พอเขาเปิดโอกาสให้ ริษาก็ไม่เถียง และนั่นยิ่งทำให้ใจของภากรเดือดปุดๆ เขาไม่ตอบโต้หล่อน แต่เหยียบคันเร่งแรงขึ้น ทว่าไม่ได้ขับรถไปในทิศทางที่ตรงไปสถานที่จัดงานเลี้ยง แต่กลับตรงไปอีกทางที่ค่อนข้างเปลี่ยวและร้างผู้คน ก่อนจะชะลอรถเข้าจอดข้างทาง ท่ามกลางความไม่เข้าใจของริษา
“เล่นอะไรอยู่คะ เราจะไปงานสาย”
“เลือกเอา”
“คะ?”
“ในรถตอนนี้ หรืออีกสิบนาทีที่โรงแรมม่านรูด”
“คุณกร?”
แล้วเสียงปลดสายเบลท์ก็ดังขึ้น ภากรเปิดไฟในห้องโดยสาร ไม่สนว่าใครจะมองเข้ามาแล้วแลเห็นพวกเขาเข้า ก็ตรงนี้มันมีใครเสียที่ไหน ซอยเปลี่ยวลึก แถมไม่มีบ้านคน ไม่มีไฟตามถนนเลยด้วยซ้ำ
“ทำไม จะปฏิเสธฉันเหรอ” เขาถามแล้วขยับเข้าหาหล่อน เอื้อมมือไปปลดสายเบลท์ของริษา
“เราไม่ควรทำแบบนี้”
“อย่าจูบตอบสิ แล้วฉันจะไม่ทำ” ถ้อยวาจาที่แสนท้าทายดังขึ้นก่อนร่างที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามอย่างชายหนุ่มจะเคลื่อนไปหาริษา เขารั้งศีรษะหล่อนเข้ามา จ้องดวงตากลมโตที่กำลังวาววับแล้ววางริมฝีปากจุมพิตดิบดี หล่อนไม่ทำแม้แต่ดิ้นหนี แม้ตอนแรกไม่ยอมเปิดปากให้เขาจุมพิตดีๆ แต่เมื่อเขาบดบี้ปากลงไปซ้ำๆ เลียไล้ริมฝีปากล่างของหล่อนถี่ๆ มีหรือริษาจะไม่ยินยอม
“คนโกหก” เขาว่าหล่อน
“คะ?”
“เธอ...ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะกล้าทรยศแฟนตัวเอง เธอเป็นคนดีมากกว่านั้น ฉันรู้”
“คุณกร...” ดวงตาของริษาหลุบต่ำอย่างคนที่ทำความผิด และนั่นทำให้ภากรยิ้มออกมาอย่างสมใจ
“เธอโกหกฉันใช่ไหม พูดมาริษา พูด!”
หญิงสาวยังเม้มปากแน่น เบือนหน้านหนีแต่ถูกมือแข็งแรงจับคางมนให้หันมาเผชิญหน้า
“จะทำก็รีบทำสิคะ เดี๋ยวคนอื่นสงสัยนะว่าทำไมเราไปถึงงานช้า”
“แม่ง! สนใจกันบ้างได้ไหม! เวลาที่ฉันเห็นเธอสำคัญ เธอก็ควรให้ความสำคัญฉันบ้าง!” เขาสบถพร้อมถ้อยวาจาประชดประชัน
ริษาเงียบไปครู่หนึ่ง ความกดดันอัดแน่นในอกเธอแต่เขาไม่มีวันรู้
“เราอาจจะสายจริงๆ ถ้าคุณมัวแต่โมโห และริษาจะตกที่นั่งลำบาก คุณยุภาไม่ปล่อยริษาแน่”
“ทุกคนในบ้านสำคัญกับเธอหมด ยกเว้นฉัน!”
เธอส่ายหน้าปฏิเสธ หัวคิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากันยุ่งเหยิง เขาน้อยใจหรือเปล่านะ หรือแค่โมโหในสิ่งที่เธอเป็น
“ไปเถอะค่ะ เราต้องรีบไปให้ถึงงานก่อนสามทุ่มนะคะ”
“ช่างแม่ง!”
พอได้ยินวาจาอันฉุนเฉียวราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ ริษาก็นึกขัน เขาจะเอาอะไรกับคนอย่างเธอกันนะ ทำไมต้องมาคอยวุ่นวาย ทำไมต้องคอยมาแกล้งให้เธอหวั่นไหวด้วย
“คิดดีแล้วหรือคะที่จะทำแบบนี้ วันข้างหน้าเรื่องมันอาจยุ่งยากกว่านี้ก็ได้”
“เพราะแฟนอุปโลกน์ของเธองั้นสิ”
“เพราะคุณยุภาต่างหาก”
อารมณ์โมโหของภากรค่อยๆ ลดระดับลงเมื่อสมองกำลังคิดไตร่ตรอง ทั้งคำพูด แววตาและการกระทำของหล่อน มันกำลังสื่อถึงบางอย่างใช่ไหม
ปลายนิ้วแข็งแรงเชยคางมนของหล่อนขึ้นมอง ดวงตาดำขลับที่เปลือกตาถูกแต่งแต้มด้วยสีสันเหมือนว่ากำลังเฉลยบางอย่างให้เขารู้
“เธอ...ชอบฉันใช่ไหม”
ริมฝีปากงามเม้มแน่นราวกับจะบอกทางอ้อมว่าไม่มีทางพูดออกมาอย่างเด็ดขาด
“ริษา...เธอแอบมีใจให้ฉันใช่ไหม ตอบสิ! ตอบเร็วเข้า!”
ริษาของคุณกรยังเงียบอยู่ ริมฝีปากขยับเม้มแล้วเม้มอีก
“จะอยากรู้ไปทำไมคะ”
“ก็อยากรู้นี่”
“คุณกร...ดีพอให้ริษารักหรือคะ”
“แล้วฉันยังดีไม่พอเหรอ” ทวงถามอย่างงงๆ ทั้งหล่อทั้งรวยขนาดนี้ ยังไม่ดีอีกหรือ
ริษาส่ายหน้าทันใด ภากรรั้งลำคอเธอไปใกล้ จนใบหน้าเธออยู่ห่างจากใบหน้าเขาไม่ถึงครึ่งฝ่ามือ
“แล้วแต่! ฉันก็ไม่ได้รักเธอซะหน่อย”
“งั้นก็ปล่อยสิคะ เราเสียเวลามามากแล้ว” เธอดันเขาออกแต่เขาไม่ยอมขยับกาย ดวงตาคู่ร้ายทอทอดแววที่ชวนให้คนมองลุ่มหลง มือขวาของเขาวางลงบนตักเธอ มันค่อยๆ สอดเข้าใต้ชายกระโปรง หัวใจเธอเต้นแรงอีกครา ฝ่ามืออุ่นที่กำลังคืบคลานเข้ามากำลังล่อลวงให้เธอเสียคน
“เธอบอกเองว่าจะทำก็รีบทำนี่” เขาทวงคืนถ้อยวาจาที่หล่อนเคยเอ่ยออกมา หล่อนเปิดทางให้เขาเองนะ
ริษาอึกอักพูดไม่ออก เธอไม่น่าปากไวพูดอะไรแบบนั้นออกไปเลย
“มองตาฉัน”
เขาสั่งแต่ริษาไม่ทำตาม เธอมองแต่เนกไทบนอกเขา กระทั่งปลายนิ้วแข็งแรงเชยคางมนเธอขึ้นอีกคราหนึ่ง และตอนที่เขาบดจูบร้อนๆ ลงมาก็ปรากฏว่าเบื้องล่างนั้น กางเกงชั้นในตัวจ้อยจิ๋ว ถูกนิ้วเขาเกี่ยวลงมาที่ท่อนขาเรียวๆ
“อือ...คุณกร...”
เสียงครางนั้นช่างหวานหูดีแท้ ภากรได้ยินยิ่งพึงใจ เขายิ้มอย่างผู้ชนะตอนที่ถอนจูบริษา วงหน้างามแดงก่ำกับดวงตาที่ปรือฉ่ำหวาน สื่อให้รู้ว่าหล่อนต้องการสิ่งใด
“น่าเอ็นดูเสียจริง แค่จูบ...ก็ร้อนผ่าวไปทั้งตัวแล้ว”
พอถูกเขาล้อริษาก็ให้ละอายใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ก็ร่างกายมันร้อนจริงๆ นี่นา นานมากแล้วนะ ไม่ใช่แค่วันสองวันที่เขาได้จับจูบลูบคลำร่างนี้ เขาอ่อยเหยื่อไว้นานแล้ว เหลือแค่รอเวลาเชือดเธอเท่านั้นเอง
“ไปที่เบาะหลัง”
ภากรสั่งสั้นๆ ก่อนที่ประตูรถจะถูกเปิดปิดอย่างรวดเร็ว และพวกเขาได้ย้ายมานั่งเคียงกันที่เบาะหลัง ลมหายใจของริษาดังเข้าออกแรงๆ หล่อนคงตื่นเต้นไม่น้อย เขาขยับเนกไทให้หลวมขึ้น ก่อนจะดึงเข็มขัดและกางเกงออกจากท่อนขา ริษายังเงียบอยู่ พุ่มทรวงของหล่อนยังกระเพื่อมไหวถี่ๆ ยั่วกิเลสเขานัก
“ถอดเสื้อสิ”
“คือว่า...นี่มัน ข้างทาง”
“หรือจะไปม่านรูดล่ะ”