ตอนที่ 2

3334 คำ
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ฉันเหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้องบอกเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ ใครกันนะมาดึกดื่นขนาดนี้ แต่คอนโดมีเนียมแห่งนี้คนที่จะเข้าออกได้ต้องมีบัตรผ่านประตูตั้งแต่ชั้นล่าง ก่อนที่จะเข้ามาถึงตัวลิฟต์และในลิฟต์เองยังต้องใช้บัตร เพื่อที่จะขึ้นมายังชั้นที่ต้องการหรือเป็นคนข้างห้องมาเคาะห้องผิด ฉันเดินไปที่ประตูมองผ่านช่องมองที่หน้าประตูออก ไปแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะคนที่เคาะประตูอยู่หน้าห้อง คือ เธอสาวสวยที่สระว่ายน้ำ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ฉันเดินไปเดินมาทำอะไรไม่ถูก กำลังตื่นเต้นระคนวิตกกังวล ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม เพราะไม่เคยเกิดอาการเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนและกำลังคิดว่า อาการของฉันคล้าย กับอาการของเพื่อนผู้ชายที่เคยเล่าให้ฟัง เวลาได้พบเจอสาวสวยที่รู้สึกดีด้วยและอยากจะได้มาเป็นแฟน แต่นี่ฉันเป็นผู้หญิงมันไม่น่าจะเกิดอาการเช่นนี้ ฉันคิด แต่เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกครั้ง ดูเป็นการเร่งเร้าว่า ถึงเวลาแล้วที่ควรเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับเธอเสียที เพราะมัวมาเดินไปเดินมาและตื่นเต้นอยู่แบบนี้ คงไม่มีอะไรดีขึ้นแน่ๆ ลูกบิดประตูเย็นเฉียบ ซึ่งฉันไม่แน่ ใจว่าลูกบิด หรือมือของฉันที่สร้างความรู้สึกเย็นเฉียบเข้าไปถึงขั้วหัวใจได้รวด เร็วขนาดนี้ เอาว๊ะเป็นไงเป็นกัน ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเปิดประตูออกมาเผชิญหน้าทั้งๆ ที่ยังไม่ได้คิดหาทางตั้งรับอะไรเลยว่า จะพูดอะไร ยิ้มอย่างไร ทักทายอย่างไรที่จะไม่ทำให้เธอรู้สึกว่า มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ รอยยิ้มมีเสน่ห์ตรึงฉันเอาไว้ เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก ไม่มีคำพูดใดๆ จากปากของเธอและคำถามใดๆ จากปากของฉันทั้งๆ ที่ได้เตรียมคำถามเอาไว้ ในความคิด รอยยิ้มนั้นทำให้รู้สึกตัวเบาหวิวและแอบคิดถึงเธอในชุดว่ายน้ำ ที่ริมสระ ฉันไม่รู้ว่า รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของฉันเป็นเช่นไร แต่รอยยิ้มของเธอดูทะเล้นและมีนัยอะไรบางอย่าง นั่นคงเพราะรอยยิ้มของฉันอาจจะทำให้เธอคิดอะไรบางอย่างอยู่ เธอเบียดตัวเข้าหาทำให้ฉันถึงกับต้องเบี่ยง ตัวหลบเพราะไม่อย่างนั้นหากยืนอยู่นิ่งๆ และปล่อยให้เนินอกของเธอเบียดโดนเข้าที่ตัวฉันล่ะก็มีหวังคงได้รั้งตัวมาโอบกอดเอาไว้ นึกแล้วอยากที่จะหาเชือกมามัดมือตัวเองเอาไว้หวังว่าจะช่วยได้ ไม่ปล่อยให้มือเป็นหนวดปลา หมึกไปเกาะแกะเธอเข้า สาวสวยร่างระหงเดินเข้ามาในห้องดูคุ้นเคย เธอมองไปรอบๆ แล้วหันมายิ้มให้ฉัน ซึ่งยิ้มตอบไปแบบงงๆ เพราะไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอคนนี้จึงเข้ามาอยู่ในห้องนี้ แล้วสาวเจ้าก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกตัวใหญ่สีขาวสะอาด ฉันยืนละล้าละลังประหนึ่งว่า ตัวเองเป็นผู้มาเยือนไม่ ใช่เจ้าของห้องแห่งนี้ แต่แล้วหัวใจก็ส่งแรงผลักให้ไปนั่งข้างๆ เธอ โดยเว้นระยะไว้พอสมควร แต่สายตาที่จ้องมองมากำลังดึงฉันให้ขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ ใกล้มากเสียจนความรู้สึกหวั่นไหวได้เริ่มเข้ามาครอบงำในหัวใจมากขึ้น หัวใจรู้สึกระทึกมากยิ่งขึ้น เมื่อเธอโอบกอดฉันเอาไว้ ฉันพยายามขืนตัวเองเล็กน้อย และเตือนตัวเองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ควรจะเกิดกับฉัน แต่หัวใจที่อ่อนไหวของฉันกำลังสั่งให้ฉันกอดกระชับเธอเอาไว้เช่นกัน กอดของฉันนั้นแผ่วเบาด้วยอยากทะนุถนอมเธอเอาไว้ให้มากที่สุด และอยากโอบกอดเธออย่างนี้ให้นานแสนนาน ฉันเบียดตัวเข้าหาเธอเล็กน้อย ภาพเรือนร่างอันสวยงามที่ได้พบเห็นกลับเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดอีกครั้ง หน้าอกอันได้รูปกำลังเบียดเข้าหาเนินอกของฉัน นึกยิ้มเยาะเจ้าหยดน้ำที่ฉันแอบอิจฉาไปก่อนหน้านี้เพราะได้อยู่ใกล้ชิดเธอ แต่ตอนนี้ฉันได้ใกล้ชิดเธอมากกว่า นี่ฉันคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่คิดอะไรบ้าบออยู่แบบนี้ เธอคลายอ้อมกอดออกจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาคู่สวยของเธอดูเหมือนกำลังค้นหาอะไรในหัวใจของฉัน ซึ่งฉันรู้สึกเช่นนั้น แล้วตัวฉันล่ะอยากเห็นอะไรลึกๆ ในหัวใจของเธอคนนี้หรือไม่ ฉันถามตัวเองแต่ยังไม่ทันได้คำตอบ เพราะเจ้าริมฝีปากสีชมพูอ่อนของเธอที่กำลังขยับเข้ามาและเข้ามาใกล้ริมฝีปากซีดๆ ของฉันซึ่งสั่นระริก ตัวเย็นวาบขึ้นมาทันทีเมื่อริมฝีปากอุ่นๆ นั้นทาบทับไปที่ริมฝีปากของฉันซึ่งรู้สึกแห้งผากไปชั่วครู่ แต่ก็น่าประหลาดแค่เพียงครู่เดียว รู้สึกได้ถึงความชุ่มชื่นขึ้นมาในฉับพลัน หัวใจ เต้นเป็นกลองระรั่วอีกครั้ง รั้งเอาไว้ไม่ได้เสียแล้วทั้งตัวและหัวใจ ซึ่งกำลังเตลิดเปิดเปิงไปกับสัมผัสอันอ่อนโยนของผู้หญิงด้วยกัน จูบของเธอกำลังทำลายความรู้สึกนึกคิดทุกสิ่งและกำลังสะกดฉันให้อยู่กับเธอแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น และดูว่าจะได้ผลเสียด้วย เพราะจูบของฉันที่ตอบรับไปกำลังทำให้เธอรุกเร้ามากขึ้น หน้าอกของฉันถูกหน้าอกอันสวยงามของเธอเบียดแนบชิดมากยิ่งขึ้น ฉันเริ่มขยับตัวเข้าหาความนุ่มนวลบนเรือนร่างของเธอเช่นกัน รู้สึกโหยหาเรือนร่างอันอบอุ่นที่กำลังกอดรัดฉันเอาไว้ ร่างกายที่เย็นเฉียบไปเมื่อสักครู่กลับรู้สึกอุ่นขึ้น แต่มารู้สึกรุ่มร้อน เมื่อมืออันอบอุ่นของเธอแทรกผ่านเสื้อยืดตัวบางของฉันเข้าไปสัมผัสที่จุดเล็กๆ บนเนินอก ฉันรู้สึกตกใจเล็ก น้อย แต่ความอ่อนโยนจากมืออันนุ่มนวลที่รึงเร้าเคล้าคลึงเบาๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ฉันอยากล่วงล้ำและสัมผัสไปที่เนื้อตัวของเธอบ้าง แต่ยังรั้งรออยากซึมซับสัมผัสอันอ่อนโยนของเธอก่อน จูบอันเร่าร้อนที่กำลังสำรวจไปที่บริเวณใบหน้าและลำคอทำให้ฉันรู้สึกว่า ร่างกายเริ่มร้อนระอุ จนแทบอยาก จะถอดอาภรณ์ที่สวมใส่ออกเสียให้สิ้น เผื่อจะช่วยให้ความร้อนที่กำลังทวีขึ้นเรื่อยๆ จากการรุกเร้าของเธอคลายลงได้บ้าง ชายเสื้อกำลังถูกยกให้สูงขึ้นด้วยมือของเธอ ซึ่งคงอ่านใจของฉันได้ ดวงตาคู่สวยกำลังจ้องมองและเห็นสิ่งที่หัวใจของฉันต้องการ เสื้อยืดถูกถอดออก อุณหภูมิเย็นฉ่ำของห้องทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน แล้วสิ่งที่ฉันคิดได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพที่กำลังค่อยๆ เคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า เสื้อยืดสีขาวของเธอกำลังถูกถอดออกเช่นกัน ฉันแทบจะหยุดหายใจ เมื่อได้เห็นภาพเรือนร่างอันงดงาม ซึ่งไม่มีเจ้าชุดว่ายน้ำบดบังทรวดทรงอันสวยงามของเธอ ผู้หญิงนะ ผู้หญิง ฉันรำพึงออกมาเบาๆ แต่ไม่ใช่เป็นการเตือนตัวเองว่า ฉันและเธอเป็นผู้หญิงด้วยกัน แต่กลับกลายเป็นว่า ฉันกำลังหลงใหลกับเรือนร่างของผู้หญิง เรือนร่างของเธอ ซึ่งสวยสดงดงาม จนฉันต้องพร่ำเพ้อออกมาและคิดอยู่ในใจว่า ผู้หญิงทำไมถึงได้มีเรือนร่างสวยสดงดงามน่าชิดใกล้ได้มากมายขนาดนี้ ฉันถอนใจเล็กๆ นึกอยากแตะต้องเนินอกอันสวยงามของเธอ หากแต่ว่า ก็อายสายตาอันขี้เล่นแฝงแววทะเล้นที่ดูจะคาดเดาและมองทะลุเข้าไปถึงหัวใจได้ว่า ฉันกำลังต้อง การที่จะสัมผัสไปบนเรือนร่างของเธอและก็เป็นดังที่ฉันคิด เธอรู้ถึงความคิดของฉัน เธอจับมือของฉัน จูบเบาๆ ไปที่ฝ่ามือ ซึ่งความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านไปจนถึงขั้วหัวใจ จนฉันกลั้นหายใจไปชั่วขณะ เธอได้นำพามือของฉันไปทาบทับที่เนินอก ซึ่งรู้สึกถึงความนุ่มนวลชวนฝัน ความรู้สึกของฉันเริ่มกระเจิด กระเจิงจนควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ ฉันหลับตาและค่อยๆ เคลื่อนมือไปที่บริเวณเนินอกของเธอ อยากสัมผัสความรู้สึกของความอ่อนโยนบนเรือนร่างของเธอด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพียงแค่ภาพที่ได้เห็น เธอเริ่มขยับตัวเข้ามาหาฉันอีกครั้งหน้าอกเปลือยเปล่าของเธอที่แนบชิดมาบริเวณเนินอกเปลือยเปล่าของฉันได้ฉุดดึงฉันให้เบียดร่างแนบชิดกับตัวเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จูบที่แผ่วเบาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งและร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันเริ่มรู้สึกว่า อยากมีมือให้มากขึ้นกว่านี้ อยากมีมือเหมือนทศกัณฑ์ อยากจะสัมผัสบนร่างกายอุ่นๆ และนุ่มนวลของเธอ ฉันยิ้มเล็กๆ ทั้งๆ ที่ยังจูบเธออยู่ และรู้สึกว่าเธอกำลังยิ้มอยู่เช่นกัน “คิดอะไรอยู่” เธอถามฉัน ซึ่งอมยิ้มจ้องมองดวงตาคู่สวยของเธอ “อยากเป็นทศกัณฑ์ มีสักสิบมือ อยากกอดเอาไว้ไม่ให้ไปไหน” ฉันบอกพร้อมยิ้มอายๆ หลบสายตาของเธอที่ยิ้มทะเล้นและพยายามที่จะมอง ลึกเข้าไปล้วงความลับในหัวใจฉัน ฉันรู้สึกเช่นนั้น “แค่หัวใจของคุณ ก็โอบกอดเอาไว้ไม่ให้ไปไหนได้อยู่แล้วล่ะ” จูบเล็กๆ กับคำพูดของเธอทำให้ฉันยิ้มออก “แค่หัวใจ” “ใช่ขอแค่หัวใจที่จริงใจก็พอแล้ว” เธอหอมแก้มของฉันเสียงดังฟอดใหญ่พร้อมจูบที่ตามมาอีกครั้ง “หัวใจ” เสียงรำพึงของฉันไม่รู้ดังมากจากหัวใจหรือออกมาจากปากกันแน่ แต่กำลังมีเสียงบางอย่างดังแทรกเข้ามา ภาพของเธอที่เห็นจึงค่อยๆ จางหายไป ฉันพูดบางอย่างและพยายามไขว่คว้าเธอเอาไว้ แต่ไม่เป็นผลเพราะเธอหายไปเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ฉันรีบลุกขึ้นกดเจ้านาฬิกาที่นำพาเสียงดังเข้ามา จนทำให้เธอนั้นหายไป ฉันลุกขึ้นมองไปรอบๆ บริเวณห้องนอน ซึ่งก็เป็นห้องนอนที่ดูเป็นปกติเหมือนดังเช่นทุกวัน เสื้อยืดที่สวมใส่ยังคงให้ความอบอุ่นกับฉันเหมือนเดิม ฉันแค่ฝันไปทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน ไม่มีเธอ มีแต่ฉันเพียงลำพัง แต่น่าแปลกความอบอุ่นในหัวใจกลับไม่ได้จางหายไปไหน ความฝันได้ทำให้ฉันมีความสุขในหัวใจ ทำให้ฉันยิ้มได้ รอยยิ้มทะเล้นๆ เกิดขึ้น เมื่อนึกถึงความฝันที่ค่อน ข้างจะบ้า หากถ้าไปเล่าให้ใครฟัง คนที่ได้ฟังคงคิดว่า ฉันเป็นบ้าหรือเป็นพวกลามกแน่ๆ เพียงได้เห็นเธอแค่เพียงไม่กี่นาที เก็บเอามาฝันถึงได้มาก มายขนาดนี้ เป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เรา ฉันบอกกับตัวเอง เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างจางหายไปอีกครั้ง “ตื่นหรือยังนะ เรา” กรวิกาถอนใจมองดูเบอร์โทรศัพท์ที่โทรฯ เข้ามาโดยไม่ได้ใส่ใจนัก เลือกที่จะไม่รับสายและปิดเสียงวางกลับเอาไว้ที่เดิม “ฝันบ้าอะไรกันว๊ะ แม่เจ้าประคุณเอ๊ย” กรวิกาถอนใจเสียยืดยาวกับการฝันซ้ำซ้อน ตอนที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก คิดว่าตื่นจากความฝันแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ตื่นจริงๆ เอาตอนที่ได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ กรวิกาดึงคอของเสื้อยืดให้กว้างขึ้น เพื่อดูรูปร่างของตัวเองภายใต้อาภรณ์แล้วอดที่จะยิ้มกับความฝันบ้าบอของตัวเองไม่ได้ รู้สึกแปลกๆ กับความรู้สึกอบอุ่นที่ยังคงมีอยู่ แต่ฝันก็คือฝัน คือ การสร้างภาพขึ้นมาจากสิ่งที่อาจจะฝังใจอยู่ จู่ๆ ตัวเองก็สร้างภาพขึ้นมาภายใต้จิต แถมยังเจอผู้หญิงคนนั้นตัวเป็นๆ เข้าให้อีกเลยทำให้เกิดเป็นความฝันแปลกๆ ขึ้นมา “เจออีกที จะทำอย่างไรล่ะ จับถอดเสื้อผ้าซะหมดขนาดนั้น ในฝัน แถมยังนัวเนียเสียจนเกือบได้เรื่อง” กรวิกาหัวเราะกับตัวเองก่อนที่จะลุกไปทำกิจวัตรประจำวัน กรวิกามีสตูดิโอสำหรับทำงานโดยเฉพาะ ส่วนคอนโดมีเนียมคล้ายเป็นที่หลบภัย เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่า ตัวกวิกาใช้อาคารสำนักงานซึ่งเป็นตึกสี่ชั้นเป็นที่พักอาศัยด้วย รูปภาพจำนวนไม่น้อยตกแต่งอยู่บริเวณชั้นล่างซึ่งมีไว้รับแขก ส่วนชั้นสองเป็นส่วนรับรองเพื่อนสนิทมิตรสหายซึ่งมักจะแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนปรึกษาหารือกัน ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว เรียกได้ว่า เป็นแหล่งพบปะสำหรับเพื่อนฝูงเลยก็ว่าได้ ถ้าหากใครอยากพบ โดยมิได้นัดหมายสถานที่แห่งนี้มักจะได้พบกับศิลปินใหญ่ที่เพื่อนๆ มักจะชอบพูด แหย่อยู่เสมอ “สวัสดีค่ะ พ่อหนุ่มหล่อ” กรวิกาทักทายคนที่โทรศัพท์เข้ามา “สวัสดีค่ะ สาวสวย อยู่ไหนคะ” ตุลย์ คือ คนที่โทรศัพท์เข้ามาและเป็นคนรักของกรวิกา ซึ่งคบหากันมาสองสามปีถือได้ว่านานพอที่เพื่อนฝูงจะถามไถ่เรื่องงานแต่งงานเหมือนเมื่อวันก่อนที่ภูดิทถาม “อยู่สตูดิโอค่ะ” “ทำงานหรือคะ” ตุลย์ถาม เพราะเวลาทำงานกรวิกาไม่ค่อยจะสนใจใครหรือเรื่องอะไรสักเท่าไรนัก “ใช่แล้ว รับงานนายภูมาค่ะ ถูกบังคับแต่เต็มใจทำ” กรวิกาหัวเราะกับคำพูดย้อนแยงของตัวเอง “เจ้าภูเก่งนะ บังคับ กร ทำงานได้ด้วย ถ้าอย่างนั้นพี่ไม่ไปกวนดี กว่าเดี๋ยวโดนสีสาดใส่อีก กรเสร็จงานแล้วโทรศัพท์หาพี่นะ ทานข้าวกัน” “ดูก่อนนะคะ ทำงานทีไร มักจะเพลินจนลืมเวลา” “จ้ะ เป็นแฟนศิลปินต้องทำใจเนอะ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ตลอด” ตุลย์หัวเราะ กรวิกาเองยิ้มๆ เพราะกว่าหนุ่มที่ไปมาหาสู่กันนั้นจะเข้าใจทำเอาจะเลิกรากันไปหลายรอบอยู่เหมือนกัน “น่ารักที่สุด ขอบคุณค่ะ เอาเป็นว่า ถ้าเสร็จงานแล้วจะโทรฯ ไปนะคะ นอกจากเลี้ยงข้าวแล้ว จะยอมไปฟังเพลงด้วย ให้รางวัลความน่ารักของ พี่ตุลย์” กรวิกายิ้มๆ เพราะปกติไม่ค่อยที่จะยอมออกไปท่องราตรีนัก “โอ้โห อารมณ์ดีอะไรมาแต่เช้าคะ ถ้าอย่างนั้นพี่ตั้งป้อมรอที่ทำงานเลยนะคะ รอโทรศัพท์อย่างใจจดใจจ่อเลย ขอให้งานลื่นไหล คิดถึงกรนะ” ตุลย์หยอดคำหวานก่อนที่จะวางสายไป กรวิกายืนยิ้มจ้องมองผืนผ้าใบ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้า ศิลปินใช้อารมณ์ที่ฉวัดเฉวียนเข้ามาในความรู้สึก บางทีภาพก็ผุดขึ้นมา ซึ่งกรวิการู้สึกได้ด้วยจิตที่ไม่สามารถอธิบายให้ใครฟังได้ อาจจะคล้ายกับคนที่นั่งสมาธิแล้วเห็นภาพ แต่กรวิการู้สึกได้โดยไม่ต้องทำสมาธิแต่อย่างไร สุดท้ายแล้วความประณีตและความละเอียดอ่อน จะช่วยขัดเกลาให้ภาพที่ร่างขึ้นจากความรู้สึก สวยสดงดงาม หลังจากจัดเตรียมอุปกรณ์จนครบครัน กรวิกากอดอกและทำท่าขบคิดก่อนที่จะเริ่มตวัดปลายพู่กันลงบนผืนผ้าใบ ปยุดากำลังสาละวนกับการทำไอศกรีมอยู่ที่ร้านของตัวเอง ซึ่งเปิดกิจการด้วยความชอบส่วนตัว แม้ทางครอบครัวจะทัดทานอย่างไรแต่เธอยัง คงดื้อรั้นที่จะทำอยู่ดี ในเมื่อสามารถจัดสรรเวลาในการทำงานหลายอย่างได้ประเด็นต่างๆ ที่ถูกทัดทาน จึงจางหายไป ปยุดาชิมรสชาติของไอศกรีมที่รังสรรค์ขึ้นด้วยความคิดและความชอบส่วนตัว ไอศกรีมส่วนใหญ่ถือได้ว่าผ่านการพิจารณาและเลือกสรรมาอย่างดีแล้ว จึงทำการผลิตออกจำหน่าย เรื่องของผลกำไรนั้น อาจจะไม่มากมายเหมือนธุรกิจอื่นๆ แต่ทุกครั้งที่ปยุดา ทานไอศกรีมมักจะมีความสุข จึงอยากแบ่งปันความสุขให้กับคนอื่นๆ ด้วยยิ่งกับเด็กๆ ด้วยแล้ว ยิ้มกันตาหยีเลยทีเดียว เมื่อได้ลองลิ้มชิมไอศกรีม “คุณยุ่ง ชิมไอติมซะปากเลอะไปหมดแล้วค่ะ” พนักงานยิ้มให้กับเจ้านาย ซึ่งมักจะอารมณ์ดีเสมอ เมื่อได้ทานไอศกรีม “ของอร่อย ต้องกินให้เลอะๆ แบบนี้แหละ” ปยุดาตักไอศกรีมและทำท่าจะป้อนให้กับพนักงานที่ยิ้มอายๆ และส่ายหน้าทำท่าถอยหลังออกไป แต่ปยุดาพยักหน้า จึงต้องขยับเข้ามาใกล้ๆ อีกครั้ง “เป็นไงบ้าง” “หูย อร่อยมากเลยค่ะ มิน่าคุณยุ่งชิมซะปากเลอะไปหมด” “เห็นมะ บอกแล้วว่าอร่อย สูตรคุณยุ่งซะอย่าง ผสมซะมั่วเลย” “จดสูตรไว้หรือเปล่าคะ” พนักงานรีบถาม เมื่อได้ยินว่า สูตรมั่ว “โน่นแน่ะ ขยุกขยิกหน่อยนะ มือเลอะเทอะไปหมด ฝากด้วยนะจ๊ะคนสวย ไอติมที่เหลือยกให้ ถ้าไม่กลัวอ้วน” ปยุดาหันมายักคิ้วล้อพนักงาน “เรื่องอ้วน หนูไม่กลัวค่ะ ขอบคุณนะคะ เรื่องสูตรเดี๋ยวส่งไปให้ทางโรงงานจัดการแล้วจะเอามาให้คุณยุ่งชิมอีกครั้งนะคะ” “จ้ะ ไปนะ” ปยุดาเดินยิ้มออกไปท่าทางอารมณ์ดีเสียจนพนักงานอดที่จะแปลกใจไม่ได้ “แบบนี้ทุกวันที่เข้ามาก็ดีสิ” พนักงานหัวเราะเล็กๆ เมื่อได้บ่นพึมพำถึงเจ้านาย ซึ่งเพิ่งเดินออกไปเมื่อสักครู่ ภูดิทโทรศัพท์เรียกให้กรวิกาลงมาบริเวณชั้นล่าง ซึ่งมีขนมนมเนยมาฝาก แต่คนที่เพิ่งมาเปิดประตูให้ทำท่าทางฉงนสนเท่ห์กับความเอาใจใส่ของเพื่อนรัก ซึ่งอาจจะมาเรียบๆ เคียงๆ เรื่องงานของลูกค้าหรือเปล่าไม่แน่ใจนัก “ใจดีนะ นังภู มีแวะซื้อของกินมาฝากด้วย” กรวิกาพูดเหน็บแนมเพื่อนรัก ซึ่งค้อนวงเล็กๆ ก่อนที่จะเข้ามาภายในบริเวณห้องรับแขก “อย่ากินเลย ปากไม่ดี” ภูดิททำหน้าดุใส่ “ขอบคุณนะค๊า กำลังหิวอยู่เลย” กรวิกาพูดอ้อน จนภูดิทยักไหล่และยิ้มแป้นออกมา “ไอติม กินเลยจะได้อารมณ์ดีทำงานลื่นไหล” ภูดิทบอก “รู้ใจนะยะ กินด้วยกันไหม ซื้อมาซะเยอะเลย” กรวิกาเอ่ยปากชวน “ไม่ล่ะ แวะมาแป๊บเดียว แล้วก็ไม่ได้มาทวงงานนะ คิดไม่ดีกับเพื่อนกับฝูงบาปนะยะ นางกร” ภูดิทออกจริตจะก้าน จนกรวิกาหัวเราะลั่น “ไอติมอร่อยดีนะ คราวหน้าขอรสชาติที่มันออกใหม่สิ อันนี้เคยกินแล้ว กินมาตั้งหลายครั้งแล้วด้วย” กรวิกาพูดบ่นพึมพำ “นางกรคะ ไม่มีค่ะ รสชาติที่ออกใหม่น่ะ ถามพนักงานแล้ว” “มีสิ คราวหน้าต้องได้รสชาติใหม่มานะ ไม่งั้นงานหล่อนไม่เดินนะยะ นางภู” กรวิกาพูดดุภูดิทที่ทำหน้าจ๋อยไป “โห ดิฉันมิต้องโทรศัพท์ไปถามที่ร้านทุกวันหรือเจ้าคะ ว่ามีรสชาติใหม่ออกมาหรือยัง” ภูดิทพูดเสียงอ่อยๆ “งานน่ะ จะเอาไหม นี่กะว่าจะแบ่งเปอร์เซ็นต์ที่ช่วยหาลูกค้ามาให้ด้วยนะ พูดมากนักเปลี่ยนใจดีกว่า” กรวิกาอมยิ้ม “อย่าเปลี่ยนใจเลยนะ เดี๋ยวไปบอกที่ร้านให้คิดสูตรใหม่ให้เลย” “ดีมาก ไม่ได้ไอติมรสใหม่มา อดส่วนแบ่งแน่นอน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม