เขาบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง ต่อให้นอนใต้หลังคาเดียวกัน เขาก็ไม่ได้มีจิตใจต่ำตม ถึงขนาดจะทำร้ายหล่อนซ้ำ ทั้งที่หล่อนเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มาหมาดๆ
วิฬาไม่ได้พูดอะไรเลย หล่อนกินข้าวไปเงียบๆ จนอิ่ม “ขอบคุณนะ” ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องนอนที่ปลอยภัย วิฬาไม่วายกล่าวขอบคุณคนแปลกหน้าที่ยื่นมือมาช่วยตอนที่เธอกำลังคาบเกี่ยวกับความเป็นความตาย
อชิระเงยหน้ามอง เขาเห็นเพียงแผ่นหลังงองุ้มของวิฬาที่เดินกระ โผลกกระเผลกเข้าไปในห้องนอนตนเอง
ดวงตากลมโตเบิกโพลง ความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ย้อนกลับมาเมื่อความมืดมิดโรยตัวอยู่รอบข้าง ลมหายใจวิฬาเริ่มแรงขึ้น เธอเหลียวมองรอบตัวไม่รู้ว่าอุปทาน หรือความกลัวที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจ ทำให้ดวงตาของเธอเกิดภาพหลอน ณ. มุมมืดมุมห้อง เงารางๆ ของใครบางคนนั่งซุ่มอยู่ตรงนั้น
เธอพยายามข่มใจแต่ก็หลับไม่ลงสักที
“ผมอยู่นี่ ไม่มีใครบุกเข้ามาทำอันตรายคุณได้หรอกนะ” เสียทุ้มนุ่มดังขึ้นท่ามกลางความมืด เสียงนั่นทำให้วิฬาอุ่นใจ เธอหลุบเปลือกตาลง ในที่สุดก็หลับลงจนได้
เสียงนกร้องจิ๊บๆ อยู่ใกล้หู อาจจะเป็นที่ด้านนอกก็ได้ เธอยกหมอนปิดหน้าพร้อมกับบ่น “สวยเปิดหน้าต่างทำไม ฉันจะนอน” สวยคือคนรับใช้ส่วนตัวที่เหมือนพี่สาวของเธอ ทุกหน้าที่ในบ้านสวยจัดการได้อย่างดี ไม่มีคนใกล้ตัวคนไหนรู้ใจเธอ เท่ากับสวยอีกแล้ว ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีเสียงการเคลื่อนไหว วิฬาขมวดคิ้ว เป็นไปไม่ได้ที่สวยจะไม่เจ้ากี้เจ้าการ หากถึงเวลาที่เธอต้องไปทำงาน
วิฬาดึงหมอนออกจากหน้า กะพริบเปลือกตาปริบๆ ทันทีที่ลืมตา ทุกสิ่งรอบตัวกลับไม่ใช่อย่างที่เคยเห็นเป็นประจำ เพดานไม้สีขาว กรอบหน้าต่างไม้สีน้ำตาลไม้ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นไม่ชินตาสักอย่าง วิฬายันตัวลุกขึ้นนั่ง กวาดตามองพร้อมกับคิดในใจ
เมื่อความจำย้อนกลับมา เธอเบิกตาโต รีบก้มมองตัวเอง พร้อมกับถอนใจ
เสื้อยืดสีขาวเนื้อผ้านุ่มเนียน กับกางเกงขาสั้นที่ไม่พอดีกับตัว จนต้องใช้ตัวช่วย เธอไม่ได้นอนอยู่ที่บ้านในเมือง ตอนนี้เธอนอนอยู่บนเตียงของใครบางคนที่เป็นลูกหนี้เธอ ซึ่งชายผู้นั้นปฏิเสธความรับผิดชอบ เนื่องจากหนี้ก้อนนั้นเขาไม่ได้มีส่วนร่วม
วิฬายกมือเสยผม เธอบุ่มบ่ามมาไกลหวังได้เงินก้อนของตัวเองคืน จนลืมไปว่า ชายผู้นี้ไม่ใช่ลูกหนี้เธอ คนที่เธอควรทวงคือพี่สาวของเขา ผู้หญิงเจ้ายศที่ยิ่งผยองคนนั้น
“ตื่นสักที หิวมั้ย ฉันเตรียมมื้อเช้าไว้ให้ตั้งแต่แปดโมงนู้น”
หญิงสูงวัยแปลกหน้ารูปร่างท้วม สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ ยกเว้นน้ำเสียงที่แข็งกระด้างนั่น บอกให้วิฬารู้ หญิงผู้นี้ไม่ใคร่พอใจกับการที่พบหน้าเธอสักเท่าไหร่
“กี่โมงแล้วคะ?” วิฬาถามเสียงแหบแห้ง
“อีกสามสิบนาทีก็เที่ยงแล้วค่ะ คุณหิวมั้ยคะ ฉันจะได้สั่งเด็กไปเอากับข้าวมาให้”
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่เคยตื่นสายขนาดนี้มาก่อนเลย” วิฬารีบแก้ตัวพร้อมกับขยับตัวลงจากเตียง “อู้ยยยยย!” เธอครางเสียงหลง การขยับตัวปุบปับทำให้เธอรู้ว่า บาดแผลเมื่อตอนนั้นกำลังระบมใจตอนนี้
“ไม่ต้องลุกหรอก ถ้าไม่ไหว เดี๋ยวฉันให้ใครเอาอะไรมาให้กิน อีกแปบนายก็กลับมาแล้ว”
วิฬาขมวดคิ้ว เธอได้ยินเสียงถอนใจแรงๆ “คุณอชิระค่ะ เดี๋ยวเธอคงมา ได้ยินว่าเธอจะพาคุณไปหาหมอนี่คะ” คนคนเดิมเปรยลอยๆ หลังจากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เธอก้มมองบาดแผลที่ฝ่าเท้า รอยบาดลึกจนน่ากลัวเหมือนกัน ขอบแผลมีสีคล้ำจนน่าเป็นห่วง วิฬาเม้มปากตอนที่วางฝ่าเท้าบนพื้นไม้ และพยายามทรงตัวยืน “ถ้าเจ็บก็อย่าเพิ่งขยับ แผลจะปริจนเลือดไหลอีก” อชิระปราม ก่อนจะเดินเข้ามา เขาลากเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้ากับวิฬาที่นั่งอยู่บนเตียง
“จะกินอะไรก่อนหรือจะไปหาหมอเลยครับ”
น้ำเสียงไม่ได้แฝงความรู้สึกอะไรสักอย่างเลย มันเรียบเฉยจนวิฬาเดาใจคนตรงหน้าไม่ถูก
“ขอบคุณค่ะ แผลแค่นี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้งคะ” วิฬาแค่นยิ้มเธอไม่ได้เปราะบางเหมือนที่คนตรงหน้าเข้าใจ
“ไปหาหมอเถอะ อย่างน้อยจะได้ไม่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่” อชิระพูดตัดบท ปากแผลบวมช้ำสีคล้ำจนน่าเป็นห่วง
“เอ่อ...” วิฬาพูดไม่ออก เธอเหยียบพื้นไม่ได้ แค่ขยับตัวยังเจ็บจนน้ำตาเกือบร่วง ไม่ต้องคิดเรื่องการเดินเลย ตอนนี้เธอคงเดินไม่ไหว
จู่ๆ ตัวเธอก็ถูกยกลอยขึ้นจากพื้น ไอร้อนพวยพุ่งใส่หน้าทุกการขยับตัวของชายแปลกหน้าที่มีสถานะเป็นน้องชายของลูกหนี้ที่ยืมสตางค์เธอไป พร้อมกับเสียงปรามเบาๆ “อยู่เฉยๆ อย่าดิ้นไปละ น้ำหนักตัวคุณเยอะอยู่แล้ว หากผมเสียสมาธิทั้งคุณและผมคงได้ตกบันไดทั้งสองคน” เขาปรามเธอระหว่างที่เดินลงบันได
“นายจะไปเองหรือให้ผมพาไปครับ” ช้างตะโกนถาม พลางมองท่าทางอุ้มแบบทะนุถนอมแบบงงๆ
อชิระไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ผู้หญิงใกล้ชิด นอกจากป้าสายแล้ว แทบไม่มีผู้หญิงคนไหนได้เหยียบพื้นเรือนของเขาได้อีกเลย
มันแปลกตั้งแต่อชิระไล่ตามหญิงแปลกหน้าที่มาตะโกนด่าทอที่หน้าบ้านไปแล้ว
ต่อให้เป็นห่วงแค่ไหน ชายตรงหน้าเขาก็ไม่เคยออกตัวแบบนี้
“อุ้มเขาไหวหรือเปล่าละช้าง” อชิระถามลูกน้องคนสนิท หลังวางวิฬาที่เบาะด้านข้างคนขับ
“ไม่น่าไหวครับ น้ำหนักน่าจะเกินเจ็ดสิบกิโล” ช้างวิจารณ์แบบไม่กลัวถูกด่า วิฬาถึงกับแสยะยิ้ม กำมือแน่น
อชิระไม่ได้พูดอะไรอีก เขาโหนตัวขึ้นไปนั่งประจำที่หลังพวงมาลัยรถจี๊ฟ “บอกป้าสายเอากับข้าวใส่ปิ่นโตไปส่งในไร่ให้ที เดี๋ยวทำแผลคุณเขาเสร็จ ฉันจะไปกินที่นู้นเลย ไม่มีเวลาเหลือพอแล้วละ”
ช่วงเก็บเกี่ยวส้ม อชิระแทบกินนอนไม่เป็นเวลา เขาต้องรีบกระจายผลผลิตออกไปให้ได้มากที่สุด อย่างน้อยก็จะได้หมดห่วงเรื่องรายได้ของปีนี้ หลังจากที่ควักจ่ายอย่างเดียวมาหลายปีแล้ว
วิฬานั่งเงียบมาตลอดทาง ถนนหนทางแถวนี้ความเจริญยังมาไม่ถึง พื้นถนนมีหลุมบ่อ มีแต่ดินแดง เท่าที่เห็นยังไม่มีถนลาดยางเข้ามาถึง นอกจากถนนเส้นหลักตอนที่เธอผ่านมา นอกนั้นเป็นถนดินแดงเกือบทั้งนั้น ไม่แปลกเลยที่คนแถวนี้นิยมใช้รถยนต์ที่สมบุกสมบันมากกว่ารถเก๋งหรูๆ
เกือบสามสิบนาทีทีเดียวสำหรับการเดินทางมายังสถาธารณะสุขชุมชน ไม่ใช่โรงพยาบาลขนาดเล็กอย่างที่เธอเข้าใจ
“ถ้าอยากเจอหมอ ต้องออกไปอีกประมาณสี่สิบกิโลครับ ผมไม่สะดวก” อชิระอธิบายสั้นๆ ก่อนจะโหนตัวลงไปยืนด้านล่าง
มีเจ้าหน้าประจำสาธารณะพสุขโผล่หน้าอออกมามอง แล้วก็วิ่งเหยาะๆ ลงมาหา
“คนงานเป็นอะไรเหรอคุณอชิ?” คำทักทายประเมิณความสนิทสนมได้เป็นอย่างดี
อชิระส่ายหน้า “ไม่ใช่คนงานหรอกหมอ คนผ่านมาน่ะ เป็นแผลที่เท้า” เขาตอบแบบไม่บ่งบอกอะไรเลย คงกลัวความยุ่งอยาก
“โดนอะไรมาเหรอคุณ?” หมอประจำศูนย์อนามัยชุมชนก้มหน้ามองแผล พลางถามถึงสาเหตุ
“น่าจะเปลือกหอยบาดค่ะ ฉันลื่นจนรองเท้าหลุดเลยเกิดอุบัติเหตุค่ะ” วิฬาพูดปด
“แผลค่อนข้างช้ำนะครับ เดี๋ยวผมล้างแผลให้ เอายาแก้อักเสบไปกิน หากค่อยยั่งชั่วแล้ว รบกวนไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดยากันบาดทะยักนะครับ พอดียาหมด ยาใหม่ยังส่งมาไม่ถึง” พื้นที่ห่างไกลขาดทั้งบุคลากรและยา ยาพื้นฐานพอรักษาได้แค่ไข้หวัด ปวดหัว ปวดท้อง ถ้าอาการหนักจริงๆ คนพื้นที่รู้ดีว่าควรไปที่ไหน
อชิระยืนเฉยจนวิฬาเริ่มอึดอัด เธอลงเดินเองไม่ได้ ไม่มีทางที่จะโขยกเขยกขึ้นไปบนอาคารที่สูงสองชั้นนั่นได้ด้วย เขาเหลือบมองเธอด้วยหางตา แต่ก็ยังยืนเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้สา
“คุณ!” วิฬาแสยะยิ้มให้เรียกอชิระเสียงขุ่น
สีหน้าบอกบุญไม่รับกับแววตาว่างเปล่าตอนที่มองสบตาเธอ “อยู่เฉยๆ เถอะ เดี๋ยวหมอลงมาทำเอง ผมไม่มีแรงอุ้มคุณขึ้นไปบนนั้นหรอก หนัก!”