“เอ่อ”
ภายใต้ท่าทีนิ่งเฉยที่เก็บอาการตื่นตกใจได้สนิท เธอมองดูร่างหนุ่มฝรั่งตัวสูงใหญ่ที่ยืนตรงหน้า มีเป้สนามใบใหญ่อยู่ข้างหลัง สวมเสื้อยืดมีตัวอักษรลาวบนอก ส่วนทรงผมนั้นเป็นผมยาวแบบเดรทร็อครกรุงรังแถมหนวดเครานั่นอีก มีแต่ดวงตาสดใสที่จ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มที่แสดงความเป็นมิตรให้
ดวงตาเหมือนในรูปถ่ายไม่มีผิด!
“คุณอเล็กซ์ แมคเกิล!”
“โอ้ว! สิ-ริ-มา น้องสาวเจ้าฮาคีมแน่ๆ เลย” หนุ่มฝรั่งตัวโตหัวเราะเสียงดังยื่นมือไปเชคแฮนด์ทักทาย แต่หญิงสาวทำหน้าแหยก่อนฝืนทักทายตามแบบสากล ทำไมไม่เหมือนในรูปเลยนะ! เอ๊ะ!แล้วทำไมรู้ว่าเป็นเธอ
“คุณเหมือนที่เจ้าฮาคีมพูดถึงบ่อยๆ ”
“หรือคะ” ‘เพิ่งรู้ว่ามีพลังจิต’ หญิงสาวยิ้มบางๆ ผายมือเป็นเชื้อเชิญให้เดินตามเธอมาขึ้นรถ
“เห็นคุณถือรูปผมตั้งนานแนะ แล้วฮาคีมไม่มาเหรอ”
“คุณฮาคิมติดประชุมงานกับลูกค้าค่ะ ให้ดิฉันมารับแทน”
‘เห็นตั้งนานทำไมไม่มาทักยะ!’ เธอได้แต่บนในใจ เอ่อเป็นฝรั่งที่พูดไทยได้ฉะฉานจนน่าหมั่นไส้จริงๆ
“เรียกกันห่างเหินไม่เหมือนพี่น้องเลย”
หนุ่มอเมริกันยังชวนคุยไม่หยุดเหมือนกลัวว่าคนอื่นไม่รู้ว่าเขาพูดไทยได้ชัดแจ่มขนาดไหน สิริมาเหลือบตามองเพื่อนของคุณฮาคีมนิดหนึ่ง เธอเลี่ยงตอบคำถามด้วยการเงียบและเดินเชิดหน้าตัวตรงไปรถที่มาจอดค่อยตั้งแต่เธอโทรศัพท์ตามแล้ว
“เราจะไปไหนกัน”
“ไปห้องพักคุณแมคเกิลค่ะ”
‘ไม่พาไปฆ่าหรอก’ สิริมาเก็บประโยคท้ายไว้ในใจ เจอลูกค้าเรื่องมาก ก็ยังเป็นแค่ลูกค้าไม่ค่อยเข้ามาวุ่นวายเรื่องส่วนตัว แต่นี้เป็นเพื่อนซี้ของคุณฮาคิมจะให้ทำเย็นชาก็ดูจะไร้มารยาทไปหน่อย
“เดี๋ยวซิ! ผมหิวมาก-มาก อยากกิน…กิน..ปาปาย่า ป๊อก..ป๊อก”
“ห๋า! ส้มตำ!” ไอ้ประโยคนี้ดูเหมือนจะเก่าไปหน่อยไม่รู้ว่าไปฟังมาจากไหน คราวนี้เป็นเสียงลุงสมานเผลอส่งเสียงประหลาดใจออกมา หนุ่มอเมริกันโน้มตัวไปข้างหน้าข้างเบาะคนขับแล้วยิ้มทะเล้น
“นะครับ หาอะไรกินก่อนเถอะ ตรงไหนอร่อยพาไปหน่อยนะครับ”
ลุงสมานมองผ่านกระจกส่องท้ายรถขอความเห็น หญิงสาวที่นั่งหน้าเครียดไม่สบอารมณ์ เธอพยักหน้าอย่างขัดใจไม่ได้ “ครับ คุณแมคเกิล”
“เรียกอเล็กซ์ก็ได้ครับ ผมไม่ชอบทำตัวห่างเหิน”
สิริมาหันมาค้อนควักเข้าให้ นี่ท่าทางจะตกฉานภาษาไทยเสียจริงที่ชอบประชดประชันเหลือเกิน เอาเถอะ! แค่พาคุณอเล็กซ์ แมคเกิล ไปส่งที่พักให้เรียบร้อยก็หมดหน้าที่แล้ว อดทนไว้สิริมาลูกค้าเรื่องมากยังผ่านมาได้! แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก
ยกเว้นดวงตาสีน้ำตาลที่ทอประกายระยิบระยับคู่นี้ อย่ามาจ้องมองเธอให้หวั่นไหวนัก!
.....
แสงแฟลชกับเสียงชัตเตอร์ ทำให้สติของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางนางแบบสาวสวยสุดเซ็กซี่สี่คนกลับคืนสู่โลกของความเป็นจริง เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมเผยแผงอกกว้างโดยมีมือของนางแบบสาวขยุ้มเสื้อเชิ้ตเหมือนจะยื้อแย่งชายหนุ่มไว้ในอุ้งมือ
แต่หน้าชายหนุ่มผู้โชคดีกลับไร้อารมณ์จนช่างภาพและทีมงานพากันถอนหายใจหลายเฮือก
“โอเคครับ วันนี้พอเท่านี้ก่อน”
ฟีรูซเดินออกจากลุ่มนางแบบสาวทันที เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ไม่ค่อยมีสมาธินัก พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินตรงออกมาที่เดิม อยากจะขอโทษทีมงานและเผื่อว่าจะนัดเวลาใหม่แต่เสียงที่ได้ยินทำให้เท้าทั้งสองข้างเหมือนถูกตอกหมุดตรึงไว้กับที่จนขยับไปไหนไม่ได้
“แม่เป็นเจ้าของเครื่องสำอง ลูกชายเป็นพรีเซนเตอร์ อยากทำอะไรก็ต้องตามใจเค้า จะทำให้ใครเดือนร้อนก็ช่าง!”
‘อยากทำอะไรก็ต้องตามใจเค้า จะทำให้ใครเดือนร้อนก็ช่าง!’
ชายหนุ่มทวนสิ่งที่ได้ยิน เขากำมือเข้าหากันแน่นจนอยากนึกกระแทกกำปั้นใส่หน้าใครก็ได้เพื่อระบายอารมณ์ คนอย่างเขานะหรือ ทำอะไรไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น!
“คุณฟีรูซจ๋าลืมมือถือจ๊ะ”
ช่างแต่งหน้าหนุ่มสำอางหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดส่งให้นายแบบหนุ่ม ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว ฟีรูซคว้าโทรศัพท์ได้ก็หมุนตัวรีบก้าวเท้ายาว ๆ ออกมาจากสตูดิโอทันที
เกลียดนักพวกชอบดูคนแค่เปลือกนอก!
ชายหนุ่มหงุดหงิดรำคาญใจ ยืนกระวนกระวายอยู่ในลิฟต์ เมื่อลิฟต์เคลื่อนลงมาสามชั้นประตูลิฟต์เปิดออก ร่างชายหนุ่มในชุดสูทเรียบหรูก็ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างน้องชายต่างมารดา
“ถ่ายแบบเสร็จแล้วเหรอครับ” ฮาคีมทักทาย เขารู้ว่าวันนี้ฟีรูซมีถ่ายแบบที่สตูดิโอชั้นบนของบริษัทฯ อาคารของบริษัทเรกิวลุสนอกจากจะเป็นรวมทั้งบริษัทในเครื่องต่างๆ ของเรกิวลุสกรุ๊ป ยังแบ่งเป็นสำนักงานให้เช่าอีกด้วย
“ไม่ลองไปทำดูเองบ้างละ เก่งไปหมดทุกอย่างนิ”
ฟีรูซหงุดหงิดเหวี่ยงใส่คนอื่นไปทั่ว เมื่อไหร่กันนะ ที่ทุกคนจะมองความสามารถของเขา ไม่ใช่เพราะเขาเป็นฟีรูซ เรกิวลุส
“มันไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำให้ผู้หญิงกรี๊ดได้แบบนายนี่” ฮาคีมเอ่ยยิ้มๆ ชินกับการถูกฟีรูซเหวี่ยงใส่แล้ว
“ใครเป็นคนคิดหะ! ผู้หญิงรุมทึ้งผู้ชายที่ใช้โคโลจน์ของพราว”
“ต้องถามคุณหญิงกาญจนา”
ฟีรูซก้มหน้านิ่ง เขาก็ไม่ค่อยชอบโฆษณาตัวนี้เท่าไหร่ให้ผู้หญิงมารุมฉุดกระชากผู้ชายคนเดียวอยู่ได้ ไม่รู้คุณหญิงแม่คิดไปได้ไง ผู้ชายหล่อหรูรวยเลิศก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องยื้อแย่ง อย่างน้อยก็มีหญิงสาวดวงตากลมโตคนหนึ่งละ ที่ยอมลาออกจากงานดีกว่าก้มหัวให้เขา แต่ไม่ว่าจะพูดอะไรไปก็ไม่พ้นตัวเองสักเรื่อง อาทิตย์หนึ่งแล้วที่เขาหงุดหงิดไม่มีเหตุผล