กรวิกาไม่ได้พูดคุยอะไรเกี่ยวกับเรื่องของตุลย์มากมายนัก รวมถึงไม่ได้ไปถามไถ่อะไรตามคำแนะนำของภูดิท ซึ่งกรวิกาเข้าใจว่าเพื่อนคงเป็นห่วงและกังวลใจ แต่ความคิดกลับไปวนอยู่กับสาวสวยในรูปถ่ายนั้นเสียเป็นส่วนใหญ่
“หวงอยู่เงียบๆ ก็ได้” กรวิกาพูดเสียงอ่อยๆ มองดูลำคลองซึ่งยังคงใสสะอาดและภาพโดยรอบยังมีสีเขียวขจีของท้องทุ่งให้เห็น หากวันที่ต้นข้าวออกรวงคงสวยสดงดงามมาก เพราะปกป้องเคยเล่าให้ฟังตั้งแต่เพิ่งได้รู้จัก แต่ด้วยความที่หนุ่มน้อยเติบโตมากับท้องไร่ท้องนา จึงทำให้ความงดงามที่ได้เห็นกลายเป็นเรื่องปกติไป ภาพที่เห็นปกป้องพายเรือแจวมาทำให้กรวิกามีรอยยิ้มและถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ซึ่งปกป้องยิ้มอายๆ เมื่อได้เห็น
“สวัสดีครับ” ปกป้องพนมมือไหว้กรวิกา
“สวัสดีครับ ตกลงพี่จะได้กินกับข้าวอร่อยๆ ใช่ไหม” กรวิกาหัวเราะ
“แน่นอนครับ แม่ทำกล้วยบวชชีไว้ให้ด้วยครับ กว่าเราจะคุยงานเสร็จคงได้ทานพอดีครับ” ปกป้องบอก
“เออ พี่ซื้อเสื้อผ้ามาฝากแม่ ของกิน ของใช้ด้วย ก่อนกลับเตือนด้วยล่ะ” กรวิกาบอกกับหนุ่มที่พนมมือไหว้อีกครั้ง
“ส่งเสียเล่าเรียนก็เยอะแล้วครับ ยังซื้อของมาเยอะแยะตลอดเลย”
“เดี๋ยวพี่แก่ ป้องก็ส่งข้าว ส่งน้ำ ด้วยแล้วกัน ตกลงตามนี้นะ”
“ได้เลยครับ” ปกป้องยิ้มอายๆ เมื่อกรวิกาเอื้อมมือมายีที่ศีรษะอย่างเอ็นดูดุจดั่งเป็นพี่น้องกันเลยก็ว่าได้ แต่ปกป้องไม่กล้าคิดขนาดนั้น คิดว่า กรวิกาเป็นผู้มีพระคุณเสียมากกว่า
เจ้าอาวาสได้ให้ข้อมูลเรื่องผู้ดูแลปัจจัยและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดูแลซ่อมแซมบูรณะอุโบสถ ซึ่งกรวิกาอาสาช่วยเรื่องปัจจัยในส่วนที่เกี่ยวกับงานศิลปะที่เป็นจิตรกรรมฝาผนัง เจ้าอาวาสท่านเห็นด้วยสำหรับคำแนะนำของกรวิกา อันที่จริงแล้วร่องรอยจางๆ ของภาพที่ได้เห็น ถือได้ว่ามีเสน่ห์ค่อนข้างมาก แต่หากได้อนุรักษ์ไว้ ความชัดเจนจะสามารถยืดอายุเค้าโครงเดิมเอาไว้ได้อีกนานแสนนาน เพราะบางส่วนมีคราบและร่องรอยของน้ำฝนที่รั่วไหลลงมาค่อนข้างมาก
“ขอบคุณมากนะ คุณโยม” เจ้าอาวาสบอกกับกรวิกาที่ก้มลงกราบท่านในทันที
“คงต้องขอบคุณ ป้องค่ะ ที่ชวนมา”
“เรียนจบ คงได้บวชเรียนนะ เรา” เจ้าอาวาสพูดคล้ายกำชับ
“ผมจะบวชให้พี่กรด้วยนะครับ” ปกป้องบอก
“ขอบใจ ไว้จะมาเกาะชายผ้าเหลืองนะ”
เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะดังขึ้นอยู่เป็นระยะ มารดาของปกป้องนั้นมีรอยยิ้มสวยๆ ในทุกๆ ครั้งที่กรวิกามาเยี่ยมเยียน รวมถึงมีเรื่องต่างๆ มาก มายมาเล่าให้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องของการทำนาและเรื่องของลูกชายคนเดียว ซึ่งตั้งใจร่ำเรียนจนใกล้จะเรียนจบในอีกหนึ่งปีข้างหน้า
“ทานเยอะๆ นะคะ”
“ขอบคุณค่ะ แม่ ถ้ามาบ่อยๆ กรคงอ้วนแน่” กรวิกายิ้มให้กับสาวสูงวัยที่มีรอยยิ้มสดใสเมื่อได้รับคำชม
“ผอมจะแย่แล้วค่ะ คุณน่ะ”
“ผมเห็นด้วยครับ มาดูงานบ่อยๆ คงมีน้ำมีนวลขึ้นนะครับ พี่กร”
“กินข้าวมื้อเย็นสองจาน อิ่มเอิบมากกว่านะ ยังจะกล้วยบวชชีอีก”
“ไม่รบกวนงานหรือคะ มาช่วยงานที่วัดน่ะ” มารดาของปกป้องถาม
“ไม่หรอกค่ะ งานกรไม่ค่อยเป็นเวลา ตามประสาคนขี้เกียจค่ะ แม่” กรวิกาหัวเราะเล็กๆ มารดาของปกป้องเองก็เช่นกัน
“มีงานอะไรจะใช้ เจ้าป้อง เรียกใช้ได้เลยนะคะ คุณ”
“ให้กลับมาช่วยงาน แม่ ดีแล้วล่ะคะ อีกอย่างนายป้องต้องทำงานเกี่ยวกับเรื่องเรียนของตัวเอง กรรู้ว่า ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากอยู่ค่ะ”
“วันก่อน เอาเงินมาให้ก้อนหนึ่ง หลายสตางค์อยู่ค่ะ บอกว่างานที่วาดขายได้ แม่บอกให้เอาไปให้คุณ ป้องบอกว่า เอาไปให้แล้ว แต่คุณไม่รับให้เอามาให้แม่เข้าธนาคารไว้เผื่อจำเป็น” มารดาของปกป้องเล่าไปน้ำตาคลอด้วยความตื้นตันใจ
“กรไม่ได้เดือนร้อนเลยค่ะ เรื่องเงินทองน่ะ ดีใจที่ได้ช่วยเหลือป้อง ซึ่งเป็นเด็กดี ถือเป็นโชคดีของกรด้วยนะคะ ได้รู้จักแม่ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ แถมทำกับข้าวอร่อยมากๆ ด้วย” กรวิกาหัวเราะ ส่วนมารดาของปกป้องนั้นยิ้มอายๆ
“ว่างๆ มานอนค้างบ้างก็ได้นะคะ อากาศดีตอนค่ำๆ ลมพัดเย็นสบาย พายเรือไปทางคุ้งน้ำด้านโน้นบางช่วงหิ้งห้อยเต็มไปหมด
เชียวค่ะ”
“ไว้กรจะมาวาดรูปนะคะ ขอรบกวนแม่ไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ”
“ยินดีค่ะ ไม่รบกวนเลย แม่จะดีใจมากเลย ถ้าคุณมา”
“แม่ทำที่นอนเองเลยครับ พี่กร เผื่อให้พี่กรด้วยครับ” ปกป้องบอกหลังจากไปเก็บล้างทำความสะอาดถ้ายชามเรียบร้อยแล้ว
“โอ้โห ไว้มาคราวหน้าเอาเสื้อผ้าติดรถมาด้วยดีกว่า มีที่นอนพร้อมแล้วด้วย” กรวิกายิ้มอย่างสุขใจกับน้ำใจที่ได้รับ
บ้านของปกป้องเป็นบ้านไม้ทรงไทยยกพื้นสูง มีชานหน้าบ้านตามแบบบ้านของคนสมัยก่อน ซึ่งเท่าที่ทราบมาเป็นมรดกตก
ทอดมาจากตากับยายและมารดาไม่ได้มีเงินทองมากมายที่จะปลูกสร้างใหม่ บิดาของปกป้องนั้นเสียไปตั้งแต่เขายังเด็ก แต่ชีวิตของผู้คนโดยรอบคล้ายเป็นญาติกันซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นนักสำหรับชีวิตคนเมือง ถือได้ว่าแปลกอยู่เพราะละแวกบ้านของปกป้องอยู่ในเขตปริมณฑล ซึ่งติดกับเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ แต่ความเป็น อยู่กับชีวิตประจำวันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
สีเขียวของทุ่งนาทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น จนลืมความกังวลใจที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ไปได้ทั้งหมด ลมพัดเย็นสบายอยู่ตลอดเวลา อาจจะเพราะชานหน้าบ้านเป็นชานโล่งๆ ไม่มีรั้วล้อมแต่อย่างใด ดูๆ ไปบรรยากาศคล้ายในหนังเก่าๆ อย่างเช่นแผลเก่า เรื่องของทุ่งนา เรื่องของขวัญกับเรียม แต่สมัยนี้ไม่ได้ใช้ควายไถนา มารดาของปกป้องเคยเล่าให้ฟังว่า เคยมีอยู่ตัวหนึ่งแต่ชราไปตามสภาพจนกระทั่งตายไป หากจะหามาใหม่ราคาก็ค่อนข้างแพงการมีสัตว์เลี้ยงนั้นสร้างความผูกพันให้ค่อนข้างมาก เพราะตอนเสียไปทำให้รู้สึกคล้ายสูญเสียคนในครอบครัวเลยทีเดียว และที่สำคัญไม่มีปัญญาจะซื้อมาใหม่ด้วย ทางเลือกจึงเป็นรถไถที่ไม่ต้องเป็นเจ้าของเอง แต่ว่าจ้างมาจัด การให้ก่อนที่จะเริ่มหว่านเมล็ดข้าว
“ยายตาสวยเอ๊ย” เสียงดังแว่วๆ มาตามลม กรวิกาขมวดคิ้วเล็ก น้อย เพราะเสียงนั้นไม่น่าใช่เสียงมารดาของปกป้อง แต่ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก เพราะเคยได้ยินเสียง หรือมีอะไรประมาณนี้เข้ามาในชีวิตอยู่เป็นระยะ แรกๆ ออกจะแปลกใจ หลังๆ กลายเป็นความเคยชิน หากเป็นเรื่องที่ต้องระแวดระวังหรือคล้ายเป็นการเตือน ถือเป็นเรื่องดีที่ทำให้กรวิกาได้เพิ่มความระมัดระวังในการใช้ชีวิตให้มากขึ้น แล้วจู่ๆ ทำไมถึงได้หวนกลับมานึกถึงสาวสวยในฝันคนนั้นขึ้นมากได้อีก
“หวง” กรวิการำพึงออกมาเบาๆ
“หวงบ้าอะไร” ปยุดาบอกกับเพื่อนที่กำลังเปิดดูรายการอาหาร
“พูดบ้าอะไร”
“เอ้า เห็นว่า หวงๆ อะไรยะ” ปยุดาบอกกับเพื่อน
“จะบ้าหรือยายยุ่ง ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ นัวคนโน้นคนนี้สงสัยมีคนแอบหวงอยู่มั้ง”
“นัวบ้าอะไรล่ะ” ปยุดาแอบคิดและพยายามตั้งใจฟังเสียงนั้นอีกครั้งแต่ไม่มีเสียงใดๆ ให้ได้ยินอีก อาจจะหูฝาดไปหรือบางทีคนอื่นอาจจะพูดคุยกันอยู่และตัวเธอเองนั้น กำลังคิดถึงเรื่องงานอยู่ด้วยก็ได้
“รูปนี่ไงจ้ะ ขยันเป็นข่าวเสียเหลือเกินนะ”
“ตอนแยกย้าย ไม่ยักกะถ่าย” ปยุดาบ่นพึมพำ
“เบื่อแล้วหรือ”
“เปล่าเพิ่งรู้จัก” ปยุดาพูดคุยเป็นเรื่องปกติ
“อยากเห็นแฟนหนุ่มของเธอจริงจริ๊ง ใครกันนะ จะเป็นผู้โชคดีคนนั้น แต่ว่าไปอีตาคนในรูปก็ดูดีมากนะ คลอเคลียพอสุภาพ”
“คลอเคลีย ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักอะนะ สุภาพ”
“อาจจะดีก็ได้นา จะได้เลิกมีข่าวมั่วซั่วซะที แม่ไม่บ่นแย่หรือ”
“แม่เลิกอ่านข่าวนานแล้ว บอกขี้เกียจปวดหัว” ปยุดาหัวเราะ
“นี่อวด แหวนโคตรสวยเลย ได้ของคนแรกด้วย” เพื่อนบอกกับปยุดาพร้อมกับโชว์นิ้วนางข้างขวา
“สวย” ปยุดามีรอยยิ้มแปลกๆ จนเพื่อนทัก
“ยิ้มอะไรยะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แปลกๆ นะ”
“งานสวย ก็ต้องยิ้มสิ”
“ไม่ใช่ยิ้มแบบนั้น มีอะไรที่ยังไม่เล่าให้เพื่อนฟังอีกหรือเปล่า”
“ไม่มี สั่งอาหารได้แล้วหิว” ปยุดาก้มหน้าดูรายการอาหาร แต่แอบยิ้มเมื่อนึกถึงแววตาของผู้หญิงคนนั้น
ตุลย์โทรศัพท์หากรวิกาตลอดช่วงบ่าย แต่ไม่มีการรับสายคล้ายๆ ปิดเครื่องไม่อยากติดต่อกับใคร ไปที่สตูดิโอไม่มีใครลงมาเปิดหรือเป็นเพราะรูปที่ถูกแพร่ออกไปทำให้กรวิกาเลือกที่จะไม่พบปะหรือพูดคุยอะไร
“ภู เจอ กร บ้างหรือเปล่า” ตุลย์โทรศัพท์หาภูดิท
“คุยกันเมื่อเช้า พี่ตุลย์มีอะไรหรือเปล่าครับ” ภูดิทแสร้งถาม แอบนึกถึงกรวิกาขึ้นมา เมื่อเช้าพูดเหมือนไม่มีอะไร แต่ทำไมพอ
ตกบ่ายชายหนุ่มถึงได้มาโทรฯ ตามหาจากเพื่อนฝูง
“โทรฯ ไปปิดเครื่อง พี่เลยเป็นห่วงคิดว่าอยู่กับภู”
“ไม่นะครับ แน่ใจนะพี่ตุลย์ว่าไม่มีเรื่องอะไร เพราะภูโทรฯ เมื่อเช้าก็ปกติดีนะครับ” ภูดิทลองเรียบเคียง เผื่อมีเรื่องอะไรหลุดออกมาบ้าง
“ไม่มีอะไร ขอบใจนะ ถ้ากรโทรฯ หาภู บอกให้โทรฯ หาพี่ด้วยนะ”
“ได้ครับ พี่ตุลย์” ตุลย์วางสายไปแล้ว โดยไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับรูปถ่ายที่มีการส่งต่อกันว่า ตุลย์ท่าทางจะเป็นหนุ่มคนใหม่ของสาวทรงเสน่ห์ แต่กรวิกาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรที่จะออกอาการหึงหวงเลย ทำไมจู่ๆ ถึงไม่รับโทรศัพท์หรือว่าโทรฯ ติดต่อกลับภูดิท ซึ่งทำเอาชายหนุ่มเกิดอาการร้อนรน ปกติแล้ว หากกรวิกาทำงานมักจะไม่รับโทรศัพท์อยู่แล้ว ทำไมตุลย์ถึงต้องกระวนกระวายใจมากมายทำเหมือนกับว่า กรวิกาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ปกติก็ไม่ได้พูดคุยหรือติดต่อกันทุกวัน เพราะสาวเจ้านั้นอารมณ์ศิลปินออกจะตายไป
“อยากเจอ” ปยุดายิ้มจางๆ ล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนขาวสะอาด มองดูภาพร่างเครื่องประดับรูปดวงตา ซึ่งตัวเองเป็นคนออกแบบ หลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนไปเมื่อตอนหัวค่ำ ยิ่งทำให้คิดถึงเจ้าของดวงตาคู่สวยนั้นมากขึ้น ถึงกับรำพึงออกมาเลยว่า อยากเจอ ปยุดาหัวเราะกับตัวเองที่บ้าบอกับแววตาที่ดูมีเสน่ห์ลึกลับคู่นั้น
“อยากเจอ” เสียงพูดนั้นทำให้กรวิกานอนอมยิ้ม เพราะเพิ่งล้มตัวลงนอนและปิดไฟจนมืดสนิทไปเมื่อครู่ เสียงของผู้หญิงคนนั้น
คนที่เคยพูด คุยกันในความฝันทำให้กรวิกามีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น หลับตาพริ้มซึมซับกับความรู้สึกบางอย่างที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอย่างไร รู้เพียงว่า รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ดูเหมือนจะละเม้อเพ้อพกอยู่เพียงลำพังก็ตาม แล้วเสียงแว่วๆ นั้นล่ะ ใช่เสียงเธอหรือคือจิตใต้สำนึกที่แอบฝังความรู้สึกในความฝันนั้นเอา ไว้จนคิดเองเออเองกระทั่งเกิดเป็นเสียงขึ้น และแล้วภาพถ่ายที่ภูดิทส่งมาให้ เมื่อเช้าได้กลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง ทำให้รอยยิ้มของกรวิกาจางลง
“ชอบผู้หญิงหรือเปล่านะ” กรวิกาพูดคล้ายถามตัวเองก่อนที่จะหลับไปมีรอยยิ้มน้อยๆ ปนเปื้อนอยู่บนใบหน้าตลอดคืน
กรวิกามองเห็นตุลย์อยู่หน้าอาคารซึ่งเป็นสตูดิโอ ในบ้างครั้งที่ทำ งานจนดึกดื่นก็จะนอนพักที่นี่ อดที่จะแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นตุลย์เดินไปเดินมาอยู่ตรงบริเวณประตูทางเข้าทั้งๆ ที่เวลานี้เป็นเวลาทำงาน
“หายไปไหนมา” ตุลย์พูดเสียงเข้ม หน้าตาดูไม่ค่อยดีนักยิ่งทำให้กรวิกาแปลกใจมากยิ่งขึ้น
“ทำงานค่ะ พี่ตุลย์มีอะไรคะ ไม่ทำงานหรือ”
“หายไปไหนมาตั้งแต่เมื่อวาน ป่านนี้โทรศัพท์ยังโทรฯ เข้าไม่ได้เลย” ตุลย์เสียงเข้มมากขึ้น เพราะท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของกรวิกา หรืออาจจะโกรธกับภาพถ่ายที่คิดว่า กรวิกาอาจจะได้เห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“เมื่อวานมีงานค่ะ โทรศัพท์แบตหมด อยู่ในกระเป๋าและอยู่ในรถตลอดเลย กรยังไม่ได้จับโทรศัพท์เลยค่ะ” กรวิกาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาชูให้คนที่ทำหน้านิ่งอยู่ดู
“ถ้ากรเป็นอะไรไป พี่จะรู้ไหมเนี่ย” ตุลย์พูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“ปกติ กรก็เป็นแบบนี้อยู่นะ ทำไมวันนี้ดูพี่ตุลย์กังวลมากกว่าทุกครั้ง เพราะเดี๋ยวชาร์ทแบต กรคงโทรฯ กลับ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ” กรวิกาถามแบบชาญฉลาด ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ได้อยากได้คำตอบอะไร
“เป็นห่วง อยู่ๆ ก็หายไป” ตุลย์แอบถอนใจเบาๆ
“ไปทำงานได้แล้ว กรสบายดี เห็นปะล่ะ” กรวิกาไม่ค่อยชอบการทะเลาะเบาะแว้งนัก ในตอนแรกๆ ที่ต้องปรับความเข้าใจกัน
ค่อนข้างจะเบื่อกับการต่อล้อต่อเถียงในเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียด้วยซ้ำ จนภูดิทต้องคอยสอน คอยเตือนให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา สอนแม้กระทั่งการเอาอกเอาใจ แต่สุดท้ายแล้วอะไรที่ต้องพยายามมากจนเกินความเป็นตัวเอง จะทำอยู่ได้ไม่นานนัก อย่างการที่จะต้องพูดคุยโทรศัพท์กันทุกวันเหมือนคู่รักอื่นๆ ตอนแรก ที่ไม่ค่อยเข้าใจกัน กรวิกายอมที่จะทำอย่างนั้น แต่เป็นอยู่ได้ไม่ถึงสามเดือน ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนตอนนี้ที่หายไปบ้าง ได้คุยกันบ้าง แต่ที่ทำให้แปลกใจ คือ ตุลย์ไม่เอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิดหรืออาจจะคิดว่า กรวิกายังไม่เห็นรูปถ่าย เพราะส่วนใหญ่กรวิกาไม่ค่อยสนใจข่าวคราวซุบซิบนินทาอะไรนัก โดยเฉพาะเรื่องราวที่ส่งต่อๆ กันมา หากครั้งนี้ส่งมาโดยภูดิทซึ่งพอจะรู้ว่า คงเป็นห่วงเป็นใยเพื่อน กรวิกาจึงเปิดภาพดู
“กินข้าวหรือยังคะ” ตุลย์เริ่มเย็นลงและปรับโหมดกลับมาเป็นปกติ
“ยังค่ะ”
“ไปกินข้าวก่อน ค่อยมาทำงานนะ”
“ได้ค่ะ หายโกรธแล้วนะ” กรวิกาพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนเล็กน้อย
“ไม่ได้โกรธ แต่เป็นห่วง” ตุลย์ยิ้มจางๆ แต่ไม่ค่อยกล้าสบตาด้วยนัก
“ขอบคุณค่ะ นึกว่าจะมีอะไรมาเล่าให้ฟังเสียอีก ขับตามกันไปแล้วกันนะคะ จะได้ไม่ต้องย้อนไป ย้อนมา” ตุลย์นิ่งไป เมื่อได้ยิน
กรวิกาพูด