เช้าวันหนึ่ง
เซี่ยฟานนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนทาส เขามองไปด้านบนเพราะได้ยินเสียงจิ๊บ จิ๊บ ดังระงมอยู่พักหนึ่ง
แม่นกคาบอาหารบินโฉบลงมาที่รัง แล้วค่อย ๆ ป้อนลูกนกแต่ละตัวอย่างใจเย็น เซี่ยฟานปีนขึ้นไปดูที่รังของพวกมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เขาคอยเฝ้ามองดูนกฝูงนี้ตั้งแต่นั้นมา เห็นความรักที่แม่นกคอยปกป้อง หาอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ลูกนก นับเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ก่อเกิดในใจของเซี่ยฟาน
จนกระทั่งถึงวันที่ลูกนกต้องหัดบิน แม่นกคอยช่วยให้ลูกนกเหล่านั้นขยับปีก สอนให้ลูกนกโผบิน ในที่สุด ลูกนกในรังก็เริ่มสยายปีกบินขึ้นฟ้า
สายตาของเซี่ยฟานมองตามด้วยความตื่นเต้น นกฝูงนี้โผบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ใจของเซี่ยฟานเบิกบาน เขาคอยเฝ้ามองหาทางที่เขาจะเป็นดั่งนกพวกนี้
“ท่านลุง ข้าอยากบิน แบบนกพวกนั้น” เซี่ยฟานพูดกับหานโจว พลางชี้ไปบนท้องฟ้า
“เจ้าไม่ใช่นกเสียหน่อย ปีกก็ไม่มี” หานโจวคิดว่าเซี่ยฟานพูดไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เซี่ยฟานพยายามบอกคือการเป็นอิสระจากที่แห่งนี้
“สักวันข้าจะบินออกไปไกล ๆ” เสียงของเซี่ยฟานพึมพำ ยิ้มแย้ม มีความหวัง
อาทิตย์ต่อมา
เซี่ยเวยซื้อตัวทาสพี่น้องชายหญิงมาสองคน เพราะฮูหยินอยากได้คนมาช่วยงานเพิ่ม เขาเลือกทั้งสองมาอย่างส่ง ๆ แล้วไม่ได้ใส่ใจมากนัก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฮูหยิน
ส่วนใหญ่แล้วคนเป็นน้องชายก็ได้ทำงานดูแลสวน ความสะอาดบริเวณบ้าน ส่วนคนเป็นพี่ นางก็คอยรับใช้ฮูหยินตามหน้าที่
เดิมทีทั้งสองเป็นลูกชาวบ้านที่ครอบครัวยากจน ไม่มีที่ไปจนถูกจับมาขายในตลาดมืด แต่ทั้งสองเป็นคนที่ใฝ่เรียน แม้จะไม่มีเงินแต่อาศัยครูพักลักจำ สติปัญญาค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง
เซี่ยฟานเห็นสองพี่น้องแล้วรู้สึกได้ว่าทั้งคู่คอยดูแล ปกป้องกัน ดูอบอุ่น แม้จะรู้สึกเหงาไปบ้าง แต่ยังมีหานโจวที่พอจะเทียบเคียงได้
เขาไม่ได้สนิทสนมกับทั้งสองคนมากนัก เพราะไม่คุ้นชินกับการเข้าหาผู้คน จึงรับรู้เรื่องราวพวกเขาอยู่ห่าง ๆ
สองพี่น้องนั้นอายุมากกว่าเซี่ยฟานสี่ห้าปี พวกเขารู้ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้ ทั้งคู่คอยเก็บอัฐที่ได้จากการทำงาน ไปซ่อนเอาไว้ในมุมหนึ่งของห้อง สักวันจะเอาไว้ใช้ไถ่ถอนตัวเองจากการเป็นทาส
วันเวลาผ่านไปเพียงแค่ปีเดียวคนเป็นพี่สาวที่หน้าตามอมแมมก็กลายเป็นสาวงาม และนั่นก็ทำให้เซี่ยเวยที่กำลังเบื่อ ๆ เริ่มมาวอแวกับนาง
น้องชายของนางที่อายุไล่เลี่ยกัน ไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องตัวพี่สาว จึงคอยมาเป็นก้างขวางเซี่ยเวย แล้วก็จบลงด้วยการดื่มยาแก้ช้ำในพร้อมรักษาบาดแผล
“อาฟาน ไปดูเขาหน่อยเถิด” หานโจวสั่งเขาแล้วยื่นถ้วยยาให้
“ขอรับ” เซี่ยฟานพยักหน้ารับถ้วยยาแล้วเดินตรงไปหาเขา
จากนั้น ค่อย ๆ ป้อนยาให้เขาดื่มทีละนิด ๆ เพราะอาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างมากทีเดียว
“เป็นอย่างไร” เซี่ยฟานถามเขา
“เจ็บ” คำตอบสั้น ๆ และสีหน้ามุ่งมั่นของคนเป็นน้องทำให้เซี่ยฟานนึกสงสัย
แล้ววันหนึ่ง เซี่ยฟานก็ได้เห็นว่าสีหน้าแบบนั้นหมายความว่าอะไร
คนเป็นน้องชายพูดว่าเขาเก็บอัฐได้มากพอที่จะให้พี่สาวได้ไถ่ถอนตัวเองแล้ว
“ท่านพี่ วันพรุ่งนี้ รีบนำอัฐไปเถิด อย่าได้ทนกับความทุกข์ที่นี่เลย” เขาพูดกับพี่สาว
“แต่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้า” นางลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู
“ข้าจะรีบตามท่านพี่ไป ไม่ต้องห่วงข้านักหรอก” เขาจับมือของนาง กุมมือทั้งสองข้างเอาไว้ สายตามองเห็นทางที่จะทำให้พี่สาวหลุดพ้นจากเงื้อมมือคนโฉด
รุ่งเช้าวันต่อมา
คนเป็นน้องวิ่งวุ่นไปทั่วเรือน สีหน้าวิตกกังวล ก้มมองหาอะไรบางอย่าง
"ท่านพี่ หายไปแล้ว” เขามองหน้านางสีหน้าสิ้นหวัง “มันหายไปแล้ว”
พี่สาวของเขารับรู้ได้ถึงความเสียใจ กอดปลอบอยู่พักใหญ่
“ค่อย ๆ เก็บอีกสักปีเถิด ข้าทนไหว” นางพยายามเข้มแข็งเพื่อไม่ให้น้องชายต้องเป็นห่วง
แต่คำว่าทนไหวของนางนั้นไม่ทันได้ผ่านพ้นคืนนี้ไปด้วยซ้ำ เซี่ยเวยมาหานางที่เรือน ถือสุรามาด้วยขวดหนึ่ง สายตาดุร้าย อารมณ์พลุ่งพล่าน แต่แล้วก็ต้องมาสะดุดเจอคนเป็นน้องนั่งอยู่ด้านหน้าห้อง
เซี่ยเวยปาไหสุราไปที่เขาโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว เสียงไหสุราตกกระทบพื้นจนคนเป็นพี่ต้องรีบวิ่งออกมาดู จากนั้นทั้งสามคนก็ชุลมุนกันอยู่พักใหญ่
และแล้ว คนเป็นพี่ก็หยิบท่อนไม้ใหญ่ฟาดไปทั่วของเซี่ยเวยทีเผลอจนสลบไปในทันที
“ท่านพี่ อยู่ไม่ได้แล้ว รีบหนีกันดีกว่า” คนเป็นน้องจับข้อมือของนางไว้แน่น แล้วทั้งสองคนก็รีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
ทว่า เซี่ยเวยนั้นตายยาก เขาสะลึมสะลือตะโกนเรียกคนใช้เสียงดังลั่น ให้รีบออกตามหาสองพี่น้องกลับมาให้ได้
หลังจากพากันหนีอยู่ทั้งคืน พวกเขาก็ไปไหนไม่รอด ถูกจับกลับมาที่จวนสกุลเซี่ย แขนขาถูกมัดเอาไว้ นั่งคุกเข่าด้านหน้าเรือน
เซี่ยเวยมองสองพี่น้องอย่างเลือดเย็น นานมากแล้วที่มีคนกล้าทำกับเขาเช่นนี้
“บังอาจนัก เป็นแค่ทาส แต่กล้าทำร้ายเจ้านาย” เซี่ยเวยเดินมาตบที่หน้าของคนทั้งสอง เสียงเพียะดังขึ้นอยู่สามสี่ครั้ง
“อย่าทำร้ายพี่ข้า” เขายังคงปกป้องนาง แม้ว่าสภาพของตัวเองจะไม่แตกต่างเท่าใดนัก
“เฮอะ คิดจะเก็บอัฐไถ่ถอนตัวเองอย่างนั้นรึ ฝันลม ๆ แล้ง ๆ เสียจริง” เขาจ้องหน้าคนเป็นน้อง
“อัฐที่หายไป หรือว่าเจ้า...” เขากำลังจะพูดว่า เจ้าเอาไป แต่เซี่ยเวยบีบปากของเขาเอาไว้ ไม่ให้พูดสิ่งใดออกมา
“ข้าอยากได้อะไรก็ต้องได้ พี่สาวเจ้า ไม่ใช่ข้อยกเว้น” เสียงเยือกเย็นของเขาทำให้ใจทั้งสองสั่นสะท้าน
“ข้าไม่ยอม!” พี่สาวโพล่งออกมา มองหน้าเขา
“คนที่มีสิทธิ์เลือกคือข้า ไม่ใช่เจ้า” เซี่ยเวยพูดจบก็สั่งให้คนใช้เอาน้องชายไปโบยจนกว่าเขาจะสั่งให้หยุด เสร็จแล้วก็ลากคนเป็นพี่สาวเข้าห้องในทันที
เสียงของคนน้องดังเพราะความเจ็บปวดจากการโดนท่อนไม้ทุบด้านนอกเรือน ส่วนด้านในเรือนก็มีเสียงร้องไห้ กรีดร้องของคนเป็นพี่ดังออกมา
ครั้นเซี่ยเวยพอใจมากแล้วก็ออกมาข้างนอกห้องอย่างอารณ์ดี แล้วสั่งให้หยุดโบยคนเป็นน้องชาย
เซี่ยฟานที่เห็นว่าทั้งสองคนไม่สามารถหนีไปไหนได้ ก็เริ่มคิดแล้วว่า เขาก็คงไม่มีทางหนีเช่นกัน ชะรอยอาจจะต้องอยู่ที่จวนแห่งนี้ไปตลอดชีวิต
คืนนั้นพี่สาวที่รวบรวมสติกลับมาได้แล้วก็แอบออกไปดูอาการของน้องชาย นางเห็นสภาพนั้นแล้วทำใจไม่ได้ น้ำตาไหลด้วยความสงสารและเจ็บปวด
“ท่านพี่ รีบหนีไป ไม่ต้องห่วงข้า” เขาพยายามพูดกับนางด้วยความยากลำบาก ราวกับว่าคำพูดนี้เป็นคำสั่งเสียของเขา ไม่ทันที่พี่สาวจะได้ตอบอะไรออกไป ดวงตาของเขาค่อย ๆ ปิดลงหมดลมหายใจต่อหน้าต่อตาของนาง
“ไม่นะ เจ้าอย่าทิ้งข้าไป ลืมตามองพี่เถิด อย่าทิ้งข้าไปเช่นนี้สิ” นางคร่ำครวญกอดร่างเขาอยู่พักหนึ่ง นึกถึงคำพูดของน้องชาย อย่างน้อยก็ต้องทำให้คำสั่งเสียของเขาเป็นจริง แล้วพูดว่า “สักวัน ข้าจะกลับมารับเจ้า รอพี่สักหน่อยเถิดนะ”
จากนั้นนางก็รีบฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนหลับใหลหนีไป
“เซี่ยเวย สักวันข้าจะมาเอาคืนเจ้าอย่าสาสม” นางพูดด้วยความคับแค้นใจ