ตอนที่ 2.สาวงามกลางป่ากับมหาโจร
“ช่วยด้วยๆ”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังแว่วๆ ออกมาจากกระท่อมเก่าๆ หลังหนึ่ง
กระท่อมที่ชาวบ้านสร้างไว้เฝ้าพืชผลของเขาช่วงใกล้ๆ ฤดูเก็บเกี่ยว
มีแสงไฟส่องสว่างลอดออกมา อชิระช่างใจ...
มันเป็นพื้นที่โล่ง หากเขาทะเล่อทะล่าเข้าไปตอนนี้ ตัวเองอาจจะกลายเป็นเป้านิ่ง และอาจจะต้องตายฟรี
อชิระย่อตัวลง เขาค่อยคืบคลานเข้าไปใกล้ทีละน้อย มุ่งหน้าตรงไปยังกระท่อมหลังนั้น พื้นที่โล่งๆ แต่ไม่ราบเรียบอย่างที่คิด มีหลุม มีบ่อ พอให้เขาเร้นกายพักหลบสายตาได้ อีกเพียงสองร้อยเมตรเขาก็จะถึงที่หมาย อชิระเจอรองเท้าส้นสูงสีแดงอีกข้างตกอยู่ ก่อนที่เขาจะไปถึงกระท่อมหลังนั้น
ฉาด!!
“กูบอกให้มึงเงียบไงวะอีคนสวย มึงจะแหกปากเรียกให้ใครมาช่วยมึงเหรอวะ!!”
ตามด้วยเสียงตะโกนของใครบางคน
อชิระถอนใจด้วยความโล่งอก ผู้หญิงคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ แม้จะต้องเจ็บตัวไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าถูกฆ่าปาดคอทิ้งให้ตายกลางนาข้าวแบบไม่มีใครรู้เห็น
“ปล่อยฉันไปเถอะนะ ได้โปรด... แกอยากได้เงินก็เอาไปสิ แต่อย่าทำอะไรฉันเลย”
อชิระพยายามเดาเหตุการณ์ด้านใน เป็นไปได้ว่าวิฬาอาจจะอาศัยใครบางคนโดยสารรถยนต์ของเขาออกมา แต่เพราะความละโมบ หรืออาจจะเพราะความหื่นกระหาย เมื่อนานๆ ครั้งจะมีผู้หญิงสวยๆ โผล่มาให้เห็นเสียที ประจวบเหมาะกับเวลาพลบค่ำ ทางสะดวกปลอดโปร่ง ไอ้วายร้ายจึงลงมือ และหากอชิระไม่ตามมา พรุ่งนี้เช้าเขาอาจจะได้ยินข่าว ผู้หญิงคนนี้กลายเป็นศพก็ได้
หลังสำรวจจนแน่ใจ ไอ้โจรห้าร้อยนี่ลงมือคนเดียวแน่ อชิระไม่ได้ยินเสียงแปลกปลอมอื่น นอกจากเสียงการตอบโต้ของบุคคลสองคน
อชิระยืดตัวเต็มความสูง เดินเข้าไปชิดผนังกระท่อมหลังนั้น เขาแหวกใบจากที่ทำเป็นผนัง เพื่อมองเหตุการณ์ด้านใน
เขากวาดตามองหาผู้หญิงจนเจอ หล่อนนั่งซุกอยู่ตรงมุมหนึ่งของกระท่อม ชุดสวยก่อนหน้านี้ขาดหวิ่น ผ้าลูกไม้ฉีกขาดบางส่วน คงเป็นช่วงที่หล่อนวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงผ้าโปร่งๆ นั่นจึงเกี่ยวปลายไม้หรือหนามแหลมๆ มาตลอดทาง ฝ่าเท้าของหล่อนมีคราบดินโคลนเกรอะกรัง หล่อนคงสู้ไม่น้อย ก่อนจะมาจนมุมตรงที่แห่งนี้
ชายร่างใหญ่รูปร่างอวบท้วมยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง อชิระพยายามมองหาอาวุธ แต่เท่าที่เห็น หมอนั่นมีเพียงมีดพกอันเล็กๆ เหน็บอยู่ที่สีข้าง อชิระพยายามนึกเค้าหน้าคนคนนี้ เขาไม่คุ้นตาเลย หมอนี่อาจจะเป็นคนต่างถิ่นที่บังเอิญผ่านมาก็ได้
“ต่อให้มึงแหกปากร้องจนปากฉีก ก็ไม่มีใครเสนอหน้ามาช่วยมึงหรอกอีคนสวย”
“ปล่อยฉันไปเถอะนะลุง” วิฬาวิงวอนด้วยความหวาดกลัว
“กูลูกคนเดียวโว้ย ไม่มีพี่น้อง และญาติสวยๆ แบบนี้กูก็ไม่เคยมี” มันตะคอกกลับไร้ความปราณี
“...” สาวเมืองกรุงเม้มปากแน่น หากโดนรังแกตรงนี้ เธอคงมีทางเดียวที่จะรอด คือการตาย
“สวยๆ แบบมึงนะอีหนู กูจะยอมเป็นผัวชั่วคราวให้สักอาทิตย์ แล้วค่อยส่งขายให้ไอ้พวกบ้ากามติดชายแดนโน้น”
วิฬากลืนน้ำลายฝืดๆ เธอโชคร้ายถึงร้ายที่สุด ดันขึ้นรถยนต์ของคนแปลกหน้ามา โดยไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นโจรในคราบคนใจดี
ระหว่างทางที่พยายามเดินกระย่องกระแย่งออกมานอกสวนส้มแห่งนั้น
วิฬาโมโหฉุนเฉียว ไม่ได้เสียใจที่เงินก้อนใหญ่ทำท่าจะสูญ แต่เจ็บใจที่ถูกคนที่ยกตัวเป็นผู้ดีหลอก แต่เธอจะไม่ยอมจบลงแค่ถูกโกง อรุณวตีจะต้องชดใช้เธอทุกบาททุกสตางค์ เพียงแต่เธอต้องหาทางกลับออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน วิฬาเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดๆ แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ค่อยๆ หายไปหลังเหลี่ยมเขา เธอถอนใจรอบที่ร้อยกับความสะเพร่าของตนเอง เธอหุนหันเดินออกมาไม่ทันดูเวลา พอเดินมาไกลพอสมควร จึงเริ่มรู้สึกว่านี่เป็นอีกครั้งที่เธอตัดสินใจผิด
ครั้งแรกที่ตอนที่ควักเงินเก็บของตนเองให้ผู้หญิงหน้าซื่อใจคดคนนั้นยืม
ครั้งที่สองคือการที่เธอถ่อสังขารมาไกลยังดินแดนไกลปืนเที่ยงเพื่อทวงเงินจากคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
และครั้งที่สาม กับการที่เธออาศัยรถยนต์ของชายแปลกหน้าเพื่อจะเดินทางไปที่ตัวเมือง
ทุกการตัดสินใจของเธอ มีครั้งนี้ร้ายแรงที่สุด เธอจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่รกร้างนี่หรือเปล่า? จะมีใครได้ยินเสียงร้องของเธอแล้วตามมาช่วยหรือไม่? วิฬาคิดอย่างทดท้อ...เธอนึกถึงพี่ชาย นึกถึงพ่อและแม่
“เราไม่เคยรู้จักกัน แล้วฉันก็ไม่ได้คิดร้ายกับลุงเลย ทำไมลุงทำกับฉันแบบนี้ล่ะคะ”
วิฬาชวนคุย เธอหาเรื่องประวิงเวลา
“ไม่รู้จักกันสิดี กูจะได้เชือดมึงได้แบบไม่ตะขิดตะขวงใจไงวะ”
มันตอบพร้อมกับหัวเราะลงลูกคอเหมือนกำลังขบขันนักหนา
สาวเมืองกรุงหน้าเสีย เธอรีบขดตัวแน่นขึ้น พยายามซุกตัวแทบจะจมหายไปในผนังที่ทำจากใบไม้
แต่...
พลั่ก!!
เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน จู่ๆ ก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมา ชายผู้นั้น ฟาดท่อนไม้ขนาดใหญ่ไปที่แผ่นหลังของคนใจดำอำมะหิต ตามด้วยฝ่าเท้าใต้รองเท้าผ้าใบที่เตะอัดเข้าชายโครง จนร่างสูงใหญ่ของคนร้ายล้มกลิ้งลงไปกองบนพื้น แต่ก่อนที่มันจะทรงตัวได้ คนคนนั้นก็ตามไปกระทืบซ้ำอีกครั้ง เสียงฝ่าเท้ากระทบกับหนังตันๆ ดังตุ๊บตับ! ผสมกับเสียงร้องโวยวายของคนที่ไม่ทันรู้ตัว
“เห้ย!! ใครวะ โอ้ย! ไอ้เหี้ยกูเจ็บนะ ไอ้สัตว์ ไอ้ฉิบหายแน่จริงตัวต่อตัวกับกูสิวะ”
มันพยายามดิ้นหนีฝ่าเท้าที่ตามกระทืบแบบไม่ให้ตั้งตัว แม้จะพยายามกลิ้งหลบ แต่ไอ้หมอนั่นก็ตามติดได้ทุกครั้ง มันกระแทกฝ่าเท้าอัดทั้งสีข้างและลำตัว ตัดกำลังและหวังให้ตนเองยอมสยบ แต่ไอ้วายร้ายก็ทนทายาดมันกระอักออกมาเป็นเลือด แต่ก็ยังมีสติดี
“หยุดซะทีสิโว้ย!!” มันคำรามเสียงแหบ เจ็บร้าวไปทั้งลำตัว
วิฬาเบิกตากว้าง เมื่อลำแสงจากกองไฟมุมกระท่อมตกกระทบใบหน้าคมคายของคนที่เสนอตัวเข้ามาช่วย
อชิระ ทิวากร เจ้าของไร่ส้มคนนั้น นั่นเอง
อชิระยิ้มเหี้ยม เขาหยุดเตะ ล้วงอาวุธออกมาจากซอกเอวแทน
ปลายกระบอกปืนกดลงกลางหน้าผาก พร้อมกับเสียงแหบต่ำ “หยุดก็ได้ลุง อยากตายก็ไม่บอก”
ดวงตาเหลือกโพลง ยังไม่น่าขำเท่ากับอาการหวาดผวาของมันเลย
สองมือยกขึ้นพนมไหว้ ร่ำร้องขอชีวิตแบบไร้ความอาย “อย่าฆ่ากูเลย มึงอยากได้อีนี่ใช่มั้ยล่ะ เอาไปเลย กูยกให้”
อชิระยิ้มเครียด “กลัวตายด้วยเหรอมึง มึงเป็นใครวะ? มาจากที่ไหนกล้ามากเลยนะที่มาทำเลวในถิ่นของกู” อชิระถามต่อ คนแปลกหน้าที่เข้ามาแบบไม่หวังดี
“ฉันมาจาก...ผ่านมาเฉยๆ กำลังจะไปบ่อนน่ะจ้ะ” มันตอบเสียงนอบน้อม มันแค่เพียงผ่านมาเฉยๆ จุดหมายปลายทางคือบ่อนการพนันติดชายแดนไทยนั่นเอง
อชิระถอนใจแรงๆ อาชญากรรมเริ่มเพิ่มขึ้นสูง ตั้งแต่มีการเปิดบ่อนถูกกฎหมายอีกฝากของประเทศเพื่อนบ้าน มีแค่แม่น้ำสายหนึ่งกั้นแค่นั้น
มีผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสนเดินทางมาเสี่ยงโชค หอบเงินมาถลุงหวังร่ำรวยกลับไป แต่เท่าที่เห็นส่วนใหญ่ กลับไปตัวเปล่าแทบทั้งนั้น ส่วนใหญ่หน้าแห้งเพราะสูญเงินจำนวนมากที่หอบหิ้วมา ไม่มีใครรวยเพราะการพนันหรอก ถึงจะร่ำรวยในวันนี้ วันหน้าคนคนนั้นก็ย้อนกลับมาให้บ่อนเหล่านั้นสูบเงินที่ได้ไปกลับมาจนหมด ปลายทางของคนละโมบคือความตาย มีศพไร้ญาติ นอนตายเกลื่อน ไหนจะที่ลอยขึ้นอืดมาตามลำน้ำอีก และแบบที่ถูกเอาศพมาทิ้ง โดยที่เจ้าหน้าที่สืบค้นหาความจริงไม่ได้ เมื่ออิทธิพลมืดแผ่ปกคลุมทั่วทุกพิ้นที่
เงินสะพัด ชาวบ้านมีหนทางทำกินได้อีกช่องทางหนึ่ง แต่ก็มีอันตรายปะปนมาด้วย
มันไม่ได้มีแต่คนร่ำรวยที่เดินออกจากบ่อนการพนันเท่านั้น หลายรายหน้าแห้ง เพราะถลุงเงินที่พกมาเต็มกระเป๋าจนหมด ทำให้พวกเขาคิดสั้น หากินบนความเดือนร้อนของคนอื่น