“ในเมื่อเสียงยังได้ยิน หวังว่าจะสัมผัสความรู้สึกที่ส่งให้ได้ด้วยนะ” กรวิกาอมยิ้มกับความคิดบ้าบอของตัวเองก่อนที่จะหลับไป
ฉันเริ่มสัมผัสไปที่เนินอกอันได้รูปและแสนนุ่มนวล หัวใจของฉันได้กระซิบบอกกับฉันให้พาหัวใจดวงนี้เข้าไปใกล้ๆ และแนบชิดไว้กับหัวใจของเธอ ฉันทำตามดังที่หัวใจบ่งการด้วยความเต็มใจ ฉันเบียดร่างกายของฉันเข้าหาร่างกายของเธอ หน้าอกของเธอพยายามเบียดให้แนบชิดกับหน้าอกของฉัน จูบของฉันจะไม่ยอมห่างหายไปไหนจะอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากของเธอและทุกอณูบนเรือนร่างอันสวยงามที่สุด เรือนร่างของเธอเหมือนงานศิลปะที่น่าหลงใหล ฉันกอดรัดเธอไว้เพราะการรุกเร้าอันร้อนแรง เธอพรมจูบไปบนเรือนร่างของฉันซึ่งทำให้หัวใจแทบจะหยุดเต้นไปในบางที ฉันถามเธอว่าฉันไม่ได้ฝันอยู่ใช่ไหม เธอยิ้มและจูบฉันแทนคำตอบซึ่งฉันได้ถามไป เมื่อฉันเริ่มรู้สึกว่าโดนรุกล้ำร่างกายรู้สึกเกร็งจนต้องพยายามขยับตัว เธออยากให้ฉันผ่อนคลายจึงพรมจูบอย่างร้อนแรงและฉันก็ตอบรับไปตามความรู้สึกที่ได้รับมา ฉันเริ่มรุกเร้าและรุกล้ำเข้าไปค้นหาความรู้สึกลึกๆ ของเธอ ฉันพบแล้วกับความสุขและดูเหมือนเธอคงรู้สึกไม่ต่างกับฉัน เราโอบกอดกันและกันเอาไว้แนบแน่น ซึ่งในชีวิตฉันไม่เคยจะกอดใครแนบแน่นเท่านี้มาก่อนในชีวิต ฉันอยากอยู่ใกล้เธออย่างนี้ให้นานแสนนาน ร่างกายเธอค่อยผ่อนคลายพร้อมเสียงหอบหายใจรวยระริน ฉันไม่รู้ว่าเสียงหัวใจเต้นโครมครามนั้นเป็นเสียงจากหัวใจของฉันหรือหัวใจของเธอกันแน่ เธอจูบฉันอย่างหน่วงหนักอีกครั้ง แล้วล้มตัวลงนอนทาบทับไปบนเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของฉัน พร้อมกับรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์ แล้วทุกอย่างก็ได้จางหายไป
“ฝันบ้าอะไรว๊ะ ฉัน” ปยุดาถอนใจ เมื่อรู้สึกตัวแล้วลืมตาขึ้นหัวใจ เต้นไม่ค่อยเป็นปกตินัก แสงเรืองรองส่องสว่างให้เห็นเด่นชัด การตื่นจากฝันแปลกๆ นั้นยังไม่เท่าไร แต่เมื่อมองเห็นชุดนอนของตัวเองลงไปกองอยู่ข้างเตียงทำเอาหัวใจเต้นโครมครามหนักกว่าเดิมเสียอีก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เป่าลมออกเบาๆ พยายามควบคุมความรู้สึกและค่อยๆ แง้มผ้าห่ม ซึ่งปกคลุมกายอยู่ ร่างกายได้บอกความรู้สึกกับเจ้าตัวอยู่แล้วว่าไม่มีอาภรณ์ใดๆ อยู่กับเรือนร่างมีเพียงผ้าห่มเท่านั้น แต่ปยุดาอยากให้แน่ใจถึงแม้ว่าชุดนอนจะลงไป
นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นแล้วก็ตาม
“เกิดบ้าอะไรขึ้นนะ ใช่ตัวหรือเปล่า” ความฝันของปยุดาชัดเจนในความรู้สึก หากแต่ว่าคนที่คลอเคลียอยู่ด้วยนั้นภาพไม่ชัดเจนเท่าไรนักถึงแม้จะสัมผัสกันด้วยจูบทั้งอ่อนหวานและร้อนแรง แถมยังเรือนร่างทุกสัดส่วนที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ เหงื่อที่ยังคงซึมอยู่บนร่างกายเปลือยเปล่าทำให้ปยุดาถึง กับถอนใจไม่คิดว่า ความฝันจะดูเหมือนจริงได้มากกมายขนาดนี้
“มาแต่เสียงก็จะแย่แล้ว ยังจะมานัวด้วยขนาดนี้อีก เวลาเจอกันจะให้เค้าทำหน้ายังไงล่ะ” ปยุดารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ถึงกับต้องหยิกตัวเองหวังว่าที่พึมพำอยู่กับตัวเองนั้นเป็นเพียงความฝัน แต่เมื่อเห็นเรือนร่างอันไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ ทำให้ต้องยอมรับว่า ในความฝันช่างเหมือนมีใครบางคนมาคลอเคลียอยู่ด้วย แถมยังสภาพเตียงนอนที่ยับยู่ยี่นั่นอีก
ปยุดาล้มตัวลงนอน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่เพียงลำพัง ความคิดทะเล้นทำให้มาหวนนึกถึงความฝันในคืนที่ผ่านมา ถึงแม้ภาพของอีกคนในความฝันไม่ชัดเจนนัก แต่ปยุดาเชื่อว่า น่าจะใช่กรวิกา เมื่อนึกถึงเจ้าตัวขึ้นมาทำให้ออกอาการเขินอายดึงผ้าห่มมาปิดบังใบหน้า แต่อดที่จะขำตัวเองไม่ได้แค่จูบเดียวทำให้หัวใจปั่นป่วนจนเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะ จนแทบจะลืมไปเลยว่า กรวิกาเป็นผู้หญิงด้วยกัน
“อย่าได้รู้สึกเหมือนกันเชียวนะ มีหวังได้เอาปี๊บคลุมหัวเวลาเจอตัวแน่ๆ” ปยุดาหัวเราะ เริ่มเขินอายตัวเองจึงคว้าชุดนอนมาสวมใส่ ก่อนจะลุกขึ้นฮัมเพลงและเตรียมตัวเพื่อทำกิจวัตรประจำวันต่อไป
กรวิกาเพิ่งขึ้นจากสระว่ายน้ำ ยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้ได้ว่ามีสร้อยกับจี้ที่ห้อยคออยู่แนบชิดกับตัวอยู่ตลอด ทำไมถึงได้รู้สึกดีกับสิ่งที่ได้รับมา ทำไมถึงได้รู้สึกดีกับการได้อยู่ใกล้ๆ ทำไมถึงได้รู้สึกดีกับริมฝีปากอันแสนจะอบอุ่นที่เริ่มมายั่วเย้าให้หัวใจเรรวนได้มากมายขนาดนี้
“ว่าไง ยุ่งยิ่ง” กรวิกาหัวเราะเล็กๆ เพราะมีหวังเดี๋ยวคงได้ถูกบ่นยาวๆ กลับมาแน่นอนที่พูดล้อเรื่องชื่อไปอย่างนั้น
“ไม่ขำนะ” ปยุดาพูดเสียงเข้ม
“อ้าว อารมณ์ไม่ดีแต่เช้าเลย” กรวิกาพูดเสียงอ่อยๆ
“ตัวไปทำอะไรมา อารมณ์ดีแต่เช้าเลย” ปยุดาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นการเป็นงานมาก แต่แอบยิ้มเมื่อนึกถึงความฝันของเมื่อคืนที่ผ่านมา
“เพิ่งขึ้นจากสระว่ายน้ำ ยุ่งเป็นอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงไม่ค่อยดีเลยนะ” กรวิกาเริ่มรู้สึกกังวลกับน้ำเสียงที่ได้ยิน
“มีนิดนึง แฟนตัวมาอยู่ที่ร้านกาแฟข้างล่าง อยากให้เค้าลงไปกินกาแฟด้วย เพื่อคุยเรื่องงานที่ประชุมไปเมื่อวันก่อน” ปยุดาพุด
เสียงอ่อยๆ
“อยากลงไปหรือเปล่า แต่ถ้าจำเป็นก็ลงไปเถอะ”
“ไม่รู้สึกแปลกๆ หรือ เรื่องงานโทรฯ มาคุยก็ได้” ปยุดาบ่นงึมงำ
“แล้วโทรฯ มาหา กรทำไมล่ะ” กรวิการู้สึกสงสัย แต่พอจะเดาได้ว่าคงอึดอัดเพราะครั้งก่อนเคยมีรูปถ่ายหลุดออกมา
“เอ๊า แฟนตัวนั่งคุยกับผู้หญิงสองต่อสองนะ”
“หรือยุ่งคิดอะไรกับพี่ตุลย์” กรวิกาถามไปตรงๆ
“อยากได้คำตอบว่าอะไร” ปยุดาพูดด้วยน้ำเสียงที่ออกจะเหวี่ยงๆ
“คิด หรือ ไม่คิด ง่ายจะตายไป”
“ไม่คุยแล้ว งอน คอยดูนะ นายตุลย์ชวนไปไหนจะไปด้วย จะไปกินกาแฟ จะไปกินข้าว จะไปกินเหล้า แค่นี้นะ” ปยุดาพูดจบแล้ว
วางสายทันทีไม่สนใจคนที่รีบโทรฯ กลับมา
“ถามอะไรออกไปว๊ะ กรวิกา”
ปยุดาลงมาพบกับตุลย์ที่ร้านกาแฟตามที่ชายหนุ่มบอกจากการได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์ ภูดิทซึ่งแต่แรกเห็นตุลย์นั่งอยู่ว่าจะเข้าไปทักทายแต่ช้าไปกว่าสาวสวยที่กำลังนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับตุลย์ ภูดิทจึงมองหาที่นั่งโดยไม่ให้ทั้งสองคนได้เห็น
“เรื่องที่ประชุมกันมีความคืบหน้าแล้ว หรือคะ” ปยุดาถามหลังจากพูดคุยทักทายกัน
“ถ้าไม่มีเรื่องงาน คุณยุ่งจะลงมาทานกาแฟกับผมไหม”
“คนรู้จัก ถ้ายุ่งพอมีเวลาลงมาได้นะคะ” ปยุดาบอก เริ่มรู้ตัวแล้วว่าเรื่องงานน่าจะเป็นข้ออ้าง ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็แปลก ทั้ง
ที่เมื่อวันยังจับมือถือแขนกรวิกาให้เห็นอยู่โต่งๆ แต่วันนี้กลับอยากพบเธอซึ่งกรวิกาเองเคยบอกเอาไว้ว่า กรวิกากับปยุดานั้นรู้จักกัน
“ผมมีคุยงานอยู่แถวนี้ ถ้าเพิ่มมื้อกลางวันด้วย จะได้ไหมครับ”
“ไม่แปลกๆ ไปหน่อยหรือคะ คุณกรจะว่าเอาหรือเปล่า”
“ไม่หรอกครับ นะ” ตุลย์พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ปยุดาได้พบเจอกับชายหนุ่มที่คล้ายๆ กับตุลย์มาเยอะพอสมควร ทำให้มอง
รูปการออกเลยทำ ท่าคิดโดยการมองไปทางอื่น แอบเห็นชายหนุ่มคนเมื่อวานซึ่งเป็นเพื่อนของกรวิกา จึงเลือกที่จะรับปากตุลย์
“บ่ายโมงได้ไหมคะ” ปยุดาบอกกับตุลย์ที่มีรอยยิ้มให้เห็นชัดขึ้น
“ครับผม ให้ผมขึ้นไปส่งไหมครับ”
“ไม่เป็นไรคะ จะขอไปดูขนมนิดหนึ่ง เชิญคุณตุลย์ตามสบายค่ะ”
“คุณยุ่งเลือกร้านไว้เลยก็ได้นะครับ แล้วแจ้งผม”
“คุณตุลย์เลือกเลยค่ะ ยุ่งอยู่ที่นี่คุ้นเคยดี”
“ครับ อย่างไรผมจะโทรฯ หานะครับ” ตุลย์ออกอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาภูดิทรู้สึกหมั่นไส้
“ดีนัก ดีหนา มิตรสหายคนสวยของหล่อน จะถูกงาบผู้ชายไปโดยไม่รู้ตัวนะ ยายกร” ภูดิทบ่นพึมพำ แต่ทำเอาตกใจเมื่อเห็นปยุ
ดาเดินมาทักทาย
“สวัสดีค่ะ คุณภู” ปยุดาพูดและยิ้มทักทายภูดิท ซึ่งลุกขึ้นทักทาย ปยุดาเช่นกัน
“สวัสดีครับ คุณยุ่ง แต่เรียก ภู เฉยๆ ดีกว่าไหมครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ภู ก็ต้องเรียก ยุ่ง เฉยๆ นะคะ” ปยุดายิ้มน้อยๆ ไม่แน่ใจนักว่าควรจะพูดคุยเรื่องของตุลย์กับภูดิทหรือไม่
“ดื่มกาแฟก่อนนะครับ เหมือนเราอาจจะต้องคุยกันยาวหน่อย” ภูดิท ลองเลียบเคียงดูและเป็นการเปรยๆ คล้ายว่า เห็นปยุดาอยู่กับตุลย์
“ถ้าจะคุยยาวอย่างที่ว่า โทรฯ ตาม กร มาคุยด้วยเลยดีกว่าไหมคะ” ปยุดายิ้มให้ภูดิทที่มีรอยยิ้มที่มุมปาก
“เหมือนเปิดใจ ถามได้ทุกเรื่องหรือเปล่าครับ เรื่องหนุ่มเมื่อสักครู่”
“ได้ค่ะ กรทราบแล้วว่า คุณตุลย์มาคุยกับยุ่ง” ปยุดาบอก
“ถ้าอย่างนั้น ภูคงไม่ต้องถามอะไรมั้งครับ” ภูดิทยิ้มน้อยๆ ให้
“ถามได้ค่ะ เพราะยุ่งอาจจะต้องขอความช่วยเหลือ หรือบางทีอาจ ต้องขอคำแนะนำด้วย” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ
“ขยายความหน่อยครับ” ภูดิทยังคงพูดคุยกับปยุดาอย่างสุภาพ
“คุณตุลย์ เจ้าชู้ใช่ไหมคะ” ปยุดาถามเข้าเรื่องทันที
“ไว้ถาม ยายกร ดีกว่านะครับ”
“ยุ่ง ห่วง กร นะ ภู” ปยุดาพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจริงจัง
“ห่วง ยายกร” ภูดิทไม่คิดว่าจะได้ยินปยุดาพูดอย่างนี้ออกมา
“คุณตุลย์ จะมาทานกลางวันอีก บ่ายโมง”
“ยุ่ง รับปากไปหรือ” ภูดิทถาม
“อยากดูท่าที แต่ยุ่งไม่ได้อะไรด้วยจริงๆ นะ”
“ถ้ามีอะไร คงไม่มาเล่าหรอกมั้ง” ภูดิทหัวเราะ
“ยังไม่ได้บอก กร เลยเรื่องมื้อกลางวัน” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ
“เหมือนมีแผน เพราะผู้หญิงอย่าง ยุ่ง ไม่จำเป็นต้องรับนัดหนุ่มคนไหน ถ้าไม่ได้อะไรด้วย ถูกต้องไหมคะ อุ๊ย” ภูดิทเผลอพูด
ออกมา ปยุดาอมยิ้มและกลั้นหัวเราะเอาไว้
“เอาแบบสบายๆ ก็ได้ค่ะ แบบเวลาอยู่กับ กร น่ะ อยากให้คิดว่ายุ่งเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ถ้าไม่รังเกียจ” ปยุดายิ้มๆ มองสบตากับภูดิทที่กิริยาท่า ทางเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย
“หมดกันภาพลักษณ์” ภูดิทหัวเราะ
ปยุดาพูดคุยกับภูดิทแบบเปิดใจ ตอบคำถามทุกเรื่องที่ภูดิทถามคล้ายเป็นการสัมภาษณ์เพื่อนใหม่ ซึ่งทั้งสองคนพูดคุยกันเกี่ยว
กับเรื่องของกรวิกาเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ภูดิทสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ปยุดามีให้กับเพื่อนรักของตัวเอง
“ห่วงกันไปมา” ภูดิทยิ้มๆ
“หมายถึง” ปยุดาถาม
“วันก่อนที่ยายกรไปเจอยุ่งที่ร้านอาหารน่ะ ภูเองที่โทรฯ ไปบอกแกมนินทานิดหน่อย รายนั้นรีบแจ้นมาเลย ภูเองยังเป็นห่วงเลย
คืนนั้น”
“ขอบคุณค่ะ กรบอกเหมือนกันว่า ภูน่ะ น่ารัก”
“สวยด้วย” ภูดิทหัวเราะ
“ถามจริงๆ นะ ภู คุณตุลย์น่ะ เจ้าชู้ใช่ไหม”
“กร ไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไรนัก แต่มีคนมาเล่าให้ฟังบ้างเหมือนกันอย่างเช่นคืนที่มีรูปของยุ่งกับพี่ตุลย์แพร่ออกมา ภูเองที่โทรฯ ไปเตือนเรื่องให้ระวังยุ่ง” ภูดิทพูดเสียงอ่อยๆ
“ตกลง ยุ่ง เป็นเหมือนที่ ภู ได้ยินมาหรือเปล่า”
“ถ้าเป็นอย่างที่ได้ยินมา อีพี่ตุลย์คงโดนกินเงียบๆ เนอะ ว่าไหม” ภูดิทยิ้มเจื่อนๆ คงต้องเลิกคิดหรือตัดสินใครจากข่าวที่ได้ยินมาเสียแล้ว น่า จะขึ้นอยู่กับคนที่เข้ามารู้จักผู้หญิงที่มีพร้อมอย่างปยุดาเสียมากกว่า ถ้าหยิ่งจริงกับภูดิทไม่จำเป็นต้องมาทักทายด้วย
ซ้ำไป ทำเป็นไม่เห็นขึ้นไปทำงานเสียเลยก็ได้
“ตกลงรับ ยุ่ง เป็นเพื่อนแล้วใช่ไหมคะ” ปยุดายิ้มแป้นแล้น ภูดิทหัวเราะไม่แปลกใจทำไมกรวิกาถึงได้สนิทสนมกับปยุดารวดเร็วนัก
“ภูหรือเปล่าที่ต้องถามว่า จะรับภูเป็นเพื่อนไหม”
“ยินดีจ้ะ เพื่อนสาวเนอะ” ปยุดาแกล้งพูดแหย่
“รู้ใจ รักตายเลย” ภูดิทหัวเราะ
“บ่ายๆ ยังอยู่แถวนี้ไหม เป็นเสือสุ่มอยู่เป็นเพื่อนหน่อยสิ” ปยุดาพูดหาพวก เพราะหากภูดิทอยู่ด้วยคงทำให้สบายใจมากขึ้น
“ได้ ภูนัดลูกค้า เที่ยงกว่าๆ น่าจะเสร็จ”
“ขอบคุณจ้ะ ขึ้นไปดูเครื่องประดับข้างบนไหม ยุ่งพาชมด้วยตัวเองเลย” ปยุดายิ้มให้กับภูดิทที่สงวนทีท่าเล็กน้อย แม้จะดีใจจน
แทบจะเต้นแร้งเต้นกาออกมา
“ไว้หลังจากทำงานซุ่มดูก่อนดีกว่าไหม เดี๋ยวต้องไปแล้วสิ”
“ได้จ้ะ ขอบคุณนะ ภู ดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับ ภู นะ”
“คอตั้งเลยนังภู มีสาวไฮโซเป็นเพื่อนกับเขาด้วย” ภูดิทกับปยุดาหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน
ปยุดาโทรศัพท์หากรวิกา หลังจากกลับขึ้นมาที่ห้องทำงานหวังว่าปลายสายจะรับ แต่รออยู่นานมากและรอยยิ้มอายๆ ได้ปรากฎขึ้นเมื่อได้ยินเสียงทักทายจากปลายสาย
“สวัสดีรอบสอง” กรวิกาทักทายคนที่โทรศัพท์มา
“แฟนตัวกลับไปแล้วนะ อ้อคุยกันแป๊บเดียว พอดีเจอภูเลยโทรฯ มารายงานช้าไปนิด ไม่ว่าเค้านะ” ปยุดายิ้มๆ พยายามสลัด
ผู้หญิงในฝันออก ไปจากความคิด
“ไม่เห็นต้องโทรฯ บอกเลย” กรวิกาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นปกติ
“เกิดคิดเหมือน ภู เค้าก็แย่ดิ”
“ภู คิดอะไร” กรวิกาถามไม่คิดว่า ภูดิทจะคุยอะไรกับปยุดามาก มายนัก เพราะตั้งแง่ไม่ชอบเอามากมายขนาดนั้น
“บอกหมดเลย บอกด้วยว่าตัวน่ะ เป็นห่วงเค้า ภูน่ารักดีเนอะ”
“ลดราคาเครื่องประดับไปกี่เปอร์เซ็นต์ล่ะ ซื้อนายภูได้เลยล่ะสิ”
“นาย หรือ นาง ภูแทนตัวว่า นัง เลยนะ” ปยุดาหัวเราะ
“ถามจริง กล้าบอกขนาดนั้นเลย หรือ” กรวิกาถามเสียงหลง
“แน่สิ เป็นเพื่อนสนิทชิดเชื้อกันแล้ว นัดกันตอนบ่ายๆ อีกรอบด้วยนะ จะบอกให้” ปยุดาหัวเราะเล็กๆ ผ่านไปทางโทรศัพท์ทำให้
กรวิกายิ้มน้อยๆ กับความน่ารักของปยุดาที่สามารถเปลี่ยนการไม่ชอบขี้หน้าของภูดิทให้กลับกลายมาเป็นมิตรได้ในเวลาอันแสนจะรวดเร็ว ทั้งๆ ที่รายนั้นไม่ค่อยจะยอมใครง่ายๆ นัก
“จ้ะ แม่จอมยุ่งคนเก่ง เออ กรจะกลับไปพักที่บ้านเช่าแล้วนะ รับปากภูเอาไว้ว่าจะรีบทำงานให้เสร็จ” กรวิกายิ้มแล้วส่ายหน้าไม่รู้ทำไมถึงต้องบอก ปยุดายิ้มดีใจที่ได้ยิน
“ยุ่ง มีงานเพียบเลยไม่รู้ว่าจะไปวันไหน ขับรถเข้ามาหา มากินข้าวกับเค้าบ้างสินะ” ปยุดาพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ
“เพื่อนใหม่ไงจ้ะ นังภูน่ะ ว่างทุกวันเลย ถ้าไม่โดนหนุ่มไหนฉกไประหว่างทาง” กรวิกาหัวเราะ
“นินทาเดี๋ยวจะฟ้อง เออถามอะไรหน่อยสิ” ปยุดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกลังเลอยู่เหมือนกันว่า ควรจะถามออกไปไหม
“ว่า”
“เคยฝันแปลกๆ ปะ” ปยุดาถามคล้ายกระซิบกระซาบทำเอาคนที่ฟังอยู่แปลกใจทำไมต้องทำเป็นพูดเสียงเล็กเสียงน้อยด้วย
“แบบไหนที่ว่าแปลก”
“แบบ แบบ” ปยุดาไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
“ไม่ถามแล้ว แค่นี้ก่อนนะ งานรอเพียบเลย” ปยุดาหัวเราะแก้เก้อทำไมถึงได้เขินอายทั้งๆ ที่พูดคุยโทรศัพท์ แต่หวนมานึกถึง
เรื่องความฝันทำให้ออกอาการบิดไปบิดมาเล็กน้อย
“อ้าวปล่อยให้อยากรู้ แต่ไม่เล่า”
“อยากให้เล่า วันไหนเข้าเมืองขับรถมาพาเค้าไปกินข้าวดิ”
“ดูอ้อยๆ เนอะ” กรวิกาหัวเราะ
“ไม่ใช่ช้าง มาอ้อยเอ้ยอะไร ไปแล้วนะ ขับรถดีๆ ล่ะ” ปยุดาตกลงกับภูดิทว่า จะยังไม่บอกเรื่องราวการนัดรับประทานอาหาร
กลางวันกับตุลย์ ไว้รอดูท่าทีของชายหนุ่มก่อน ค่อยตัดสินใจกันอีกทีว่าจะยังไงดี ปยุดารู้สึกโล่งใจที่ตัดสินใจเข้าไปพูดคุยกับภูดิท
เชื่อว่า คงทำให้กรวิกาสบายใจและไม่เข้าใจผิดในตัวเธอ เพราะเมื่อเช้าพูดจาไม่ค่อยดีออกอาการงอแงไปเสียเยอะ แต่น้ำเสียงของกรวิกาที่ได้ยินนั้นทำให้สบายใจขึ้น เพราะยังมีการต่อล้อต่อเถียงไม่ได้เงียบงันถามคำตอบคำ
“หรืออ้อยว๊ะ แต่ไม่รู้ตัว” ปยุดาหัวเราะ นึกถึงคำพูดซึ่งกรวิกาได้พูดแหย่เอาไว้เมื่อสักครู่