ปยุดากอดหมอนเอาไว้ เพราะไม่อย่างนั้นมีหวังคงได้คว้าตัวคนที่นอนอยู่ข้างๆ มากอดเอาไว้ เหมือนเมื่อคืนที่ไปนอนค้างที่บ้านของปกป้องทำไมผู้หญิงคนหนึ่งถึงได้ห่วงใยในตัวเธอมากมายได้ขนาดนี้ อาจจะเพราะความเป็นคนดีโอบอ้อมอารีและมีน้ำใจ เพราะปกป้องได้บอกเอาไว้ว่าคนที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่นั้นเป็นคนให้ทุนการศึกษา ปยุดายิ้มมองดูกรวิกาผ่านความมืด ถึงแม้จะนอนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก แต่ยังคงเห็นดวงหน้าและริมฝีปากที่แสนนุ่มนวลและอบอุ่น ซึ่งปยุดากล้าหาญเป็นฝ่ายเริ่มจูบก่อนกรวิกาเองไม่ได้ปฏิเสธ แค่เพียงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับสัมผัสนั้น
“ปวดหัวหรือเปล่า ทำไมตื่นเร็วจัง” กรวิกาพูดขึ้น
“เปล่า ตื่นมาดูความน่ารักของคนนอนหลับ” ปยุดาอมยิ้ม
“คนหลับน่ารักตรงไหน”
“ตรงนี้แหละ นอนต่อเถอะ ฟ้ายังมืดอยู่เลย” ปยุดาบอก
“ตื่นแล้วนี่ ไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นกันไหมที่ระเบียงน่าจะเห็นนะ”
“อารมณ์ไหน มาชวนดูพระอาทิตย์ขึ้น” ปยุดาอมยิ้ม แต่ลุกขึ้นโดยเอื้อมมือไปช่วยพยุงกรวิกาให้ลุกตามออกมา
“ปกติ ถ้าตื่นเช้า กร จะออกมาดูพระอาทิตย์ ยิ่งขึ้นอยู่เหนือแม่น้ำ แสงสะท้อนสวยมากทีเดียว” กรวิกาบอกเล่ากับภาพที่ได้เห็น
บ่อยๆ บริเวณคอนโดมีเนียมของตัวเอง
“ไปเห็นที่ไหนจ้ะ สตูดิโออยู่กลางเมืองไม่ใช่หรือ”
“รู้ด้วย” กรวิกาแอบยิ้ม
“ไม่ต้องมายิ้ม ไม่ได้อยากรู้ อยากเห็น นายป้องเล่าให้ฟัง”
“เดี๋ยวเจอจะเขกหัวให้น่วมเลย” กรวิกาพูดพึมพำ
“สวยจริงด้วยเนอะ” ปยุดายิ้ม เมื่อเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านพ้นเส้นขอบฟ้า ซึ่งถึงแม้จะมีบ้านเรือนบดบัง แต่เมื่อ
เริ่มเคลื่อนตัวจนโผล่พ้นขึ้นมาทำให้สีสันของวันใหม่ดูสดใสขึ้น ปยุดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทั้งๆ ที่นอนดึกและตื่นเช้า
มาก
“ได้ความสดใส ได้เติมพลัง”
“เค้านอนดึก ตื่นสาย แล้วขึ้นรถออกมาทำงาน” ปยุดายิ้มจางๆ
“เที่ยวดึกทุกคืน” กรวิกาหันมาถาม
“ทำไมจะตามไปลากกลับบ้านหรือ” ปยุดาหัวเราะ
“โทรฯ ให้ไปรับได้ ถ้าขับรถไม่ไหว” กรวิกาพูดคุยดูเป็นเรื่องปกติแต่คนได้ยินนั้นรู้สึกไม่ปกติ รู้สึกถึงความห่วงใย ซึ่งไม่รู้ทำไม
เหมือนกันปกติ ปยุดาเองไม่ค่อยจะยอมใครสักเท่าไรนัก ยิ่งมาพูดดุเหมือนเมื่อคืนให้ลุกตามออกมาด้วยแล้ว แทบจะไม่น่าจะเป็นไปได้
ว่าจะลุกตามออกมาง่ายๆ ถึงแม้จะมีงอแงบ้างก็ตาม
“ไม่เอาล่ะ เกรงใจ บางทีตั้งตีสอง” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ
“มีหนุ่มไปส่ง ก็ไม่ต้องบอก ถ้าไม่มีใครพากลับ โทรฯ ได้นะ”
“ใจดีจริงๆ”
“ยุ่งก็ใจดี ยังซื้อโทรศัพท์ให้ใหม่เลย” กรวิกาบอก
“คุณตุลย์จะว่าอะไรไหม ถ้ารู้ว่าเค้าจูบตัวเมื่อคืน” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ รู้สึกหัวใจแหว่งๆ วิ่นๆ เมื่อนึกถึงคนรักของกรวิกา
“ไม่รู้สิ กรคิดแทนพี่ตุลย์ไม่ได้หรอกนะ ว่าจะว่าอะไร อย่างไร”
“วางแผนเรื่องแต่งงานหรือยัง” ปยุดาถาม
“ยัง อยากให้รีบแต่งหรือ” กรวิกาหันมามองสบตากับปยุดาที่หันมามองอยู่เช่นกัน
“เปล่า เค้าจะออกแบบแหวนแต่งงานให้นะ ให้เป็นของขวัญ”
“เห็นไหม ยุ่งใจดีกว่า กร อีก” กรวิกายิ้มจางลง เมื่อได้ยินสิ่งที่ปยุดาได้บอกออกมา ริมฝีปากที่ได้สัมผัสกันนั้น กรวิกาอาจจะรู้สึกดีอยู่ฝ่ายเดียว ปยุดาเลยชวนพูดคุยเรื่องแต่งงานคล้ายบอกเป็นนัยๆ อะไรบางอย่าง
“สร้างภาพให้เห็นมั้ง” ปยุดาหัวเราะ ไม่รู้จะพูดเรื่องแต่งงานทำไมเหมือนกัน น้ำเสียงสดใสของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เปลี่ยนไปใน
ทันที หัวใจตัว เองก็เหมือนกัน หากถึงวันนั้นเข้าจริงๆ ไม่รู้จะเป็นอย่างไร
“กรรู้สึกได้ ไม่ได้ดูจากสิ่งที่ทำสักเท่าไร การสร้างภาพวันหนึ่งจะจางไป แต่สิ่งที่อยู่ในความรู้สึกจะก่อตัวไปเรื่อยๆ คนสร้างภาพ
ถ้าออกทุนบูรณะวัดคงต้องโฆษณาตัวเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ยุ่งกลับไปทำบุญที่วัดซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนไปนัก ไม่ไปทำบุญวัดดัง ไม่รู้
ตรงไหนที่เรียกว่า สร้างภาพ”
“ที่ร้ายๆ ยังไม่เห็นมั้ง ไว้เห็นค่อยมาบอกใหม่นะ” ปยุดาบอก
“หยิ่ง งอแง ขี้วีน เหมือนเมื่อคืนนี่ครบไหมที่ว่าร้ายน่ะ”
“จำแม่นเชียวนะ งอแงไม่ค่อยเป็นนะ เป็นเฉพาะกับบางคน” ปยุดาบอกแล้วรีบเดินกลับเข้าไปภายในห้องพัก
ปยุดาขับรถพากรวิกามาที่บ้านพร้อมกับซักซ้อมเผื่อว่า มารดาจะถามอะไรจากกรวิกา ซึ่งคนที่นั่งรถมาด้วยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับคนที่บางทีทำเหมือนเด็กหนีเที่ยวกลางคืนแล้วให้เพื่อนเป็นหน้าม้าให้ยามกลับเข้าบ้าน
“ส่งเราที่สตูดิโอก่อนไม่ดีกว่าหรือ”
“จะพาไปหาแม่ กลัวหรือไง” ปยุดายิ้มแต่ยังคงจดจ่ออยู่กับเส้นทาง
“กร ไม่ได้ทำอะไรลูกสาวท่านสักหน่อย ทำมาพูดดีเดี๋ยวจะฟ้องให้หมดเลย เป็นผู้หญิงไปนั่งกินเหล้าคนเดียวน่ะ”
“อย่าเลยนะ ตัวเอง แม่บ่นเป็นเดือนแน่เลย”
“แม่ดุหรือ” กรวิกาถาม
“เดี๋ยวเจอก็รู้ กินกลางวันที่บ้านเค้านะ แล้วขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึงไปเอาของที่ร้านเครื่องประดับ ไปร้านไอติม แล้วจะไปส่งที่
สตูดิโอ”
“ไม่ถามสักหน่อยเหรอ ว่าว่างหรือเปล่า”
“ว่างหรือเปล่าล่ะคะ” ปยุดาถาม แล้วหันมาทำหน้าทะเล้นนิดหนึ่ง
“เสื้อผ้าจะเน่าก่อนไหมล่ะ เอาเป็นจากบ้านยุ่งไปที่สตูดิโอก่อนได้ไหมเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ค่อยไปต่อ” กรวิกาบอกและมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อเห็นปยุดาพยักหน้าแล้วยิ้ม
“เค้าจองทั้งวันเลยนะ งั้น”
“ปิดโทรศัพท์” กรวิกาหัวเราะและหยิบโทรศัพท์มาปิดจริงอย่างที่พูด ปยุดาหัวเราะไม่คิดว่าจะทำจริง นึกว่าแค่พูดเล่น
มารดามองดูสองสาวที่เดินเข้ามา คนหนึ่งเป็นลูกสาว ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังถูกจ้องมองไม่วางตา ทำเอาลูกสาวแปลกใจ เมื่อมารดาถึงกับลุกออกมาต้อนรับถึงหน้าประตูบ้านเลยทีเดียว
“ตายแล้ว คุณกรวิกา” มารดาพูดทักทายกรวิกาทำให้ปยุดาดูงงๆ
“แม่คะ ลูกสาวหายไปทั้งคืน ไม่ถามสักหน่อยหรือคะ” ปยุดาแปลกใจไม่รู้มาก่อนว่า มารดารู้จักกรวิกาด้วย
“สวัสดีค่ะ” กรวิกาพนมมือไหว้ทักทายมารดาของปยุดา ซึ่งตัวเองกำลังพยายามคิดว่า เคยพบเจอท่านมาก่อนหรือไม่ อาจจะ
ตามงานเลี้ยงที่เคยไปมาบ้าง แต่เอาเข้าจริงยังนึกไม่ออกว่าเคยพบเจอกันที่ไหน
“มาๆ ค่ะ เชิญด้านในเลยค่ะ” ปยุดาหัวเราะกับท่าทางกุลีกุจอที่จะต้อนรับกรวิกา ซึ่งหันมายิ้มๆ กับปยุดาที่พอจะเดาออกว่า คงแปลกใจอยู่เหมือนกัน
“แม่รู้จัก กร ด้วยหรือคะ” ปยุดาถาม
“ไปเอาน้ำมาก่อน” มารดาบอกกับลูกสาวทำเอาปยุดาขำ
“รอดแล้วเรา” ปยุดาหัวเราะหันมาขยิบตาให้กรวิกาที่ยิ้มเจื่อนๆ
“เป็นเพื่อนกับแม่ยุ่ง หรือคะ” มารดาของปยุดาถาม
“ค่ะ คุณน้า”
“แม่ก็ได้ค่ะ” มารดาของปยุดายิ้ม รีบพาไปอวดภาพวาดฝีมือของกรวิกา ซึ่งท่านชื่นชอบมากแขวนเอาไว้ที่ทำงาน กรวิกาเลย
พอจะเข้าใจว่าทำไมท่านถึงได้รู้จักตัวเธอ
“นานแล้วนะคะ ภาพนี้” กรวิกาบอกและเริ่มพูดคุยกับมารดาของ ปยุดาโดยเฉพาะเรื่องภาพเขียน ซึ่งสะสมงานของหลายๆ ท่าน
ที่มีชื่อเสียง กรวิกายิ้มเมื่อได้พูดคุย เพราะมารดาของปยุดาไม่ได้ชื่นชมแค่เพียงชิ้นงานของคนมีชื่อเสียง เพราะบางภาพเป็นงานของ
นักศึกษาก็มี เรียกได้ว่าชอบงานศิลปะมากกว่าชื่อเสียงของศิลปิน ซึ่งหาได้น้อยมากกับคนที่จะชื่นชอบงานจริงๆ ไม่ใช่มีไว้ประดับบ้านเพื่อให้คนอื่นชื่นชม
“แม่ยังชอบอยู่เลยค่ะ แต่มีเก็บไว้ภาพเดียว ช่วงหลังๆ ชักหายากแล้วใช่ไหมล่ะคะ ราคาก็โดดไปสูงทีเดียว” มารดาของปยุ
ดาบอกกับเจ้าของภาพที่ยืนมองดูภาพเขียนของตัวเอง
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ กรคงเริ่มคิดงานไม่ค่อยออก งานเลยออก มาน้อยค่ะ” กรวิกาพูดถ่อมตัวซึ่งทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูมากกว่าเดิม ปยุดาไม่ได้ตามเข้าไปในห้องทำงาน ถือโอกาสไปเปลี่ยนเสื้อผ้าระหว่างที่สองสาวต่างวัยคุยกันอยู่
“ขอแม่อีกสักภาพได้ไหมคะ จะเอาไปไว้ในห้องนอนแม่ลูกสาวเผื่อว่าจะได้คลายความใจร้อนไปได้บ้าง” มารดาของปยุดา
หัวเราะ
“ใจร้อนมากขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“เอาการอยู่ ตัดสินใจอะไรบางทีไม่ค่อยฟังใคร เอาแบบนิ่งๆ เย็นๆ ดูแล้วมีสมาธิหน่อย”
“โจทย์ยากจังค่ะ แม่” กรวิการู้สึกสบายใจกับท่าทางที่เป็นกันเองซึ่งตอนก่อนจะมาแอบคิดไปว่า จะต้องนั่งเกร็งสุภาพเรียบร้อย
พูดน้อยเสียอีกที่ไหนได้กลับเป็นเจ้าของบ้านชวนพูดคุยเสียเป็นส่วนใหญ่
“แม่รู้ว่า หนูกรน่ะ มีความสามารถ สนนราคาตามความเหมาะสมเลยนะ ไม่ต้องคิดว่า แม่จอมยุ่งลูกสาวแม่น่ะ เป็นเพื่อนฝูงหรอก”
“ได้ค่ะ แต่ไม่รู้จะถูกใจหรือเปล่าสิคะ เอาเป็นไว้วันไหนว่างๆ แม่ลองไปดูที่สตูดิโอไหมคะ เผื่อจะมีที่ถูกใจ จริงๆ แล้ว กรมีภาพอยู่ประมาณหนึ่งค่ะ แต่ยังไม่ได้จัดการอะไรอาจจะต้องรอจัดงานนิทรรศการก่อนค่ะ”
“จริงหรือ โชคดีจริงๆ ฉัน ไปค่ะ ไปดื่มน้ำดื่มท่า ทานกลางวันด้วย กันนะคะ”
“ขอบพระคุณค่ะ”
ปยุดายิ้มแป้น เมื่อเห็นมารดาพูดคุยและส่งเสียงหัวเราะระหว่างที่ออกมาจากห้องทำงาน มัวสนใจศิลปินเสียจนลืมซักฟอกลูก
สาวที่แอบหนีไปค้างอ้างแรมที่อื่น อีกหน่อยคงไปไหนมาไหนสบายหน่อย เพราะเห็นแล้วว่ากรวิกาท่าจะเป็นคนโปรดของมารดาไปเสียแล้ว
“น้ำค่ะ คุณกร ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ปยุดายิ้มแป้น เมื่อเห็นกรวิกาแอบทำหน้าดุใส่ ก่อนที่จะหันไปยิ้มและพูดคุยกับมารดาของเธอต่อระหว่างที่พากันเดินไปที่โต๊ะรับประทานอาหาร
ปยุดาปล่อยให้มารดาได้พูดคุยกับกรวิกา ซึ่งหันมายิ้มให้ในบาง ครั้งระหว่างรับประทานอาหารด้วยกัน ไม่เคยรู้มาก่อนเรื่องชื่อเสียงของคนที่ไม่เคยจะเอ่ยปากบอกเล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเองมากนัก ถ้าขืนบอกหรือเล่าเรื่องความมีชื่อเสียง ตัวเธอเองคงไม่ค่อยชอบนักกับการคุยโวโอ่อวด ซึ่งมัก จะได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยๆ เวลาต้องพบปะผู้คนยามที่ต้องออกงานสังคมบ้าง หรือแม้แต่การพบปะผู้คนในวงของเพื่อนฝูงก็ตามที ปยุดาอมยิ้มเพราะน้อยคนนักที่จะได้รับคำชมจากมารดา เรียกได้ว่า ถ้ามารดาของเธอชมให้ถือได้เลยว่า คนๆ นั้นต้องไม่ธรรมดาแน่
“แม่คนนี้ก็นะ ไม่เคยจะบอกเล่าว่า รู้จักกัน” มารดาเริ่มหันมาบ่นลูกสาว กรวิกายิ้มๆ กับคนที่ทำหน้ามุ่ยในทันที
“ไว้จะพามาบ่อยๆ นะคะ” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ
“จะมีเวลาหรือ เที่ยวหัวราน้ำเชียวเราน่ะ” มารดาเริ่มพูดบ่นลูกสาวแต่ยังไม่ได้ซักฟอกเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะพอจะเดาได้
ว่า น่าจะไปกับกรวิกา
“เมื่อคืนดึกไปหน่อยค่ะ กรเลยไม่อยากให้ขับกลับ” กรวิกาพูดออกตัว ปยุดาอมยิ้มหันไปมองสบตากับมารดาที่คงไม่กล้าจะว่าอะไรแน่
“รอดตัวไปนะ เรา” มารดาหัวเราะกับลูกสาวที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่
“รู้ว่ารอด ตั้งแต่พา คุณกร เข้าไปในห้องทำงานแล้ว ดูสิขึ้นไปแต่ง ตัวตั้งนาน ลงมายังไม่ออกจากห้องทำงานเลย” ปยุดาพูด
ด้วยน้ำเสียงงอนๆ ประหนึ่งว่า มารดากำลังหลงรักแขกผู้มาเยือนจนไม่สนใจลูกสาว
“แม่อยากเจอตัวมาตั้งนานแล้ว หาตัวยากเหลือเกิน”
“ยุ่งควรได้รับความดีความชอบ ใช่ไหมล่ะคะ คืนนี้ขอไปเที่ยวนะ”
“ระวังเถ๊อะ ตับเติบจะพังเอานะ เราน่ะ” มารดาพูดตักเตือน
“แม่อย่าอวยพรสิคะ” ปยุดาหัวเราะ
กรวิกาเงียบไปไม่ได้พูดอะไรนัก ระหว่างที่ปยุดาขับรถพากลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สตูดิโอ คงจะเหนื่อยกับการตอบคำถามจากผู้ใหญ่ ซึ่งชวนพูดคุยตั้งมากมายหลายเรื่อง
“ตัวเขียนรูปอย่างเดียวเลยหรือ ตั้งแต่เรียนจบมา” ปยุดาถาม
“ทำเป็นอยู่อย่างเดียว” กรวิกาบอก
“เก่งจัง ได้ทำงานที่รัก แถมยังมีชื่อเสียงอีกต่างหาก อายุก็นิดเดียวเองด้วย” ปยุดาพูดชื่นชมกรวิกาที่หันมายิ้มน้อยๆ ให้อยู่
“รูปที่แม่ของยุ่งมีน่ะ ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักมากนัก กรดีใจนะที่ท่านชอบ เรียกว่า ชอบงานไม่ใช่ชอบเพราะชื่อเสียงที่มีมาช่วง
หลัง” กรวิกายิ้มจางๆ
“ไม่ดีหรอกหรือ มีชื่อเสียง ภาพเขียนก็ได้ราคามากขึ้น” ปยุดาถาม
“หลังๆ ไม่แน่ใจว่า ชอบงาน หรือซื้อชื่อเสียง เอาไปติดประดับบ้านเพื่อให้คนที่มาเยี่ยมบ้านได้ชื่นชมว่า มีงานของคนที่มีชื่อเสียง ภาพเขียนแต่ละภาพนั้นราคาค่างวดค่อนข้างแพง กรไม่รู้ว่า อวดความร่ำรวยหรือชอบงานของศิลปินกันแน่” กรวิกาถอนใจ
“เค้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ ว่าแม่มีภาพเขียนของตัวด้วย” ปยุดารู้ สึกภาคภูมิใจในความสามารถของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังเจ้าความคิดเรื่องชื่อ เสียงนั่นอีก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้หลงในชื่อเสียงที่มี เพราะไม่เคยโอ่อวดหรือบอกเล่าอะไรเลย
“ไปนั่งรอข้างในดีกว่านะ พอมีภาพเขียนอยู่บ้าง เผื่อยุ่งชอบลองเลือกเอาไปฝากแม่ดู” กรวิกาบอกแล้วยิ้มสวยๆ ให้คนที่มีรอย
ยิ้มกว้างมากขึ้นในทันที
“จะมีตังค์ซื้อปะล่ะ” ปยุดาหัวเราะ
“ไปเลือกเอาเลย ที่มีน่ะ ขายไม่ออก” กรวิกาหัวเราะ ปยุดาเดินเข้าไปทุบให้ที่ไหล่ จะกระทั่งได้มาเห็นชั้นล่างซึ่งมีภาพวาดจำนวนไม่น้อยเห็นเข้าอดที่จะตื่นตาตื่นใจไม่ได้ทั้งๆ ที่ตัวเอง ไม่ได้สนใจอะไรนักกับภาพเขียน ยังรู้สึกและสัมผัสได้ถึงความสวยงาม
“ถามจริง ขายไม่ได้จริงหรือ” ปยุดาถาม
“ขายได้ จะมาแขวนอยู่อย่างนี้หรือ” กรวิกาอมยิ้มและขอตัวไปจัด การเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากหาเครื่องดื่มเย็นๆ มาให้ปยุดาเรียบร้อยแล้ว
ปยุดายืนดูภาพเขียนภาพหนึ่ง แสดงถึงความรู้สึกวุ่นวายใจได้ค่อน ข้างมาก ไม่รู้เหมือนกันว่า ตอนกรวิกาลงสีแต่งแต้มนั้น จะรู้สึกอย่างไร จะจำได้ไหมว่าคิดอะไรอยู่ แต่ความวุ่นวายของสีฉูดฉาดนั้นดูมีเสน่ห์ ไม่เคยได้มายืนดูภาพเขียนจริงจังนัก ส่วนใหญ่จะ
เห็นความสวยงามแบบผ่านๆ แม้ แต่ในห้องทำงานของมารดา ตัวปยุดาเองแทบจะไม่ได้มองดูเลยด้วยซ้ำว่าภาพเขียนแต่ละภาพสวยงามหรือไม่ รู้เพียงว่า ราคารวมๆ แล้วถือได้ว่ามหาศาลอยู่
“ชอบหรือ” กรวิกาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จอย่างรวดเร็วทันลงมาเห็นปยุดาจ้องมองภาพเขียนภาพหนึ่งอยู่
“จัดจ้านดี” ปยุดาบอก
“ชอบแสงสี ชอบความวุ่นวายล่ะสิ” กรวิกาหัวเราะ
“งานศิลป์ใช้อารมณ์ไม่ใช่หรือคะ คุณศิลปินใหญ่”
“อือ ตอนนั้นทะเลาะกับพี่ตุลย์ ทะเลาะทุกวัน ทะเลาะตลอดเวลา”
“ว่าแล้วเชียว สีเลยดูวุ่นวายมาก” ปยุดายิ้มจางๆ เมื่อรู้ว่า เหตุที่เกิดภาพนี้ขึ้นคือ ตุลย์
“เดี๋ยวห่อให้เรียบร้อย เอาใส่รถไปเลย” กรวิกาบอก
“ไม่เอาล่ะ ไว้ตรงนี้สวยดีแล้ว” ปยุดาหันมายิ้มให้กรวิกา
“คงสวยไม่พอ เลยไม่รับไว้สินะ” กรวิกาพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ
“ทีตอนโทรศัพท์ทำมาเกี่ยงงอน ทีอย่างนี้ทำมาเป็นงอนใส่เค้า”
“ไม่ได้งอนสักหน่อย ไม่อยากได้ก็ไม่ว่าอะไร” กรวิกาบอก
“อยากได้ แต่เกรงใจ เงินทั้งนั้นเลยนะ ซื้อก็ไม่ขายนี่” ปยุดาไม่อยากให้คนที่ยืนดูภาพเขียนอยู่ข้างๆ รู้สึกไม่สบายใจ เลยพูดจาคล้ายปลอบโยนหวังว่า กรวิกาจะสัมผัสได้
“ก็นะ อะไรที่ไม่ใช่ อย่างไรก็คงไม่ใช่อยู่ดี” กรวิกาถอนใจ
“เกี่ยวกับรูปปะเนี่ย” ปยุดาแสร้งถาม
“กร ก็พูดไปเรื่อยแหละ ไปเถอะ ต้องไปทำงานไม่ใช่หรือ”
“ยิ้มให้เค้าก่อน แค่นี้ต้องมาทำหน้านิ่งใส่ด้วย” ปยุดายืนเอาตัวบังไว้ไม่ให้กรวิกาเดินหนีไปไหน
“ยิ้มแล้ว พอใจยัง”
“ยัง ต้องออกมาจากในนี้ดิ” ปยุดาเอามือจิ้มไปที่หน้าอกด้านซ้ายของกรวิกา ซึ่งกำลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วยิ้มให้อีกครั้ง
“ยิ้มผ่านแล้ว ชอบรูปน่ะ ยืนจ้องอยู่นานแล้วเค้าซื้อนะ” ปยุดาบอก
“ขายเท่าไร ดีน๊า” กรวิกาทำท่าคิด ปยุดาส่ายหน้าทำไมคนเป็นศิลปินอารมณ์ถึงได้ขึ้นๆ ลงๆ นักนะ แป๊บเดียวเริ่มกวนโมโหอีก
แล้ว
“ว่ามา”
“ไอติมถ้วยหนึ่ง ป้อนด้วย” กรวิกายิ้มทะเล้นให้
“บ้าหรือเปล่า ไอติมถ้วยเดียว ก็ได้คุ้มเนอะ เอาไปไว้ที่ห้องทำงานจะได้หายคิดถึง” ประโยคหลังปยุดาไม่ได้พูดออกมาชัดเจน
นัก
“รอแป๊บนะ ห่อให้ก่อน” กรวิกายิ้มกว้างมากขึ้น รีบนำรูปเข้าไปในห้องเก็บของเพื่อจัดการให้กับปยุดา ซึ่งนั่งยิ้มจิบเครื่องดื่ม
เย็นๆ มองไปรอบๆ บริเวณห้อง จะว่าไปถือได้ว่า เป็นส่วนของการจัดแสดงงานก็ว่าได้ หมดนี่ถ้ามารดาเห็นเข้ามีหวัง ได้อยู่ในนี้หลาย
ชั่วโมงแน่ ปยุดาคิดถึงมารดาขึ้นมาและคิดว่า จะหาโอกาสพาท่านมาเผื่อว่าจะได้ช่วยอุดหนุนภาพของกรวิกา
“สวัสดีค่ะ” ปยุดาทักทายคนที่มากดกริ่งอยู่ด้านหน้า คับคล้ายคับคลาว่าเหมือนคนที่เพิ่งเจอเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะเป็นคนรู้จักของกรวิกา
“สวัสดีครับ กรอยู่ไหมครับ” ภูดิททักทาย
“อยู่ค่ะ เชิญข้างในก่อนไหมคะ” ปยุดาบอกกับภูดิทที่ทำท่าแปลกใจ แต่ปยุดานั้นไม่แปลกใจนัก
“อ้าวนายภู มีอะไรหรือเปล่า” กรวิกาออกมาพบภูดิทอยู่กับปยุดา
“เยอะ ไอ้โทรศัพท์น่ะ จะมีไว้ทำไม ปิดเครื่องตลอด” ภูดิทพูดต่อว่าทำเอาปยุดาอมยิ้ม
“มาต่อว่า แค่นี้หรือ กรมีธุระต่อ เออ ยุ่ง นี่ ภู เพื่อตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย” กรวิกายิ้มน้อยๆ ให้ภูดิทและปยุดา
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ภูดิทเริกคิ้วเล็กน้อย
“ค่ำๆ โทรฯ หาได้หรือเปล่า” กรวิกาบอก
“ได้สิขอรับ ใครจะกล้าว่าอะไรล่ะ” ปยุดาอมยิ้มกับสิ่งที่ได้ยินเพื่อนทั้งสองพูดคุยกัน
“งานจะเสร็จแล้วนะจ้ะ ปากมากจะไม่ได้งาน” กรวิกาหันไปยิ้มๆ กับปยุดาที่ยิ้มๆ อยู่เช่นกัน
“กลับก็ได้ ไว้ชนแก้วกันนะครับ คุณยุ่ง”
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ เมื่อคืนที่เป็นห่วง” ปยุดาพอจะจำได้แม้จะไม่ได้สังเกตมากนัก แต่เสียงเสียงพูดของภูดิททำให้พอจะแน่
ใจได้ว่าคงเป็นเพื่อนของกรวิกาที่ได้พบกันเมื่อคืน
“ยินดีครับ ระวังหน่อยนะครับ มีคนรู้จักเป็นศิลปินอารมณ์มันจะขึ้นๆ ลงๆ หน่อย เรียกง่ายๆ คือ บ้า ในบางวันครับ” ภูดิทหัวเราะและยักคิ้วล้อกรวิกาก่อนที่จะขอตัวกลับไป