เนื่องจากวันนี้เฉินเซียนกลับมาถึงช้ากว่าที่คิด หลี่หยุนฟางจึงไม่ได้พาแม่สามีไปทำกายภาพบำบัดอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
เธอกลับไปอุ่นแกงจืดในตอนเช้า พร้อมกับทำเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง จากนั้นก็ช่วยพาแม่สามีเข้าห้องน้ำก่อนที่จะเข็นให้มานั่งกินอาหารด้วยกัน
“เธอไม่ต้องนั่งกินข้าวกับแม่หรอก จริงๆ ให้แม่กินในห้องก็ได้ เธอไปนั่งกินกับอาเซียนที่ร้านเถอะ” โจวชิงหลินบอกลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงที่เอ็นดู
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อาเซียนเองก็คงเข้าใจ ฉันอยู่ดูแลแม่ กินข้าวเป็นเพื่อนแม่จะได้ไม่เหงา อีกอย่างวันนี้ฉันยังกะเวลาทำอาหารกลางวันไม่ถูก ทุกอย่างล่าช้าไปหมด เอาไว้พรุ่งนี้ทุกอย่างลงตัว ฉันค่อยไปกินกับเขาที่ร้านดีไหมคะ”
“ช่างเอาใจแบบนี้ แม่โชคดีที่ได้เธอมาเป็นสะใภ้ วาสนาของบ้านเราแท้ๆ” แม่สามีชื่นชมสะใภ้ของตนเองไม่หยุด
นั่นเพราะหลี่หยุนฟางอยากอยู่อย่างสงบ ไม่อยากมีปัญหา เธอจึงต้องวางตัวให้มีคนรักมากกว่าที่จะมีคนเกลียด
“อาการของแม่ ฉันถามจากอาเซียนแล้วนะคะ ฉันคิดว่าแม่มีความรู้สึกที่ขาอยู่ไม่ได้ แค่กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงและเส้นประสาทบางส่วนไม่ทำงาน หากได้รับการกระตุ้น ฉันว่าแม่ต้องสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งแน่”
โจวชิงหลิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอรู้ว่าตนเองสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งหากทำกายภาพบำบัด แต่ในตอนนั้นเธอกับสามีไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก จึงไม่ได้บอกสามีและลูกชายว่าตนมีโอกาสหาย เพื่อเก็บเงินค่าเดินทางไปโรงพยาบาลและค่ารักษาเอาไว้ใช้จ่าย
“ขอบใจมากเลยนะ อาฟาง เธอจะแสนดีเกินไปแล้ว” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
หลี่หยุนฟางพยักหน้าแล้วยิ้มรับ “ก็แม่กับอาเซียนเป็นครอบครัวเดียวที่ฉันเหลืออยู่ หากไม่ดีกับแม่แล้วฉันจะดีกับใครได้อีก”
แม่สามียิ้มแล้วคีบอาหารให้ลูกสะใภ้ อาหารง่ายๆ เหล่านี้รสชาติดีกว่าที่เธอเคยทำเมื่อครั้งยังสาวเสียอีก
“บำรุงเยอะๆ นะ จะได้มีหลานให้แม่เร็วๆ”
หลี่หยุนฟางยิ้มรับ จะมีหลานเร็วๆ ได้อย่างไร เธอกับเฉินเซียนยังไม่ได้ร่วมหอกันด้วยซ้ำ
หลังจากที่ส่งแม่สามีกลับห้องนอนเสร็จแล้ว เธอก็นำกับข้าวใส่ปิ่นโตเดินไปหาสามีที่ร้าน
เมื่อเห็นภรรยาเดินมาพร้อมกับปิ่นโตอาหารกลางวัน เฉินเซียนก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะลดยิ้มลงเมื่อเห็นข้าวกับตะเกียบเพียงชุดเดียว รู้สึกเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ได้รอกินพร้อมกับตน แต่ก็เข้าใจได้ว่าเธอกินข้าวพร้อมกับมารดามาแล้ว
“วันหลังฉันจะรอกินพร้อมคุณนะคะ” หญิงสาวพูดอย่างเอาใจเมื่อเห็นสีหน้าของเขาสลดลง
วันนี้เธอลืมฉุกคิดไปว่าการให้สามีกินข้าวทีหลังภรรยานั้นดูเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่โจวชิงหลินก็ไม่ได้ตำหนิเธอออกมาตรงๆ เพียงแค่บอกว่าให้เธอไปกินข้าวพร้อมกับลูกชาย เธอจึงคิดได้ตั้งแต่ตอนนั้น
เฉินเซียนยิ้มรับคำพูดเอาใจด้วยความยินดีอย่างเปิดเผย หลี่หยุนฟางเปลี่ยนไปมากหลังจากครั้งล่าสุดที่พูดคุยกัน ตอนนั้นเธอดูเศร้าและต่อต้านการแต่งงานนี้ แต่ก็ไม่สามารถขัดคำสั่งมารดาและพ่อเลี้ยงได้
ดังนั้นเมื่อแต่งงานกัน เขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายคงจะตกอยู่ในความเศร้าและไม่ยอมรับสามีอย่างเขา จนนำมาสู่ปัญหาการหย่าร้างในภายหลัง
แต่ในเมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ หลี่หยุนฟางก็ดีกับเขาและมารดามาก หากจะเป็นเพราะซิ่วฉินไม่ได้มาพาเธอหนีไปแล้วเปลี่ยนใจแต่งงานกับตนเพราะไม่เหลือใคร หญิงสาวก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขนาดนี้
เธอดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และปรับตัวเข้ากับเขาและมารดาได้ดี เป็นเรื่องที่เขาไม่คาดคิดและยินดีเป็นที่สุด
ในขณะที่สามีกำลังกินข้าว หญิงสาวก็เดินสำรวจไปรอบๆ ร้านอีกครั้ง นอกจากจัดร้านใหม่และคิดรายการสินค้าที่ซื้อมาเพิ่มแล้ว เธอก็มีความคิดที่จะหาของมาขายเพื่อเสริมรายได้ให้แก่ร้านอีกทาง
เธอเดินออกไปยืนที่หน้าร้าน มองดูถนนตรงหน้าซึ่งเป็นถนนสายหลักของหมู่บ้าน คนผ่านไปผ่านมาจึงเยอะกว่าตรอกซอยเล็กๆ แต่กลับไม่ค่อยมีลูกค้า
บางทีนอกจากสินค้าที่ไม่ค่อยมีตัวเลือกให้เลือกซื้อแล้ว อาจจะเป็นเพราะร้านดูเก่าและทรุดโทรม และไม่น่าดึงดูดใจ อย่างเช่นป้ายร้านสีก็ดูซีดแล้ว ไม่สะดุดตาและไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
“อาเซียน ฉันว่าฉันอยากจะทาสีป้ายร้านใหม่ ตัวหนังสือจางไปหมดแล้ว แล้วก็ปรับปรุงตรงนี้เพิ่ม”
“จะทำก็ทำได้นะ แต่ว่าเราไม่ได้มีเงินเก็บขนาดนั้น เงินที่จะไปซื้อของมาเพิ่มจริงๆ แล้วอาจจะเป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายของเรา หลังจากนี้ถ้ายังขายไม่ออกเราก็คงได้นำมากินเองใช้เองแล้วล่ะ” เขาบอกกับเธอตามซื่อ ไม่ได้ปิดบังเลยว่าครอบครัวตนไม่มีเงินเก็บ
หลี่หยุนฟางลืมคิดถึงจุดนี้ไป เธอพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นความคิดที่จะซื้อของเพิ่มเก็บเอาไว้ก่อน ฉันจะเอาของในร้านออกมาขายออกก่อนแล้วค่อยซื้อของใหม่เข้ามา” เธอเสนอแนวทางใหม่
“ทำอย่างไรหรือ” เขาถามขณะที่พุ้ยข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย
“คุณรอดูเถอะค่ะ รับรองว่าเราจะขายของออกได้แน่ แต่ต้องแลกด้วยอะไรบางอย่าง”
“อะไร” เขาถามแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลี่หยุนฟางรู้อักษรเพียงไม่กี่ตัว เพราะพ่อเลี้ยงไม่ยอมส่งเสริมให้เธอได้รับการศึกษา มารดาของเธอก็ให้ทำงานบ้านตั้งแต่วัยเยาว์
เขาไม่เคยรู้เลยว่าหญิงสาวจะมีหัวทางการค้า และอ่านรายการสินค้าที่เขาจดไว้ให้ได้ แต่คิดในแง่ดีว่าอีกฝ่ายคงไปแอบเรียนมาด้วยตนเอง
“เราอาจจะได้กำไรน้อยลง หรืออาจได้แค่ทุนคืน คุณยอมรับได้หรือไม่”
“ได้กำไรน้อยลง แต่ก็ได้เงินคืนไม่จมทุน ผมว่าดีกว่าปล่อยให้ของหมดอายุแล้วทิ้งไป” เขายินยอมรับความเสี่ยงนั้น
“ตกลง เชื่อมือฉันเถอะ รับรองว่าสินค้าเราจะต้องขายออก และฉันก็จะสร้างมูลค่าให้มันเพิ่มขึ้นด้วย” หญิงสาวยิ้มออกมาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
ถ้าพูดถึงเรื่องการขายแล้ว นักการตลาดอย่างเธอมีหรือจะพลาด
เธอมองดูสินค้าในร้านแล้วนำกระดาษและดินสอไม้มาจดรายการสินค้าต่างๆ เอาไว้เพื่อที่เอาไว้ถามต้นทุนจากเฉินเซียนในภายหลัง เพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาด
เพราะค่าเงินสมัยนี้แตกต่างกับยุคที่เธอจากมา ที่นี่หนึ่งหยวนก็สามารถซื้อไก่ได้หนึ่งตัวแล้ว ดังนั้นเธอต้องทำความเข้าใจกับราคาสินค้า แม้จะมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมาช่วย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย
เฉินเซียนมองความตั้งใจของภรรยา ไม่ว่าเธอคิดจะทำอะไรเขาก็จะไม่ขัดขวาง เพราะอย่างไรร้านนี้ก็แทบจะไปไม่รอดอยู่แล้ว
ใบหน้าที่จริงจังต่างจากเด็กสาวที่เคยร่าเริง ทำให้เขามองอย่างเพลินตา ในเมื่อเธอจริงจังกับร้านขายของชำของเขาแบบนี้ ต่อไปเขาก็ต้องจริงจังและใส่ใจร้านค้าให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้มารดาและภรรยาต้องลำบาก
************************