไว้ในจุดอับราวกับไม่อยากให้ใครเห็น ทว่าเพนในตอนนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งพร้อมกับยกมือขึ้นมาสัมผัสริมฝีปากของตัวเองหลังได้จ้องมองรูปดังกล่าว “นี่มัน..อะไร” เขาไม่อาจเข้าใจถึงสิ่งที่เห็นนอกจากจ้องมองมันอย่างพิจารณา ซึ่งรูปภาพดังกล่าวเป็นรูปของเขาในชุดแต่งงานกำลังยืนถ่ายคู่กับฟิลิปส์ ใบหน้าของเพนในรูปเต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนมีความสุขในวันแต่งงานแต่... ตรงกันข้ามกับฟิลิปส์ผู้ยืนอยู่ข้าง ๆ ชายร่างสูงในชุดเจ้าบ่าวกลับไร้ซึ่งรอยยิ้มนอกจากปั้นหน้านิ่งราวกับเขาไม่เต็มใจแม้แต่ถ่ายรูปด้วยซ้ำ “บ้าอะไรเนี่ย นี่รูปตัดต่อเหรอ? แต่ตัดต่อเนียนมากเลยนะ เรายังไม่ได้แต่งงานกับรุ่นพี่สักหน่อยก็แค่หมั้นกัน.. แล้วทำไม รุ่นพี่ถึงไม่ยิ้มเลยล่ะ” นัยน์ตาสีฟ้าเอียงคอด้วยความสงสัยก่อนจะเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างของบ้านเพื่อสำรวจที่นี่ต่ออย่างตั้งใจ มีข้าวของบางชิ้นที่เป็นของเพนวางตั้งอยู่ด้วย แต่มันก็ไม่อาจทำให้เขาเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังถูกรถชนทุกอย่างก็ดูจะไม่ปกติเสียหมด “ตอนแมรีพูด เธอดูจะไม่ได้โกหกเลยนี่ แต่เราจำได้ว่าถูกรถชนตอนไปรับรุ่นพี่ที่สนาม....บิน” เมื่อเดินมาเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย ในตอนนั้นเองเมื่อนัยน์ตาอันสับสนจ้องมองทางเดินตรงหน้าสุดสายตาของเขา ทว่าก็ได้เห็นใครบางคนกำลังยืนอยู่แถว ๆ โถงทางเดินไม่ไกล สีหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่ได้เห็น เขาไม่ลังเลที่จะวิ่งเข้าไปหาคนคนนั้นด้วยความดีใจแล้วกระโจนเข้ากอดร่างตรงหน้าเอาไว้จนแน่น “รุ่นพี่! รุ่นพี่จริง ๆ เหรอ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ครับ คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? สี่ปีที่ไม่ได้เจอคุณมันเหงามากเลย” “....หึ” เพนยังคงกอดชายร่างสูงผู้เป็นแฟนหนุ่มและคู่หมั้นจนแน่น แต่แล้วอยู่ ๆ ความรู้สึกที่เหมือนถูกแรงบางอย่างต้านเอาไว้ก็ทำให้เขาถูกผลักถอยออกไปด้วยความแรงจนแทบจะล้มลงไปกับพื้น “อะไรอีกล่ะ” “....?” เขาไม่อาจเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังหมายความว่าอะไร เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้า สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นแววตาอันไร้ซึ่งความรู้สึก ชายร่างสูงนัยน์ตาสองสีจ้องมองเพนด้วยความรังเกียจแทบไม่เห็นแววตาที่เคยมองเขาเหมือนก่อน ๆ เลยสักนิด ราวกับระหว่างทั้งสองไม่เคยรู้จักกันจริง ๆ เลยสักครั้ง “จมน้ำเรียกร้องความสนใจก็ทีนึงแล้ว ตอนนี้อยากจะได้อะไรอีก เรียกฉันว่ารุ่นพี่เหรอ? ฉันไปเป็นรุ่นพี่ให้นายตั้งแต่เมื่อไหร่? กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? พูดบ้าอะไร เป็นบ้าไปแล้วหรือไง?” “ครับ? รุ่นพี่พูดอะไร” “เลิกทำตัวแบบนี้สักทีเถอะน่ะ!!” ร่างสันทัดสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เขาไม่เคยเห็นรุ่นพี่ของเขาเป็นแบบนี้ แม้แต่การขึ้นเสียงก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดทั้งสับสนและไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีกว่ารักแปดปีของเขามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อจู่ ๆ ฟิลิปส์ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ “ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าต่างคนต่างอยู่ไม่เข้าใจหรือไง? แต่งงานด้วยก็แล้ว! ยอมอยู่ที่นี่ด้วยกันก็แล้วยังจะเอาอะไร?! จะพรากชีวิตส่วนตัวฉันไปด้วยหรือไง!” “รุ่นพี่..พูดอะไรผมไม่เข้าใจ?” “อย่ามาเรียกฉันว่ารุ่นพี่!! กลับไปที่ห้องซะ แล้วอย่ามาให้เห็นหน้าอีก!” “แต่..เดี๋ยวสิ แบบนี้มันไม่ถู-” มันยิ่งกลายเป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจมากขึ้นไปอีก เพนพยายามเอื้อมมือเข้าไปจับแขนของฟิลิปส์เอาไว้ ทว่าอีกฝ่ายก็ปัดมือนั่นออกเต็มแรงจดเกิดเสียงกระทบ “อย่ามาแตะ! เป็นบ้าอะไรทำแบบนี้ทำไม? คิดว่าทำแล้วฉันจะรักนายหรือไงอย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลยน่ะ ที่แต่งงานด้วยก็เพื่อครอบครัว และฉันจะไม่มีวันรักคนที่พรากทุกอย่างไปจากฉัน ไม่มีวันหรอก! ไสหัวไปซะ ฉันไม่อยากเห็นท่าทีอิดออดน่ารำคาญของนายมันน่ารำคาญ!” ไม่นานบรรยากาศอันเย็นยะเยือกเต็มไปด้วยความอึดอัดก็ก่อตัวขึ้นมาจากการปล่อยฟีโรโมนข่มขู่เพื่อให้โอเมก้าหนุ่มไม่กล้าพูดอะไร ก่อนเจ้าของนัยน์ตาสองสีที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังจะเดินจากไปไม่แม้จะหันมามอง “....ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้” ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งอยู่กลางโถงทางเดินจ้องมองแผ่นหลังกว้างค่อย ๆ เดินจากจนหายลับสายตา นัยน์ตาสีฟ้าค่อย ๆ เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาจนไหลอาบแก้มอย่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาที่นี่ “ทั้ง ๆ ที่คุณเป็นคนบอกว่าอยากแต่งงานกับผม ทั้งที่บอกว่ารักผมมากแท้ ๆ ทำไมกันล่ะ” เพนตัดสินใจเดินกลับมายังห้องที่ตนเองนั้นตื่นนอนอีกครั้ง แน่นอนว่าแมรียังอยู่ในห้องและมีสีหน้าตกอกตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินกลับมาในสภาพน้ำตาอาบแก้ม “คุณหนู?! เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมถึงร้องไห้กลับมาล่ะคะ?” เธอรีบเข้าไปกอดคุณหนูของเธอด้วยความตกใจ เดินพาเพนมานั่งบนเตียงนอนนุ่ม ๆ พร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดเช็ดบนเปลือกตาเพื่อไล่น้ำตาให้หายไป “โดนคุณฟิลิปล์พูดไม่ดีใส่อีกแล้วใช่ไหมคะ?” “....ครับ?” “ก็คุณฟิลิปส์ชอบพูดจาใจร้าย ๆ กับคุณหนูของแมรีน่ะสิคะ คุณหนูอุตส่าห์ทุ่มเทความรักให้ตั้งขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เห็นค่าเลยนะ” “....” เพียงได้ฟังคำพูดของคุณแม่บ้านผู้คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง มันก็ทำให้เขาฉุกคิดในคำพูดเมื่อครู่ขึ้นมาด้วยความสงสัย “แมรีครับ พอจะ..รู้ไหมว่าผมกับ..รุ่นพี่ ไม่สิ..คุณฟิลิปส์เราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่?” “อืม ก็การดูตัวครั้งแรกที่บ้านของคุณฟิลิปส์ไงคะ” “...การดูตัว? เดี๋ยวสิ ไม่ใช่มหาลัย NT เหรอครับ?” “มหาลัย NT? คุณหนูคะ จำไม่ได้เหรอคะว่าคุณหนูเลือกไปเรียนต่อที่อเมริกาน่ะ โอ๊ะนี่ ๆ รูปนี้ที่ถ่ายตอนอยู่นู่นไงคะ” เพื่อยืนยันให้แน่ใจ หญิงสาวก็เดินไปหยิบรูปภาพที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ขึ้นมาให้เพนได้ดู แน่ล่ะว่ารูปนั้นเป็นรูปของเพนที่ถ่ายตอนอยู่อเมริกาและดูยังไงก็คงไม่ใช่การตัดต่อแน่ ๆ ‘....นี่มันหมายความว่ายังไง ฉันไม่ได้เรียน NT แต่ไปเรียนอยู่ต่างประเทศเหรอ? ไม่จริงน่ะ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นปฏิเสธเรื่องเรียนกับพ่อเพราะอยากเรียนที่ใกล้ ๆ มากกว่า’ ร่างสันทัดได้แต่นั่งขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจและพยายามคิดว่าเพราะอะไรเรื่องแบบนี้ถึงได้เกิดขึ้น ทว่าความคิดหนึ่งในตอนนั้นสุดเหลือเชื่อก็ผุดขึ้นมา แม้เขาไม่อยากจะเชื่อมันก็ตาม แต่มันก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียวที่นึกออก “โลก..คู่ขนาน? นี่ฉัน...มาอยู่โลกคู่ขนานเหรอ?”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม