EP 19

1217 คำ
“เอ่อ! คุณหนึ่งคะ ขอโทษนะคะ เราคงต้องไปแล้วล่ะค่ะ ขอโทษนะคะทุกคน ขอยืมตัวเจ้าบ่าวก่อนค่ะ” ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร ทีมงานก็มาขัดจังหวะแล้ว และเขาถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะยังไม่สะดวกใจจะพูดคุยกับเพื่อนหัวขโมย แล้วเสแสร้งแกล้งทำว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักเท่าไหร่ เขาจึงยอมโบกมือลาเพื่อนๆ “เอ้ย! คืนนี้ไปตั้งวงที่บ้านนะ เราจะฉลองกันถึงเช้า ไปบอกป้าสุดาจัดเตรียมของให้เลยไม่ต้องเกรงใจ ส่งตัวแล้วฉันจะลงมาหา ฝากบอกมิ้นท์ให้ชวนเพื่อนสาวๆ ไปด้วย” แต่เขาก็ไม่วายหันมาสั่งเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจังอยู่นั่นเอง    “พอวงออเคสตร้าขึ้นเพลงชี คุณหนึ่งก็จูงมือคุณหนึ่งเดินออกไปช้าๆ นะครับ เดินตามผมไปเรื่อยๆ แล้วก็ขึ้นเวทีไป...” พลาธิปแทบไม่ได้ฟังทีมงานที่เข้ามาบรีฟเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถึงเวลาเปิดตัว เพราะฟังมาหลายรอบจำได้จนขึ้นใจแล้ว อีกทั้งเขาเองก็เหมือนกำลังตกตะลึงอีกวาระในความงามของเจ้าสาวบ้านน้อย ที่เพิ่งจะถูกจูงมายืนคู่กัน ร่างสูงโปร่งในชุดทรงแกรนด์เอไลน์สีขาวงาช้าง ตัดจากผ้าลูกไม้หลายลายให้สลับกันทั่วทั้งตัวตรงเอวคอดมีเข็มขัดประดับจี้เพชร ด้านหลังมีหางยาวไม่ต่ำกว่าสามเมตร ดูแล้วเรียบหรูหรามีระดับ แม้จะบอกตัวเองว่าไม่ให้สนสักแค่ไหน แต่สายตาก็กวาดมองเจ้าหล่อนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอยู่ดี และยังอดแอบมองผมเกล้าเปิดหน้าเหมือนทุกทรงที่ทำมา ส่วนด้านหลังเกล้าต่ำด้วยเกลียวผม สานสลับซ้ายขวาไล่ต่ำลงมาจนถึงท้ายทอย เก็บปลายผมด้วยการม้วนก้นหอย ตกแต่งด้วยช่อดอกอัลสโตรมีเรียสีขาว มีเส้นดอกสีชมพูแซมตามกลีบดูเรียบหรูสมกับที่เขาอยากให้เป็น อยากจะตบรางวัลให้ทีมจัดงานไม่น้อย ที่ทำให้สาวผู้สลัดรักเขาไป ต้องจ้องมองด้วยความเสียดาย แม้เจ้าหล่อนจะพยายามปกปิดไว้ แต่มีหรือคนเฝ้าสังเกตอย่างเขาจะไม่เห็น และแน่นอนว่างานสุดท้ายในค่ำคืนนี้ เขาจะทำให้เจ้าหล่อนถึงกับนอนไม่หลับ เพราะเสียดายเขาไปจวบจนชีวิตจะหาไม่เชียวล่ะ “คุณหนึ่งคะ ป้ากอบบอกว่าลืมเอารองเท้าจากหลังรถคุณหนึ่งที่จอดไว้บ้านมาให้ค่ะ คู่เดิมพอไหวหรือเปล่าคะ น้องๆ ของอี้ก็มีแต่คนใส่ผ้าใบหรือไม่ก็คัชชูสีดำมาทั้งนั้นค่ะ เลยหามาเปลี่ยนให้ไม่ทัน ขอโทษด้วยนะคะอี้หาไม่ได้จริงๆ จะได้เวลาแล้วด้วยค่ะ เดี๋ยวยังไงก็เกาะแขนคุณหนึ่งไว้ตลอดก็แล้วกันนะคะ ระหว่างเดินจะได้ไม่เมื่อยมาก” ผู้จัดการทีมจัดงานเข้ามากระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ให้ได้ยินกันแค่สองคน กระนั้นพลาธิปก็ยังได้ยิน ปราณปริยาวดีได้แต่ส่งยิ้มบางๆ ให้ เพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากทำใจและทนเมื่อยกับเจ้าส้นสูงเกือบสี่นิ้วไปอีกไม่น้อยกว่าสามหรือสี่ชั่วโมง “ได้เวลาแล้วค่ะ พอเพลงขึ้นออกเลยนะคะ เด็กๆ พร้อมนะจ๊ะ” ผู้จัดการหันไปหาเด็กชายหญิง ที่เตรียมถือหางตามไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พลาธิปกางข้อศอกซ้ายออก ให้คนข้างๆ เกี่ยงอย่างรู้งานโดยไม่ต้องรอให้ใครมาบอก ส่วนปราณปริยาวดีต้องถูกผู้จัดการพยักหน้าและจ้องมองมาตรงมือถึงได้ยกไปเกาะแขนเขาไว้ แล้วเดินออกไปพร้อมๆ กัน เสียงปรบมือและสายตาที่มองมาอย่างชื่นชมนั้น ทำให้หญิงสาวลืมความเหนื่อยได้ขึ้นมาบ้าง พลาธิปยิ้มด้วยความสาสมใจ เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้ แทบจะทุกย่างก้าว เขาประคองมือเจ้าสาวเดินไปจนทั่วงานอย่างรักใคร่ทะนุถนอมโดยไม่แคร์สายตาใครๆ นั้น ทำเอาลูกบ้านใหญ่นั่งอยู่ใกล้ๆ สามีอยากจะกรีดร้องออกมา พร้อมกับคำถามหมุนวนอยู่ในหัว ว่าทำไมงานตัวเองถึงไม่เป็นแบบนี้บ้าง ทำไมสายตาทุกคนในงานนี้ ถึงไม่เหมือนในงานของตัวนั่นเอง จนอยากจะกลับไปแต่งใหม่ ให้เริดหรูกว่างานนี้ให้รู้แล้วรู้รอด ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรแตกต่างกันสักนิด แต่ความอิจฉาริษยาหรือความไม่อยากแพ้ หรืออยากจะชนะของปิยธิดามีมาก ผู้เป็นสามีเองก็กำลังหัวเราะและชื่นชมคู่บ่าวสาวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยสักนิด ซึ่งนั่นไม่ได้ดั่งใจของคนเป็นเมียเอาเสียเลย และสายตาอีกคู่ที่จ้องมองบ่าวสาว ด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างจากปิยธิดาหรือจะมากกว่านั่นก็คือ รัตติกาลผู้ซึ่งอยู่ใกล้พลาธิปที่สุด มีสัมพันอันลึกซึ้งตั้งแต่สมัยเรียนอยู่เมืองนอก มาเว้นวรรคระหว่างเขาคบหาปิยธิดาตอนกลับเมืองไทย ส่วนตัวเองยังเรียนด๊อกเตอร์ต่อจนจบ กลับมาอีกที ก็เป็นช่วงที่เขาว่างเว้นจากแฟนหรือเป็นช่วงที่เขาอกหัก รัตติกาลจึงได้โอกาสสานสัมพันแบบเดิมๆ ขึ้นอีกครั้ง พร้อมๆ กับความหวังที่ว่าอาจจะได้เขามาแนบครองอย่างถูกต้อง ถูกทำนองครองธรรมในไม่ช้า แต่เขาก็ทำร้ายจิตใจด้วยการแต่งกับหญิงอื่น แม้ทั้งเขาและเธอจะตกลงกันอย่างดิบดี ในเรื่องความสัมพันอันเป็นเรื่องความสุขทางกายไม่ผูกมันกันและกันสักแค่ไหน แต่รัตติกาลก็ทำไม่ได้เคยสักที เพราะหลงรักเขามานานหลายปี และเขาคือผู้ชายที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมในทุกๆ ด้าน ที่คนขาดแคลนอย่างรัตติกาลจะฉุดรั้งเอาไว้เป็นของตัวเอง ทว่าก็ทำไม่เคยได้ ทำไม่เคยสำเร็จ ยังความเจ็บช้ำจิตใจให้ไม่น้อย แต่เจ้าตัวก็จะไม่ละความพยายาม เมื่อช่อดอกไม้เมื่อบ่ายส่งสัญญาณมาให้แล้ว ว่าลางดีกำลังจะแล่นมาหา “มิ้นท์จะกลัวทำไม ในเมื่อผมก็มีมิ้นท์ได้ตลอดไป ไม่ว่าจะก่อนแต่งหรือหลังแต่ง ก็ไม่มีใครมาห้ามผมไม่ให้คบกับมิ้นท์ได้หรอก แม้แต่คนที่กำลังจะเป็นเมียผมก็ไม่มีสิทธิ์อะไรมาห้ามได้” และยิ่งมีประโยคนี้ของเขาคอยช่วยหนุนให้ฮึดสู้อยู่เงียบๆ ด้วยแล้ว อีกทั้งคำเชิญชวนของเจ้าบ่าวว่าให้เพื่อนๆ สมัยเรียนเมืองนอกพากันมาตั้งวงรออยู่สนามหน้าบ้านไปพลางๆ ก่อน ส่งตัวแล้วจะดอดลงมาร่วมวงด้วย ยิ่งช่วยทำให้มั่นใจ ว่าเขาแต่งเพราะความอยากเอาชนะแฟนเก่าเท่านั้น ไม่มีเหตุผลใดเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความรัก และแม้เพื่อนหลายคนไม่เชื่อ ว่าเขาจะทำได้ดังที่ลั่นวาจาไว้ แต่รัตติกาลกลับเชื่อ และจะปักหลักรอเขาอยู่จนสว่างคาตาเลยทีเดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม