ตอนที่ 5 เป็นห่วง
คำพูดของหยางเฟยเทียนได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้ ทำให้หัวใจของอวี้ชิงพองโตฟูฟ่องแทบจะปริแตกออกมาด้วยความยินดียิ่ง ใบหน้างดงามประด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ เร่งฝีเท้าเดินมายังเรือนด้านหน้าเพื่อมาพบท่านแม่ใหญ่ หรือฮูหยินเอก
“ท่านแม่” อวี้ชิงเอ่ยเรียกขึ้นน้ำเสียงนั้นดูหวานนัก นางเรียกมารดาก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอนของแม่ใหญ่ ใบหน้างามประดับด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอด้วยความดีอกดีใจยิ่งนัก
เรื่องยินดีเช่นนี้นางจึงได้เร่งมาบอกมารดาให้รับรู้เสียก่อน ชายที่นางรักออกปากจะถอนหมั้นแล้ว “ท่านแม่เจ้าคะ วันนี้ท่านแม่ทัพหยางบอกว่าจะถอนหมั้นกับคุณหนูฟาง”
ฮูหยินใหญ่ หรือท่านแม่ที่ลูกสาวผู้นี้เอ่ยเรียกขานนั้น อายุของนางย่างเข้าสี่สิบปีกว่า ๆ มองใบหน้าของบุตรีด้วยสายตาอ่อนโยน ริมฝีปากแดงระเรื่อแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น “ชิงเอ๋อร์ ลูกแม่เจ้าดีใจแม่ก็ดีใจแต่อย่าลืมว่า ท่านแม่ทัพจะถอนหมั้นกับนางไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก สตรีนางนั้นเป็นผู้ใด มีผลประโยชน์อันใด เจ้าต้องคิดให้ถ้วนถี่”
ฮูหยินใหญ่เอ่ยขึ้น มิได้ดุด่านางเพียงแค่ชี้ทางให้นางมองเห็นเท่านั้น สีหน้าของนางแย้มยิ้มอยู่เสมอ ใครจะรู้เล่าว่าฮูหยินใหญ่เป็นคนเช่นไร “เจ้าค่อย ๆ หาวิธีกำจัดนางแต่อย่าลืมว่าแผนการนี้ห้ามมิให้ท่านแม่ทัพจับได้ก็พอ” นางเอ่ยอีกครั้ง ก่อนจะลุกเดินไปยังตั่งไม้ตัวยาว ให้สาวใช้บีบนวดแขนและขาของนาง
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านแม่ทัพไม่มีทางจับได้อย่างแน่นนอนขนาดวันนี้ข้าตกน้ำเพราะตั้งใจเขายังไม่รู้เลยเจ้าค่ะ” อวี้ชิงโอ้อวดแผนการของตนเองต่อมารดา ท่าทางภูมิอกภูมิใจยิ่งนัก
“หน้าต่างมีหู ประตูมีช่องพูดจาอันใดก็ควรระวังปากเอาไว้บ้าง” นางเอ่ยกล่าวขึ้น เกรงว่าปากของนางจะนำภัยมาสู่ครอบครัว จะทำการใหญ่จะต้องรอบคอบให้มาก
“ท่านแม่ในเรือนก็มีแต่คนของท่าน ไยจะต้องเกรงกลัวอันใด หากพวกนางปากโป้งก็แค่ตีพวกนางสักสิบไม้ก็หลาบจำแล้วเจ้าค่ะ” ใบหน้าของอวี้ชิงหรือก็งดงาม ทว่าจิตใจของนางช่างดูอำมหิตเลือดเย็นนัก ตบตีบ่าวไพร่ไม่เว้นวัน
“เจ้าอย่าไว้ใจให้มาก อีกอย่างแผนนี้ต้องรอบคอบให้มาก การที่จะขึ้นเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพมิใช่เรื่องง่าย” ฮูหยินเอกหรือท่านแม่ที่นางเรียกติดปากชี้แนะนางอีกหลายคำ ปกตินางมักมิใคร่อยากจะสนทนากับผู้ใด ชอบอยู่ในห้องนอนเงียบ ๆ ก็จะมีเพียงแค่ลูกสาวของหญิงชั่วช้าที่ตายไปแล้วมักจะแวะเวียนมาหาบ่อย ๆ นางก็ทำหน้าที่เป็นท่านแม่ที่แสนดี ทดแทนความผิดพลาดที่กระทำลงไปจนเป็นเหตุทำให้สตรีผู้นั้นตายไปอย่างอนาถ
“เจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะไปหานาง และจะไปบอกกล่าวสิ่งที่ท่านแม่ทัพได้พูดวันนี้ อยากจะรู้นักว่านางจะทำหน้าเช่นไร ในเมื่อข้าไปหยามหน้าถึงจวน”
“เจ้าต้องอ่อนแอให้มาก อ่อนหวานให้มากกว่านี้ ออดอ้อนออเซาะให้เขาเห็นใจ พูดจามิว่าร้ายนาง บุรุษที่ไหนก็แพ้มารยาสตรี” ก่อนลูกสาวจะออกไปนางยังพูดเอาไว้อีกประโยคหนึ่ง
ไป๋อวี้ชิงยิ้มพลางยอบกายลงอย่างงดงาม แล้วนางส่งยิ้มกลับจึงได้พูดว่า “ขอบคุณท่านแม่ที่ชี้ทางให้ลูกเจ้าค่ะ” เมื่อลูกสาวลากลับไปแล้ว ฮูหยินเอกคลี่ยิ้มบางเบาหัวเราะหึ ๆ อยู่ในลำคอของนาง จากนั้นนางจึงได้หลับตาลง เมื่อสาวใช้ลงมือบีบนวดลงน้ำหนักมือกำลังพอดี ทำให้นางผ่อนคลายไปได้มากจากเรื่องทุกข์ใจทั้งหลาย
หลังจากปรึกษาท่านแม่แล้วไป๋อวี้ชิง เดินกลับมายังห้องนอนของตนเอง นางหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมา มันวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน นางจึงได้หย่อนก้นจากนั้นจึงเอนพิงที่หัวเตียง กึ่งนั่งกึ่งนอน ด้วยทาทางที่มีความสุขและสบายใจนัก
สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องนอน พร้อมอ่างน้ำใบเล็ก ๆ เพื่อมามอบให้เป็นรางวัลชิ้นใหญ่กับอวี้ชิง สาวใช้ผู้นี้ชำเรืองมองด้วยหางตายกยิ้มที่มุมปากขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหายวับไปทันใด นางพูดกับผู้โชคดีที่เจ้านายของนาง มอบรางวัลที่ยากจะลืมเลือน
“คุณหนู คุณชายใหญ่กำชับให้ข้านำมามอบให้ท่านเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้นี้เอ่ยขึ้นน้ำเสียงดูเนิบนาบชักช้า จากนั้นเมื่อเห็นว่าเป้าหมายพยักหน้า นางจึงใช้ผ้าสะอาดจุ่มน้ำแล้วบิดหมาด ๆ ส่งไปให้ยังคนที่ไม่รู้ตัว ว่าวันนี้ได้กระทำอันใดให้ใครไม่พอใจหรือไม่
อวี้ชิงรับมันมาสูดดมกลิ่นนี้ ช่างดูถูกใจนางยิ่งนัก จึงเอ่ยปากชมเสียยกใหญ่ “หอมมาก ๆ พี่ใหญ่ไปเอามาจากไหนกัน” อวี้ชิงยิ้มร่า เช็ดหน้าของนางจดสะอาดเกลี้ยงเกลา คิดว่าจะอ่านตำราเสียหน่อยแต่จู่ ๆ นางเริ่มมึนงง และก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
เมื่อเห็นว่าเป้าหมายนั้นได้หลับไปแล้ว ตำราได้ล่วงลงมาอยู่ที่พื้น หญิงสาวผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำตามคำสั่ง จึงได้จัดท่าทางนอนของไป๋อวี้ชิง จากนั้นนางจึงหยิบผงชนิดหนึ่งจากแขนเสื้อ ทาไปทั่วใบหน้าของสตรีผู้นี้ “ช่วยไม่ได้นะ ในเมื่อเจ้ารนหาที่เอง คิดกลั่นแกล้งใครกันสตรีผู้นั้นเป็นเจ้ารังแกได้หรืออย่างไรกัน ”
เมื่อจัดการจนเสร็จเรีบร้อย นางจึงทิ้งหลักฐานเอาไว้เพียงแค่หน้ากากามนุษย์เท่านั้น เอาไว้ให้ไป๋อวี้ชิงดูต่างหน้า คาดว่าจะหาตัวคนบงการไม่พบเป็นแน่ ยาที่นางใช้ก็เป็นสูตรลับเสียที่ไหน หาได้ง่ายดายยิ่งนักที่ร้านขายสมุนไพร
ผู้บงการเป็นพ่อบ้านตระกูลฟางดูเหมือนเขาจะเป็นหนุ่มใหญ่ รูปร่างกำยำ ใบหน้าคมคายนัก ติดที่ว่าหางคิ้วของเขามีรอยแผลน่าหวาดกลัวไปสักเล็กน้อย พ่อบ้านคนนี้เอ่ยมาขอทำงานที่จวนของตระกูลฟางในช่วงกลางคืนเท่านั้น
เขาให้เหตุผลว่ากลางวันต้องดูแลท่านแม่ที่เจ็บป่วย ออด ๆ แอด ๆ เดินเหินไม่ได้ ยามกลางคืนนางนอนหลับเขาจึงอยากจะหาเงินไปเลี้ยงดูนาง เขาเอ่ยกล่าวอ้างเอาไว้เช่นนั้น เขายืนรอเจ้านายสาวด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น รออยู่นานนางก็ยังไม่กลับเสียที
เขาเดินวนเวียนไปมาหลายต่อหลายครั้งด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น ครู่ใหญ่รถม้ากลางเก่ากลางใหม่ก็เข้ามา เพียงแค่จอดสนิท พ่อบ้านเฟยรีบเร่งฝีเท้าเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปหาทันที เขาหยิบบันไดเทียบม้า รอให้อาถงลงมาเสียก่อน แล้วค่อย ๆ ยื่นมือรอรับเจ้านายสาวแสนสวยคนนี้
“คุณหนูเดินทางมาเหนื่อย ๆ ดื่มชาร้อนดีหรือไม่ขอรับ” เขาว่าเมื่อรับมือของนางลงมาแล้ว สีหน้าของเขาดูเป็นห่วงนางจริง ๆ ฟางผิงอันอดไม่ได้ที่จะยิ้มรับ จากนั้นนางจึงได้เอ่ยกับเขาว่า
“พ่อบ้านเฟยทีหลังไม่ต้องออกมายืนรอรับข้าเช่นนี้ อากาศมันหนาว หากเจ้าไม่สบายไปอีกคนแล้วท่านแม่ของเจ้าจะอยู่อย่างไร” ฟางผิงอันกระชับผ้าคลุมกายของนางเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ ดวงตาดูหมองหม่นลงเล็กน้อย
กระนั้นพ่อบ้านหนุ่มผู้นี้จึงเข้าใจเป็นอย่างดี เขายิ้มแฉ่งอวดฟันสวยให้เจ้านาย “โถ คุณหนูอย่าห่วงเลย ข้าแข็งแรงดีตายยากเข้าข้างในเถิดมันหนาวเดี๋ยวคุณหนูจะป่วยขอรับ” พ่อบ้านเฟยเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง แม้ว่าจะเจ็บปวดใจมากมายก็ตามที ที่เห็นสตรีที่เขารักเป็นเช่นนี้
“ข้ารึก็เป็นห่วงเจ้า เจ้ายังจะมาห่วงข้าเช่นนี้อีก” ผิงอันรู้สึกดีเป็นอย่างมากเมื่อได้พูดคุยกับเขา บางครั้งเรื่องที่นางกำลังโศกเศร้า เขาก็ทำให้นางหัวเราะและยิ้มได้ นางเดินทางมาแดนเหนือนี้ ที่จวนก็มีพ่อบ้านที่ชรามากแล้ว ดูแลจึงเห็นว่าจะต้องมีพ่อบ้านมาช่วยเพิ่มอีกสักคน
พ่อบ้านเฟยมาขอทำงานแลกกับเงินเพียงเล็กน้อยเอาไว้ดูแลมารดาที่เจ็บป่วย นางสงสารจึงได้ยื่นมือช่วยเหลือ กระนั้นความหวังดีของนางส่งท่านหมอไปตรวจอาการก็พบว่า เขาเอ่ยบอกเกรงใจ เกรงใจยิ่งนัก
นางจึงเก็บความหวังดีเอาไว้ หากเขาต้องการความช่วยเหลือนอกจากนี้เขาจะเป็นคนบอกนางเอง และอีกอย่างพ่อบ้านเฟยเป็นคนไว้ใจได้ เขามิได้รักใคร่สตรี เขาบอกว่าเขาชอบบุรุษ ดังนั้นผิงอันจึงไว้วางใจให้เขาเข้าออกห้องของนางได้ตามสบาย
“หากคุณหนูป่วยขึ้นมา ข้าก็จะลำบากนะสิขอรับ” เขาพูดก่อนจะถือวิสาสะยื่นแขนให้คุณหนูจับเดินเข้าไปข้างใน อาถงนึกหมั่นไส้นัก กลับมาที่จวนทีไรนางไม่สำคัญเหมือนถูกทิ้งก็ว่าได้
“อาถง วันนี้เจ้าไปพักเถิด เดี๋ยวข้าจะดูแลคุณหนูเอง” พ่อบ้านเฟยกำชับกับสาวใช้หน้าตาบูดบึ้งมิพอใจเขาเช่นนี้ เหตุใดเขาจะไม่รู้เล่านางกลัวว่าคุณหนูจะไม่รักไม่เอ็นดูนางแล้ว
“พ่อบ้านเฟย หน้าที่ปรนนิบัติคุณหนูเป็นข้า หาใช่ท่านไม่” อาถงเถียงกลับ น้ำเสียงแข็ง ๆ นั่นทำให้ผิงอันหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนของตนเอง มองไปยังทั้งสองกำลังโต้เถียงกันเล็กน้อย
“จะเถียงกันไปทำไม อาถงวันนี้เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักเถิด ที่เหลือให้พ่อบ้านเฟยดูแลข้าก็พอแล้ว” ผิงอันออกปากห้ามศึกที่จะเกิดขึ้น สองคนนี้ก็มักจะถกเถียงกันอยู่ร่ำไป พ่อบ้านเฟยยิ้มเยาะสาวใช้อย่างอาถงเดินหนีไปอย่างคนหัวเสีย
คนงามล้ำนั่งลงที่เก้าอี้ สีหน้าหมองหม่นบนโศกเศร้าเสียใจผุดขึ้นบนใบหน้างามอีกครั้งหนึ่ง จู่ ๆ ความเข้มแข็งของนางนั้นก็ได้หาย วันนี้ทั้งวันนางแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งมิได้อ่อนแอหรือเอาแต่ใจ เกรงว่าอาถงจะเป็นห่วง
“คุณหนูหากท่านไม่รังเกียจ ขอข้ากอดท่านปลอบใจ ได้หรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านเฟยเอ่ยขึ้น
“เอาสิ ข้าต้องการใครสักคนปลอบใจ เหตุใดมีรักย่อมมีทุกข์ด้วยนะ” สิ้นเสียงหม่นหมอง คนตัวโต คุกเข่าลงถอดรองเท้าให้นางเสร็จแล้ว เขานั่งเคียงข้างหญิงงามจากนั้นฟางผิงอันจึงได้ซบเข้าที่ไหล่ของเขา มือหนาหยาบกร้านวัน ๆ เอาแต่จับกระบี่ฝึกซ้อม โอบกอดหญิงอันเป็นที่รักเอาไว้
“คุณหนูท่านแม่ทัพย่อมมีเหตุผล อย่างไรเสียคุณหนูต้องเชื่อมั่นในท่านแม่ทัพนะขอรับ” พ่อบ้านเฟยดวงตาของเขานั้นโศกเศร้า ไม่แพ้สตรีที่เขากำลังโอบกอดลูบแผ่นหลังของนางอย่างอ่อนโยนและเป็นห่วง ยามเห็นนางท้อแท้สิ้นหวัง หัวใจของเขาเจ็บปวดไม่แพ้กัน
ยามเห็นนางหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายราวกับทำนบแตกหัวใจของเขาแทบจะหมดเรี่ยวแรง อยากจะยุติเรื่องทั้งหมดแล้วกลับมาดูแลนางอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยภาระหน้าที่เขาจำเป็นต้องทำเช่นนี้
“ข้าเริ่มท้อแล้ว อยากจะถอนหมั้นเพื่อรักษาหัวใจของตนเอง ข้าไม่อยากเจ็บปวดทรมานเช่นนี้ ข้าอยากให้เขาจดจำข้าเอาไว้ ว่าข้ารักเขามากเพียงใดแต่ทำไมกัน เขาจึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ พ่อบ้านเฟยข้าเหนื่อยเหลือเกิน ข้าไม่อยากวิ่งตามเขาอีกแล้ว ข้าควรหยุดแล้วจบเรื่องระหว่างข้ากับเขาดีหรือไม่”