วันแรกของการเข้าเรียนที่มหาลัยใหม่ของฉันกับยีนส์ก็มาถึง มันช่างเป็นเช้าที่แสนจะวิเศษมากสำหรับเพื่อนสนิทแสนสวย ที่ตอนนี้นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
สาวผมยาวสลวยสีดำขลับยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวอมชมพู หุ่นไซซ์เอสไลน์
เธอแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาพอดีตัวกับกระโปรงจีบรอบที่ยาวเหนือเข่ามาแค่คืบ กำลังนั่งแต่งหน้าแต่งหน้าเสริมความสวยที่มีอยู่แล้วให้บรรเจิดกว่าเก่า
“ยัยขี้เกียจ! ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว”
ยีนส์คงมองเห็นว่าฉันตื่นแล้วผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
ขี้เกียจ!! ฉันตอบยีนส์ผ่านการกระทำ ด้วยการลากผ้าห่มผืนหนามาปิดมิดศีรษะน้อยของตัวเอง มุดมันอยู่ในผ้าห่มสีฟ้าสดใสไม่ยอมทำตามคำสั่งเพื่อนรัก
พรึ่บ!! ยัยเพื่อนบ้า! ฉันทำหน้าบึ้งใส่คนที่บังอาจมาดึงผ้าห่มออกจากร่างกายของตัวเอง
“ให้เวลา 20 นาที ให้ไว!” คำสั่งที่สุดแสนจะดุของยีนส์ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะโอ้เอ้ รีบย้ายร่างอรชรที่เพอร์เฟคไม่ต่างกับเพื่อนสนิท เดินเอื่อยเฉื่อยเข้าห้องน้ำทันที
หลังจากที่ใช้เวลาอาบน้ำเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายที่เหมือนกับพักผ่อนไม่เต็มที่เรียบร้อยแล้ว เลยเดินมาหยิบชุดนักศึกษาที่เหมือนกับยีนส์ทุกประการ ยกเว้นเสื้อที่มันรัดติ้วเกินตัว
“ฉันว่าคงต้องหาเวลาพาแกไปเดินห้างเปลี่ยนเสื้อแล้วล่ะยัยเพลย์” ยีนส์ทำหน้าเอือมๆ ใส่ฉัน หลังจากที่เธอมองฉันหัวจรดเท้าแล้วเห็นว่าเสื้อนักศึกษาของฉันมันปริตรงช่วงอก
“ทำไงได้แม่ให้มาเยอะ” ฉันย่นจมูกทำหน้าเยาะเย้ยยัยยีนส์ที่เธอก็ไม่ได้เล็กเลยสักนิดเดียวแต่ชอบมาอิจฉาหน้าอกฉัน
“ระวังจะได้ผัวก่อนเรียนจบ”
โป๊ก!!
ฉันโยนกระป๋องแป้งเด็กใส่คนปากหมาที่นั่งทำหน้าระรื่นอยู่บนเตียงนอน
“เพราะปากแบบนี้ไง แกเลยไม่มีแฟน” ฉันขึงตาที่มีแค่ชั้นเดียวของตัวเองใส่ยัยยีนส์ เราสองคนชอบแหย่กันแรงๆ แบบนี้แหละ แต่ยิ่งแหย่กันแรงเท่าไหร่ พวกเราก็ยิ่งรักและสนิทกันมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่จัดเตรียมเอกสารการเรียนเสร็จ พวกเราก็ลงมาจากชั้นเจ็ด ตรงมาที่ลานจอดรถของคอนโด ซึ่งอยู่ชั้นล่างสุด สองเท้าฉันแข็งทื่อแบบอัตโนมัติ เมื่อสายตามองเห็นสิ่งที่จอดอยู่ตรงหน้า
อึก~ ฉันยืนกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ มองเจ้านินจาลูกรักยัยยีนส์คันสีเขียวใบตองที่สงสัยคนที่บ้านเธอคงจะเพิ่งเอามาให้เมื่อเช้า
“แกจะให้ฉันซ้อนแมงกะไซค์คันยักษ์นี่จริงเหรอ” ฉันว่าพร้อมกับชี้นิ้วเรียวยาวกรีดกรายไปยังเจ้ามอเตอร์ไซค์คันเขื่องลูกรักของยีนส์
“ตามใจแกนะ จะเดินไป หรือจะไปเรียกแท็กซี่เองก็แล้วแต่”
ชิ! ช่างประชดประชัน รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่กล้าเรียกใช้บริการแท็กซี่ เพราะเคยไม่ประทับใจกับการบริการที่สุดแสนจะสร้างความร้าวฉานให้กับใบหน้างามๆ ของฉันด้วยการที่
‘อีหนู... เดี๋ยวลุงจอดข้างหน้านะ’
‘อ้าว! ทำไมล่ะคะ ยังไม่ถึงที่หมายเลย’
‘พอดี... เอ่อ ลุงไม่ชอบกลิ่นทุเรียนน่ะ ในถุงนั่นคือทุเรียนใช่มั้ย’
ปรี้ดแตกมั้ยถามใจฉันดู! แค่ฉันซื้อทุเรียนแล้วนั่งแท็กซี่ แล้วดันไปเรียกใช้บริการคันที่ไม่ถูกกับทุเรียน แล้วลุงแกก็อันเชิญฉันลงจากรถแกทันที แล้วดันจอดให้ฉันในที่ๆ ฉันต้องรอคันต่อไปถึงชั่วโมงเต็มๆ
พูดแล้วของขึ้น! หลังจากนั้นฉันเลยเลิกกินทั้งทุเรียนและเลิกขึ้นแท็กซี่อีกเลย
ท้ายที่สุดฉันก็ต้องจำใจนั่งซ้อนท้ายเจ้านินจา รถมอเตอร์ไซค์คันเขื่องออกมาพร้อมกับยีนส์ พวกเราก็ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ในการเดินทางจากคอนโดมาที่
มหาลัย RNN ที่เพิ่งมาเหยียบเป็นครั้งที่สอง
“แกขึ้นไปรอบนห้องเรียนก่อนแล้วกัน เดี๋ยวหาที่จอดรถแป๊บ” ฉันพยักหน้ารับคำเพื่อนสนิท ก้าวเท้างามๆ บนส้นสูงสามนิ้วเข้าไปในตึกคณะนิเทศศาสตร์
ฉันกับยีนส์ดรอปเรียนมาปีหนึ่งเหมือนกัน และเราเรียนคณะเดียวกัน สาขาเดียวกันนั่นคือ นิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการโฆษณา ที่พวกเราเลือกเรียนคณะนี้เพราะว่ามันเป็นสาขาที่มีอิสระทางความคิด และเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งฉันกับยีนส์คิดว่ามันตอบโจทย์ชีวิตพวกเราสองคนได้ดีกว่าสาขาอื่นๆ
ต๊อกๆ ต๊อก~ เสียงร้องเท้าส้นสูงที่กระทบกับพื้นกระเบื้องดังขึ้นตามจังหวะการก้าวเดินของฉัน และหยุดลงตรงหน้าห้องเรียนที่เป็นคลาสเรียนของตัวเองวิชาแรก
ทำไมแลดูเงียบๆ ฉันยืนขมวดคิ้วมุนอยู่หน้าห้องเรียน พยายามเงี่ยหูฟังเสียงผู้คนหลังบานประตูเลื่อนแต่กลับไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจของสิ่งมีชีวิต
แปลกแฮะ! หรือเราจะดูตารางเรียนผิด?
ถึงแม้ในหัวจะคิดแบบนั้น แต่ฉันว่าครั้งนี้ไม่น่าพลาด ถ้ายีนส์ก็ออกมาพร้อมกันแสดงว่าตารางเรียนน่ะถูกแล้ว แต่ทำไมข้างในห้องถึงได้เงียบเชียบแบบนี้ล่ะ?
“อยากรู้ก็เปิดสิวะ ยัยเพลย์” บอกตัวเองเสร็จก็เอื้อมมือน้อยๆ จับบานประตูที่เป็นแบบเลื่อน เลื่อนมันไปทางขวามือของตัวเอง พร้อมกับค่อยๆ โผล่หน้าใสๆ ใช้สายตากวาดมองภายในห้องที่… ว่างเปล่า..!
“เฮ้ย! เป็นแบบนี้ได้ไง!” ฉันสบถออกมาด้วยความตกใจ
หลังจากที่สายตาสำรวจรอบๆ ภายในห้องเรียนสี่เหลี่ยมผืนผ้าแห่งนี้จนครบทุกมุมห้อง กลับพบเพียงแค่โต๊ะเรียนที่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต!
“มาเรียนวันแรกก็เจอรับน้องแบบนี้เลยเหรอวะ” ฉันยืนถอนหายใจแรงๆ พยายามผ่อนคลายอารมณ์เซง พร้อมกับเดินปลีกตัวออกจากห้อง เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ เพื่อลองสำรวจรอบๆ คณะตัวเอง
“เบื่อฉิบ! ไม่เข้าคลาสสอนก็น่าจะบอกนักศึกษาล่วงหน้า”
“แบบนี้ก็แหกขี้ตาตื่นเช้าเสียเวลาฉันหมดน่ะสิ” ฉันที่กำลังเดินดุ่มๆ บนส้นสูงสามนิ้วในชุดนักศึกษารัดติ้ว ใบหน้าง้ำหงอด้วยความหงุดหงิด เมื่อนึกถึงต้นเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้...
‘วันนี้อาจารย์ไม่เข้าสอน ต้องไปออกเดทกระทันหัน เด็กๆ เรียนรู้เองนะจ๊ะ’
อึ้ง อึ้ง อึ้ง! เหมือนฉันใช่มั้ยล่ะ อาจารย์ประจำคลาสเช้าที่แทนที่จะเข้าสอนตามปกติ ดันเกิดอินดี้ ทิ้งสารน้อยไว้ที่กระดานหน้าชั้นเรียนด้วยประโยคที่ถ้าฉันเป็น ผอ. ที่นี่รับรองเลยว่า ยื่นซองขาวให้หล่อนแน่นอน!!
ขณะที่กำลังเดินมองดูตึกเรียนสูงสี่ชั้นเพลินๆ ไม่รู้ว่าเดินอิท่าไหนรู้สึกตัวอีกทีถึงได้มายืนอยู่หน้าห้องน้ำชายได้ ตอนที่ขาน้อยๆ กำลังเร่งก้าวเท้าให้ยาวๆ เพื่อให้เดินพ้นโซลอันตรายนี้เร็วๆ หูมันก็ดันทำงานดีเกินเหตุ ได้ยินเสียงๆ หนึ่งที่ดังแว่วมาจากในห้องน้ำแห่งนี้
“โอ๊ย! แทงเบาๆ สิวะ”
หืม!? เท้าฉันหยุดกึกโดยอัตโนมัติ พร้อมกับเงี่ยหูฟังบทสนทนาต่อไปแบบมีมารยาทที่สุด
“ไอ้ห่า! แทงทีละนิดมันจะไปเสร็จอะไร เนี่ยแบบนี้แหละดีแล้ว”
“แทงครั้งเดียวมิดเลย เจ็บ แสบดีมั้ยล่ะ ฮ่าๆ”
เฮ้ย! บทสนทนาของสองคนในห้องน้ำทำไมมันทะแม่งๆ แบบนี้นะ แถมเสียงที่คุยกันดันเป็นเสียงผู้ชาย
ไม่ได้การๆ เข้าใจนะว่าสังคมสมัยนี้มันพัฒนาไปถึงไหนแล้ว เรื่องรักเพศเดียวกันอะไรพวกนี้มันเหมือนเรื่องธรรมชาติเข้าทุกวัน
แต่นี่!! มันสถานศึกษา แถมยังอยู่ในที่สาธารณะแบบนี้อีก
“ไอ้พวกทุเรส ไม่รู้จักกาลเทศะ ได้!! เดี๋ยวแม่เพลย์สุดสวยจะสั่งสอนเอง” พูดเสร็จก็หน้าด้าน ไม่สนอะไรแล้วในนาทีนี้ เปิดประตูห้องน้ำชายเข้าไป โป๊ก!!
“เหี้ยตัวไหนขว้างมาวะ!”
เหี้ยตัวนี้ล่ะ แถมสวยด้วย ฉันคิดในใจ ยืนกอดอกมองดูผลงานการปาขวดโค้กที่มันเคยอยู่ในกระเป๋าสะพายของตัวเอง
แต่ตอนนี้มันลอยระริ้วและดันแม่น ตรงเข้ากลางกระบานของไอ้ผู้ชายหัวขาวที่ยืนหันหลังให้ฉันอยู่ แล้วดูสิ ท่าทางอุบาจ บัดสีบัดเถลิงนั่นมันอะไร
ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ติดกับอ่างล้างหน้าแถมยังหันหลังให้ไอ้หัวขาวนี่อีก แต่ฉันมองไม่เห็นหน้าเขาหรอกนะ เพราะมีร่างหนา สูง ผมสีบรอนด์ยืนบังอยู่ เหมือนกับไอ้หัวขาวที่โดนกระป๋องโค้กเพชฌฆาตฝีมือฉัน กำลังก้มลงไปทำอะไรบางอย่างกับผู้ชายอีกคนที่อยู่ตรงหน้าเขา คิดว่าคงจะกำลัง... ล่ะนะ
“ทำอะไรอายฟ้าอายดินบ้างก็ดี ถ้าอยากมากจนอดใจไม่ไหว นู่น!!” ฉันบุ้ยปาก ชี้มือออกไปนอกประตูห้องน้ำ
“ออกไปทำกันนอกมหาลัยไป ไอ้พวกสายเหลือง” เทศสั่งสอนไอ้คู่รักสายเหลืองตรงหน้าเสร็จ ฉันก็ไม่สนใจที่จะฟังคำแก้ตัวหรืออะไรของคนพวกนั้น หมุนตัวหันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นทันที ตาฉันจะเป็นกุ้งยิงมั้ยเนี่ย!!
[Sadins’s Part]
เหี้ยอะไรวะ! อยู่ดีๆ ก็ได้รับน้ำมนต์เป็นโค้กกระป๋องสีแดงลอยระริ้วฟาดลงกลางกระบานแต่เข้าตรู่แบบนี้ แถมยัยตัวดีที่เป็นคนลอบสังหารผมเมื่อกี้ยังเอาแต่พล่ามห่าเหวอะไรของเธออยู่คนเดียวก็ไม่รู้ ด่าเสร็จแม่งก็สะบัดก้นงอนๆ หนีไปซะงั้น!
แต่ไม่อยากบอกเลยครับว่า ขาวมาก ขาแม่งโคตรเรียวเล็กได้ใจผมเลย
“ใครวะ” เสียงไอ้ขันทีถามขึ้น ผมเลยส่ายหน้าแทนคำตอบให้มัน จะให้ตอบว่าอะไร หน้าตาก็ไม่เคยเห็น เพิ่งเจอกันครั้งแรกไม่ถึงนาที
ไอ้ขันที ที่ผมเรียกมันเมื่อกี้เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มผมเอง มันเป็นพวกหน้าหวานมาก จนบางทีคนคิดว่ามันน่ะเป็นเกย์ แต่ไม่ใช่หรอกครับ ไอ้นี่อ่ะ แมนทั้งแท่ง มันชอบเปลี่ยนคู่ควงบ่อยๆ ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่
ผมกับไอ้ขันทีคบกันมาเกือบจะห้าปีได้แล้วมั้ง แถมยังร่วมกันทำธุรกิจนำเข้าส่งออกแอลกอฮอล์เกือบทุกยี่ห้อ ที่กำลังโคตรบูมสุดๆ ในตอนนี้
แต่เพื่อนผมไม่ได้มีแค่ไอ้ขันทีคนเดียวหรอก ยังมีอีกถึง 2 คน ไว้จะแนะนำให้รู้จักทีหลังแล้วกัน ส่วนผมเป็นใครน่ะเหรอ? ผมก็แค่คนที่หล่อ เท่ แล้วก็รวยมาก
เอาเป็นว่าเดี๋ยวทุกคนจะได้รู้จักผมมากขึ้นกว่านี้
“แล้วสรุปนี่มึงทำเสร็จแล้วใช่ปะ!” ไอ้ขันทีพูดกับผมผ่านกระจกตรงอ่างล้างหน้า พร้อมกับสำรวจแผลเท่ามดกัดของมันด้วยใบหน้าที่เหมือนผมเฉือนเนื้อมันออกมาทั้งยวง
“มึงจะเอาอีกรูเปล่าล่ะ ถ้าเอากูจะได้เจาะให้” ผมถามไอ้ขันทีแต่ก็ทำปากซี้ดมือเกาท้ายทอยป้อยๆ ไปด้วย
จะบอกว่ายังไงดีล่ะ ตอนนี้สมองยังมึนๆ กับโค้กกระป๋องนั้นอยู่ ตอนก่อนหน้าที่จะมียัยบ้าจากที่ไหนไม่รู้โผล่มา ผมกำลังเจาะหูให้ไอ้ขันทีมันอยู่ไง
ไอ้ห่านี่ก็ไม่รู้ติสแตกอะไร อยากจะเจาะหูเพราะสาวที่เพิ่งบอกเลิกมันไปบอกว่ามันหวานเกิน ถ้าบนตัวมันมีอะไรแมนๆ ก็คงจะดีกว่านี้ ไอ้ขันทีมันเลยเฮิร์ต ลากผมมาเจาะหูให้มันที่ห้องน้ำชายของตึกศิลป์ แต่ผมว่า แค่รูเดียวสำหรับมันน่าจะพอแล้ว เพราะแม่งแหกปากลั่นอย่างกับวัวกำลังจะถูกเชือด
โคตรแมนเลยเพื่อนกู!!
“กูว่ารูเดียวแม่งก็เสียวจนฉี่จะเล็ดแล้ว ไว้วันหลังถ้ากูคึกจะเจาะเพิ่มค่อยเรียกใช้บริการมึงใหม่แล้วกันเพื่อนซีนส์” พูดจบมันก็ทำหน้าเบ้ พร้อมกับเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ สงสัยคงยังเจ็บหูที่เพิ่งเจาะเสร็จ จากนั้นมันก็เดินตรงดิ่งออกจากห้องน้ำไปโดยที่ไม่รอผมเลย
ไอ้ห่า! พอผมหมดประโยชน์ก็จากไปแบบไม่อาลัยอาวรณ์กูเลยนะมึง
@หน้าตึกคณะศิลป์ - เอกออกแบบ
“กว่าจะเสด็จมาได้นะ ไอ้ลูกเจ้าของมหาลัย”
ผมยังก้าวขาไม่ถึงโต๊ะที่มีมนุษย์หน้าหล่อสามตัวนั่งอยู่ ไอ้เคซิส ก็เริ่มกัดผมเป็นคนแรก จะรอให้ผมก้นถึงเก้าอี้ก่อนไม่ได้หรือไงวะ
‘เคซิส’ คือเพื่อนอีกคนในกลุ่มผมอีกคน มันเป็นถึงนักเรียนนอก แต่ดันมา
ซิ่วต่อที่ไทย ผมก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน เรียนที่เมืองนอกจบแล้ว แต่ดันอยากมาลองเข้าเรียนที่มหาลัยเมืองไทยดูอีกที เหตุผลเพราะ... ‘กูอยากจีบสาวไทยในชุดนักศึกษา’
ไอ้เคซิส เป็นเจ้าของผับ S นิสัยค่อนข้างสุขุมและเยือกเย็น ใบหน้าคมเข้มออกแนวลูกครึ่งเยอรมัน แถมอายุเยอะกว่าพวกผมตั้งสองปี
แต่ด้วยความที่ซิ่วกับซิ่วมาเจอกัน คบกันมาถึงสามปี เลยไม่ค่อยจะเรียกมันว่าพี่เท่าไหร่ แต่ถามว่าพวกเราเคารพมันมั้ยก็... เคารพนะ แต่ไม่อยากเรียกพี่ มีไรป้ะ?
“ได้ข่าวเจอดีเหรอมึง” ไอ้การ์เซียถามผมเสียงนิ่งๆ แบบไม่มองหน้า
‘การ์เซีย’ หนุ่มหล่อ รวย คมเข้ม ดีกรีเจ้าของสนามแข่งรถเถื่อน ขอเตือนเลยนะ อย่าคิดอยากไปรู้จักมันเด็ดขาด เพราะมันค่อนข้างเลือดเย็น ใจแม่งหิน!
“ไอ้ขันแม่งมาฟ้องอีกละสิ” ปากผมพูด แต่ตานี่กำลังก่นด่าไอ้ขันที ที่แท้ที่รีบวิ่งออกจากห้องน้ำมาก่อนผมเพราะมันจะรีบมาเล่าเรื่องในห้องน้ำที่ผมถูกยัยบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ทำหัวปูดนี่สินะ ไอ้ขี้ฟ้อง!!
“มึงตัวดีเลยไอ้ขัน จะให้กูเจาะหูทั้งทีดันกลัวคนเห็นว่าตัวเองอ้อนแอ้น ให้ไปเจาะที่ห้องน้ำลับตาคน เป็นไงล่ะ หัวกูปูดมั้ยถามใจมึงดู”
ผมชี้หน้าคาดโทษไอ้ขันที ที่ตอนนี้มันเบะปากทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่
แม่งน่าตื้บสักทีสองทีจริงๆ
“เออ... ทำไมมึงต้องชวนกันไปทำพิเรนท์ที่ห้องน้ำด้วยวะ”
“เจาะหูเหอะ!”
พอไอ้เคซิสพูดไม่เข้าหูหัวร้อนรีบแก้ต่างเหมือนคนโดนไฟลนก้นเลยนะ
ไอ้เชี่ยขันทีมันคิดจะเล่นประตูหลังผมเหมือนที่ยัยนั่นว่าไว้หรือเปล่าวะ!?
พวกเรานั่งเถียงกันเสียงดังลั่นหอศิลป์ ตึกที่พวกเราเลือกลงเรียนกัน ไม่ใช่ว่าเป็นพวกสร้างสรรค์อะไรหรอกนะ ก็แค่ไม่รู้จะเรียนอะไร เลยเลือกเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกออกแบบกันทั้งสี่คน แถมยังอยู่ปีสี่ด้วยกันครบกลุ่มอีกต่างหาก
“เอ่อ...”
ขณะที่พวกเราสี่คนกำลังคุยเล่นกันเพลินๆ ก็มีเสียงนุ่มหูดังแว่วๆ อยู่ข้างหลังผม ไอ้พวกสามคนที่นั่งอยู่คนละฝั่งกับผมก็พร้อมใจกันเงยหน้ามองไปด้านหลังผมที่มีเสียงปริศนาดังขึ้นเมื่อกี้
“ว่าไงครับคนสวย” ไอ้ขันทีรีบเดินจ้ำอ้าวมานั่งม้านั่งตัวเดียวกับผม
ตางี้หว่านเสน่ห์เชียว
“คนไหนคือพี่ซาดีนส์คะ”
ว่าไงนะ? ในมหาลัยนี้ยังมีคนไม่รู้จักผมอยู่อีกเหรอ โคตรอเมซิ่งอะ!
“พี่เองน้อง มีอะไรกับพี่อะ” น้ำเสียงผมแข็งกระด้าง สงสัยจะหงุดหงิดที่เพิ่งรู้ตัวว่ามีคนไม่รู้จักตัวเองอยู่ในมหาลัยแห่งนี้
“คะ คือ มีคนให้หวาเอานี่มาให้ค่ะ” ผู้หญิงที่บอกไม่รู้จักผมในตอนแรก ยื่นซองสีชมพูหวานแหววมาให้ แล้ววิ่งเขินอายออกจากพื้นที่นั้นแทบจะล้ม
“โว๊ะ...แม่ง! หัวบันไดบ้านไม่เคยแห้งนะมึง” ไอ้เคซิสแซวผม
“ก็คนมันหล่อ ทำไงได้”
“กูว่าเพราะมึงเป็นลูกคุณลุงพงศ์มากกว่า”
อ้าว! ไอ้การ์เซียพูดแบบนี้ อยากมีเรื่องกับผมหรือไงครับ
คุณลุงพงศ์ที่ไอ้การ์เซียเรียกนะ คือพ่อของผม หรือก็คือ
ท่านอธิการพัฒนพงษ์ รัตนะวานนท์ เจ้าของมหาลัย RNN ที่ย่อมาจากนามสกุลรัตนะวานนท์ แห่งนี้ยังไงล่ะ
“กูก็เห็นด้วยกับไอ้เซีย”
ไอ้ขันที ไอ้ห่า แม่งแปลพรรคเหรอมึง ฝากไว้ก่อนเหอะ
แล้วก็ไม่ต้องแปลกใจนะ ว่าทำไมเพื่อนในกลุ่มถึงเรียกผมว่า ‘ซีนส์’
เพราะว่าชื่อนี้ผมจะให้เฉพาะคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทเรียกเท่านั้น ต่อให้จะเป็นสาวๆ ที่ผมควงแล้วทะลวงบนเตียงก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกชื่อต้องห้ามนี้ สำหรับผู้หญิงที่จะเรียกได้ นอกจากแม่ ก็ เมีย เท่านั้นแหละครับ
“อย่าไปสนใจพวกมันเลย ไหนเอามาให้เฮียอ่านสิ!”
ไอ้เคซิสมักแทนตัวเองว่าเฮียตลอด มันบอกว่าเป็นการช่วยกระตุ้นสมองพวกผมให้สำนึกว่ามันน่ะแก่กว่าตั้งสองปี ช่วยให้ความเคารพกูด้วย อะไรทำนองนั้น
แล้วที่มันพูดเมื่อกี้คือมันคิดดีแล้วใช่มั้ย? คิดว่าผมจะโง่ยื่นจดหมายสีหวานแหววที่แม้แต่เด็กอมมือยังรู้ว่ามันคือจดหมายรักที่สาวๆ ส่งให้ผมให้มันอ่าน?
ไอ้เคซีสขี้เสือก!!
ผมมองหน้ามันเย้ยๆ แกะซองสีชมพูออก กวาดสายตาคมๆ ของตัวเองมองลายมือที่สวย อ่านง่าย และได้ใจความว่า...
‘คืนนี้เจอกันที่ผับS นะคะ พี่ซาดีนส์ ...จากน้องหวา’
หืม! เดี๋ยวนะ ชื่อหวา? เหมือนกับยัยคนเมื่อกี้เลย
แหม!! เดี๋ยวนี้พัฒนาเนอะ ส่งเอง จีบเอง แต่เนียนกลบเกลื่อน
“ขอตัวว่ะ มีธุระ… ด่วนมาก!!” ผมพูดไว้เท่านั้นก็เดินผิวปากอารมณ์ดี สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา เห้ย! ไม่ใช่แล้ว คนละคอนเซป
แต่ช่างมัน! เพราะตอนนี้ผมก็สองมือล้วงกระเป๋า แต่สองเท้าก้าวเดินไปขึ้นแลมโบสีฟ้าน้ำทะเลรุ่นใหม่ล่าสุดเพื่อที่จะไปรอน้องหวายังผับเอสของไอ้เคซิส
[Endpart]
“ยัยเพลย์!!” เสียงตะโกนแสบแก้วหูของยีนส์ดังลั่นพื้นที่ของโรงอาหาร ที่ตอนนี้ฉันกำลังนั่งรอมันอยู่ “จะตะโกนทำซากอะไร หูจะแตก”
เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงโต๊ะอยู่แล้ว จะมาตะโกนเรียกให้เจ็บคอทำไมก็ไม่รู้
“อย่ามาเนียน” ยีนส์นั่งลงเก้าอี้ม้าหินอ่อนอีกตัวหนึ่งฝั่งตรงข้าม ฉันเลยยิ้มแหยๆ พร้อมกับก้มหน้าเล่นมือถือต่อ
“แกปล่อยให้ฉันเดินไปที่ห้องเรียนนั่น โดยที่ไม่ยอมบอกว่ามันไม่มีคลาสเรียนอะไรของเช้านี้แล้ว แถมยังให้ฉันเดินวนหาแกทั่วมหาลัย...”
ยีนส์เว้นจังหวะเพื่อหอบหายใจ แล้วเริ่มบ่นให้ฉันต่อ
“สุดท้ายแกเพิ่งส่งไลน์หาฉันเมื่อห้านาทีก่อน ว่าแกนั่งหน้าบานอยู่ตรงนี้”
ยีนส์ชี้นิ้วเรียวยาวของเธอลงที่โต๊ะที่เราสองคนนั่ง พร้อมกับเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นทำหน้าเชิงหาเรื่องฉัน “ยีนส์ เพลย์ขอโทษ เพลย์ลืม~”
ฉันทำเสียงอ่อนเสียงหวาน พร้อมส่งสายตาฟรุ้งฟริ้งที่ชอบทำเวลาตัวเองทำความผิด เพราะยีนส์น่ะเธอแพ้สายตาขี้อ้อนของฉันตลอดแหละ
“หึ้ย! มันน่ามั้ย เก็บไปเลยนะ ไอ้สายตาฟรุ้งฟริ้งของแกน่ะ เห็นแล้ว..”
“ใจอ่อนชิมิ~” ฉันแกล้งพูดแซวเพื่อนรักที่นั่งเมินหน้าหนีฉันไปอีกทาง พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ เหมือนกลั้นขำที่มุมปากของยีนส์
พวกเรานั่งทานข้าวกันประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ไม่รู้จะทำอะไรต่อดีเลยเลือกมานั่งเล่นที่ห้องสมุด อีกตั้งสองชั่วโมงแหนะ! ถึงจะได้เรียนคลาสสุดท้ายของวันนี้
ก่อนหน้าฉันเคยลองชวนยีนส์กลับไปคอนโดแล้ว แต่นางบอกขี้เกียจขับนินจาลูกรักเธอวนไปวนมาหลายรอบ เดี๋ยวยางจะสึกหลอเอา แถมอากาศยิ่งร้อนๆ เดี๋ยวลูกรักเธอจะไม่สบาย
“ยัยหวาแกเอาจริงเหรอวะ”
ฉันที่กำลังเคลิ้มหลับ เพราะการนั่งจับเจ่าอยู่ที่ห้องสมุดนานๆ มันชวนให้ง่วง คิดดูนะ บรรยากาศเงียบๆ แถมแอร์ก็เย็นสบายซะขนาดนี้
บาทหนึ่งให้ร้อยเลยเอาเปล่า เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์มาที่นี่เพื่อหลับ!!
“ไม่ลองไม่รู้ แต่ฉันว่าพี่ซาดีนส์ต้องไปตามนัดแน่แก”
คุยไรกันนักกันหนา รำคาญ! ฉันที่นอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่บ่นในใจให้กับเสียงชะนีสองคนที่กำลังคุยอะไรกันงุ้งงิ้งๆ อยู่โต๊ะด้านหลัง
“แล้วแกว่าพี่เขาจะพาแกไปไหนต่ออะ โอ๊ย! ฉันไม่อยากจินตนาการแทนเลยแก มันคงฟินน่าดู~”
ไม่อยากคิดแทนคนอื่นก็หุบปากไปสิยะ!! เพลย์เยอร์คนสวยจะนอน..!
ตึง! เสียงทุบโต๊ะที่ค่อนข้างดังในระดับหนึ่งดังขึ้น ทำให้เสียงที่กำลังจะออกจากปากใครสักคนที่กำลังคุยอยู่โต๊ะด้านหลังเงียบลง
“ขอโทษนะคะ ถ้าอยากฟินก็ไปฟินกันข้างนอกดีไหมเอ่ย ฟินตรงนี้รู้หรือเปล่าว่าชาวบ้านเขา รำ-คาญ!” ท้ายที่สุดฉันก็ทนเสียงแหลมๆ ของสองคนนั้นไม่ไหว เพราะมันเริ่มดังแรงขึ้นและรบกวนการนอนของฉัน เลยปรี้ดแตกทุบกำปั้นลงบนโต๊ะไปหนึ่งดอก พร้อมกับเอี้ยวเสี้ยวหน้างามๆ ของตัวเองหันไปแขวะพวกเธอสองคนเบาๆ
“มีไร?” ยีนส์ที่เพิ่งสะลึมสะลือตื่น ปรือตามองหน้าฉันแบบงงๆ
ส่วนยัยสองคนที่ฉันว่าให้ก่อนหน้า ทำท่าทางและสีหน้าเหมือนไม่พอใจฉันที่ไปขัดบทสนทนานเรื่องผู้ชาย? คิดว่านะ