“ตาคีมหนูรัญไปยังไงมายังไงถึงแวะมาที่นี่ได้จ๊ะ” ชลาพรมารดา ของอคิราห์เดินทักทายยิ้มร่าเข้ามายังห้องรับแขกที่ลูกชายและลูกสะใภ้นั่งรออยู่ ทั้งสองยกมือไหว้ ผู้เป็นแม่ดีใจไม่น้อยที่ได้เห็นเคียงคู่กันมาเพราะปกติแล้วอคิราห์จะมาคนเดียวตลอดนี่แสดงว่าเวลาสามเดือนที่ผ่านมาอะไรๆ ที่นางหวังไว้เริ่มจะเห็นผลขึ้นมาบ้างแล้ว
“นั่งก่อนนะครับคุณแม่...ไม่สบายอยู่ไม่ต้องรีบเดินก็ได้” ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปประคองมารดา
“แม่ไม่เป็นไรหรอก...หนูรัญสบายดีเหรอจ๊ะ ดูหน้าแดงๆ นะ” เมื่อลูกชายประคองให้นั่งก็ไถ่ถามทุกข์สุขลูกสะใภ้ทันที
“เอ่อ...”
“ลูกสะใภ้คุณแม่ก็หน้าแดงทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว...ข้าวใหม่ปลามันทำยังไงได้ล่ะครับ” ชายหนุ่มชิงตอบเสียก่อนด้วยกลัวว่าเธอจะเอาเรื่องที่เขากลั่นแกล้งฟ้องมารดา ถ้อยขำหยิกแกมหยอกทำให้ชลาพรยิ้มรื่น
ความหวังจะให้ณัฏฐนิชมาแทนที่ผู้หญิงคนนั้นดูท่าจะไปได้สวย ก็ลูกสะใภ้คนนี้ทั้งสวยทั้งเก่งแทบทุกด้าน ความน่ารักอ่อนหวานนั้นคงแทรกซึมเข้าในหัวใจลูกชายนางบ้างล่ะ ถึงจะยังไม่ลืมเพียงอัปสรในตอนนี้แต่อยู่ไปนานๆ คนที่ตายไปแล้วก็ย่อมไม่มีความหมายอะไรอีก
จบสิ้นกันเสียที... “ที่ผมมาวันนี้....จะมาบอกคุณแม่ว่าเราจะไปฮันนีมูนกันครับ อาจจะไปสักสองสามเดือน” ณัฏฐนิชถึงกับตาโตด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่เขาพูด เดาไม่ออกเลยว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอ
“อืม...เอาสิ แต่งงานกันมาตั้งหลายเดือนแกก็มัวแต่เมาไม่สนใจเมีย ไปพักผ่อนกันสองคนก็ดีแล้ว ขากลับอย่าลืมเอาหลานมาฝากแม่นะ” ชายหนุ่มยิ้มรับคำมารดาแสดงให้สมบทบาทเต็มที่
“แล้วจะไปวันไหนล่ะ...ดูสถานที่หรือยังว่าจะไปที่ไหน”
“ไปวันนี้ครับ เครื่องออกตอนสองทุ่มผมจองตั๋วไว้แล้ว...เราจะไปฝั่งยุโรปกันครับ”
“วันนี้เลยเหรอ...ทำไมเร็วนัก” ชลาพรทำท่าแปลกใจพอๆ กับหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามเธอไม่เคยรับรู้ในสิ่งที่เขาพูดสักนิดเลย
“ผมอยากให้คุณแม่อุ้มหลานเร็วๆ นี่ครับ” คนอ้อนแม่ก้มตัวลงหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่
“ผมแวะมาลาคุณแม่น่ะครับ นี่ก็เย็นแล้วผมต้องไปเตรียมตัวก่อน” ชายหนุ่มหาโอกาสปลีกตัวทันที มาเร็วไปเร็วแบบที่ใครก็เดาใจเขาไม่ได้
“จะกลับกันเลยเหรอ หนูรัญยังไม่ได้คุยกับแม่สักคำ อยู่กินข้าวเย็นกับแม่ก่อนนะหนูรัญนะ”
“รัญ...รัญแล้วแต่คุณคีมค่ะ” คนตัวเล็กตอบอ้อมแอ้ม
“ผมอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่นะครับ แต่เรารีบจริงๆ ยังไม่ได้เตรียมของกันเลย เดี๋ยวจะไม่ทันเครื่อง”
“เอาเถอะๆ ไม่เป็นไร แต่กลับมาจากฮันนีมูนรอบนี้แกต้องพาหนูรัญมาเยี่ยมแม่บ่อยๆ นะอย่าเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวอีกล่ะ” แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเหตุใดตั้งแต่แต่งงานกันมาลูกชายของเธอไม่เคยสนใจไยดีในตัวณัฏฐนิชเลย วันๆ เอาแต่เมาเหล้างานการก็ไม่ทำนั้นเป็นเพราะอะไรแต่ชลาพรก็เลือกที่จะพูดในสิ่งที่ห่างไกลความเป็นจริง “ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับ แล้วจะซื้อสร้อยเพชรเม็ดใหญ่ๆ มาฝาก” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก้มลงหอมแก้มมารดาอีกฟอด ก่อนจะพยักหน้าให้ณัฏฐนิช “รัญขอตัวก่อนนะคะคุณแม่ สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้แม่สามีด้วยความนอบน้อมก่อนจะถูกสามีจอมโหดดึงมือมาจูงไว้ ชายหนุ่มส่งยิ้มน้อยๆ ให้มารดาก่อนจะเดินออกจากบ้านไป ชลาพรนั้นใช่ว่าจะไม่แปลกใจในตัวลูกชาย ก็เมื่อคืนพ่อตัวดียังเมาแอ๋จนต้องให้คนขับรถที่บ้านไปรับกลับที่สถานีตำรวจ เพราะโดนจับข้อหาเมาแล้วขับ และตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมาอคิราห์ก็อยู่สภาพนั้นตลอด งานก็ไม่เคยสนใจจะทำทั้งๆ ที่เขาเป็นถึงประธานบริษัท ปล่อยทุกอย่างให้นางกับลูกน้องคนสนิทรับผิดชอบ มาวันนี้กลับอี๋อ๋อกับเมียสาวมาบอกว่าจะไปฮันนีมูน แต่ก็ช่างเถอะหากมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็ไม่น่าเป็นห่วงไม่ใช่หรือ เพราะนั่นคือความต้องการของนางอยู่แล้ว
ย้อนนึกกลับไปนางเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น อคิราห์เป็นลูกชายคนเดียวของนางกับสามีชาวอังกฤษ หลังจากพ่อของชายหนุ่มประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตนางก็เลี้ยงดูลูกชายตัวคนเดียวมาตลอด ใช้กำลังทั้งหมดดูแลกิจการที่สามีทิ้งไว้ให้จนสามารถเติบโตเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ความผูกพันของแม่ลูกเหนียวแน่นมากเพราะมีกันเพียงสองคน หลังจากเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศเธอก็ยกตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดให้ลูกชายส่วนตัวเองก็รามือออกมาอยู่บ้านเฉยๆ
กระทั่งเมื่อสามปีที่แล้วอคิราห์ได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งและคบหาดูใจกันเรื่อยมา ทั้งๆ ที่นางก็คัดค้านตลอดว่าทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน แต่อคิราห์ก็ไม่เคยฟังนับวันยิ่งรักยิ่งหลงผู้หญิงคนนั้นมากขึ้นถึงขั้นมีโครงการจะแต่งงานกัน ตอนนั้นเองที่นางเริ่มคิดหาคู่ครองให้ลูกชาย ณัฏฐนิชคือเป้าหมายนั้น หญิงสาวเป็นลูกของพสุธาเพื่อนชายสมัยเรียนของนางมาตอนหลังบิดาของหญิงสาวเสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน นางเห็นณัฏฐนิชมาตั้งแต่เด็กๆ เนื่องจากไปมาหาสู่กันบ่อยๆ หญิงสาวเป็นเด็กน่ารักเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้วน่าเสียดายที่มีแม่ติดการพนัน ชีวิตจึงค่อนข้างลำบาก ด้วยความสงสารและอยากช่วยเหลือจึงได้ไปสู่ขอมาให้อคิราห์ด้วยเงินสินสอดที่แพงลิบ
มณีแม่ของณัฏฐนิชตกลงทันทีอย่างไม่มีข้อแม้และไม่ถามไถ่ความเห็นของลูกสาวสักนิดเพราะเห็นแก่เงิน ทางด้านอคิราห์เธอก็ขอร้องแกมบังคับรวมทั้งขู่เข็ญสารพัดถึงขั้นตัดแม่ตัดลูกหากไม่ยอมแต่งงานกับคนที่เธอเลือกไว้ให้ ชายหนุ่มจึงยอมตกลง แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพียงอัปสรแฟนสาวของอคิราห์ประสบอุบัติเหตุในคืนวันแต่งงาน จากนั้นมาลูกชายนางก็เสียผู้เสียคนไปเลยก็ว่าได้
นางเองไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้เหมือนกัน ไม่ได้อยากให้เพียงอัปสรต้องตาย แค่อยากแยกลูกชายออกจากผู้หญิงอย่างนั้นเท่านั้นเอง ไม่คิดเลยว่าเจ้าหล่อนจะเสียใจจนขาดสติขับรถพุ่งชนกับรถบรรทุกจนเสียชีวิต
สองหนุ่มสาวที่ขับรถออกมาจากบ้านเลนเบิร์คยังคงเล่นสงครามเย็นมาตลอดทาง ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมาจากปากคนทั้งคู่ ณัฏฐนิชถึงจะอยากรู้เรื่องที่เขาคุยกับมารดาแต่เธอไม่ได้ปริปากถาม คงนั่งนิ่งเป็นหุ่นตุ๊กตาอยู่เช่นเดิม แต่เมื่อรถเลี้ยวออกนอกเส้นทางที่จะกลับบ้านเธอก็หันมองหน้าเขานิดหนึ่งคิดอยากสอบถามว่าจะพาไปไหนกันแน่ แต่เมื่อตรึกตรองถึงคำตอบก็เลือกที่จะนั่งเงียบดีกว่า
ผู้หญิงอย่างเธอมันไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับเขา อากาศที่เริ่มหนาวขึ้นเพราะดูท่าฝนจะตกลงมาอีกในไม่ช้า บวกกับแรงเป่าของแอร์ภายในตัวรถทำให้หญิงสาวต้องใช้มือกกกอดตัวเองเอาไว้เพราะความหนาว อาการป่วยของเธอเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นแล้ว
อคิราห์ยังคงขับรถไปเรื่อยๆ ถนนดูโล่งขึ้นเพราะห่างจากในตัวเมืองมาพอสมควร ชายหนุ่มทอดมองไปด้านหน้าเห็นศาลาที่พักริมทางหลังหนึ่งจึงชะลอรถเทียบจอด
“ฉันจะไปทำธุระเธอคอยที่นี่ก่อนก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเอ่ยบอกอย่างไม่ใส่ใจ
“เอ่อ...มันเปลี่ยวนี่ค่ะ รัญกลัวให้รัญกลับแท็กซี่ก็ได้ค่ะ” ณัฏฐนิชต่อรองขณะมองไปรอบๆ สถานที่อันไม่คุ้นเคย
“แถวนี้มันมีแท็กซี่ที่ไหนกันล่ะ...ถ้าไม่รอก็เดินกลับไปก็แล้วกัน...ลงไปได้แล้ว” หญิงสาวยังคงลังเลไม่ยอมลงจากรถไปง่ายๆ ด้วยว่ากลัวกับสถานที่ที่ไม่รู้จักและฝนฟ้าก็ทำท่าจะตกลงมาแล้วด้วย
“ลงไปสิโว้ย!!!!”
เสียงตวาดลั่นทำเอาณัฏฐนิชสะดุ้งตัวสั่นงก สายตาดุมองมาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อจนเธอต้องลนลานรีบเปิดประตูรถก้าวออกจากรถและเมื่อประตูปิดลงชายหนุ่มก็เร่งขับรถออกไปด้วยความเร็วจนล้อฟรีกับพื้นถนนเป็นรอยไหม้ดำณัฏฐนิชยืนมองน้ำตาคลอเบ้าในลำคอเจ็บจุกจนกลืนน้ำลายไม่ลง จะกลับก็ไม่รู้กลับยังไงจะรอก็กลัวเขาไม่มารับ ฝนเม็ดเล็กๆ เริ่มสาดลงมาปรอยๆ หญิงสาวจึงวิ่งเข้าไปในศาลาเพื่อหลบอาศัย สายตากวาดมองไปรอบๆ ด้วยความกลัวเธอตัดสินใจเลือกที่จะรอเขากลับมา
หวังว่าอคิราห์จะหลงเหลือความเป็นคนอยู่บ้างไม่ทิ้งเธอไว้ที่นี่หรอกนะ...
ทางด้านชายหนุ่มผู้เลือดเย็นยังคงขับรถด้วยความเร็วสูงเพื่อมุ่งให้ไปถึงจุดหมายโดยไว วันนี้เขาเสียเวลามากกับการต้องจัดการผู้หญิงคนนั้น ไม่อย่างนั้นเขาควรจะมาที่นี่ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว รถเลี้ยวเข้าวัดแห่งหนึ่งตามทางที่ลูกศรชี้บอกจนมาถึงบริเวณที่มีโกศบรรจุเถ้ากระดูกตั้งอยู่เรียงราย
ชายหนุ่มจึงจอดรถเดินกางร่มลงมาตรงไปยังโกศสีขาวที่ตั้งอยู่ริมสุดติดกำแพงทันที รองเท้าสีดำสนิทจอดยืนบริเวณหน้าโกศที่มีรูปหญิงสาวหน้าตาสะสวยผมยาวในชุดสีขาวเพียงครึ่งตัวติดอยู่ สายตาคมดุที่มองณัฏฐนิชเมื่อครู่บัดนี้กลับดูอ่อนโยนยามที่ทอดมองไปยังหญิงสาวในรูป นี่คือสาเหตุที่เขาไม่พาณัฏฐนิชมาที่นี่ ชายหนุ่มไม่อยากให้วิญญาณคนรักต้องขุ่นมัวที่เห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนนั้น แค่นี้ก็ผิดต่อเธอมากแล้ว
“ขิงผมมาแล้วนะ...ขอโทษที่วันนี้ผมมาช้า เผอิญมีธุระจะต้องทำ คุณไม่โกรธผมใช่ไหม” แม้จะไม่ได้รับการตอบรับใดๆ เพราะมันมีเพียงความว่างเปล่า แต่เขาก็ยังส่งยิ้มอบอุ่นไปให้เธอ
“ผมจะมาลาคุณด้วย...คงไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนคุณสักระยะ คุณอยู่ที่นี่ไม่ต้องตามผมไปหรอกนะ ผมอยากให้คุณพักผ่อนไม่อยากให้คิดมาก ขิง...ผมกำลังทำให้คนที่มันทำให้คุณตายได้รับโทษ คุณจะต้องไม่ตายเปล่า ผู้หญิงคนนั้นจะต้องรับผิดชอบ เขาทำให้คุณจากไป ผมก็จะทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น อยากตายก็ตายไม่ได้ อยู่ก็ทรมานยิ่งกว่าคนตายไปแล้ว อีกไม่นานผมจะกลับมา...ผมรักคุณนะขิง”
ชายหนุ่มล่ำลากับหญิงสาวในรูปตรงหน้าแล้วยืนมองเธออยู่อย่างนั้นท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดเม็ด ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับไปที่รถ โดยไม่ได้หันกลับมามองว่าตรงกำแพงที่ติดกับโกศหญิงคนรักนั้น มีผู้หญิงในชุดสีดำสนิทกำลังเดินออกมาจากมุมมืด
เธอแสยะยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนจะหันหลังเดินหายไปพร้อมกับสายฝนที่ตกหนักขึ้น...
อคิราห์ขับรถออกจากวัดด้วยอาการเหม่อลอย แม้จะผ่านมาถึงสามเดือนแล้วแต่จิตใจเขากลับไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ความคิดถึงโหยหาในตัวเพียงอัปสรมีแต่จะเพิ่มเท่าทวีคูน คนรักของเขาเป็นหญิงสาวที่น่าสงสาร เธอสูญเสียทั้งบิดาและมารดาไปนานแล้ว ซ้ำญาติพี่น้องก็ไม่มีต่อสู้ดิ้นรนโดยลำพังมาตลอดจนกระทั่งได้พบกับเขาเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นยังจำได้ดีว่าเขากำลังเลือกซื้อดอกไม้ให้เป็นของขวัญวันแต่งงานเพื่อนคนหนึ่ง และเธอ...เพียงอัปสรก็บังเอิญเป็นเจ้าของร้านดอกไม้แห่งนั้น ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยลโฉม วินาทีแรกที่ได้สบตา เขาตกหลุมรักหญิงสาวโดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ รอยยิ้มหวานรับกับใบหน้าคมจมูกคิ้วคางเธอสวยไปหมดทุกอย่าง ดอกไม้ในร้านแทบจะหาความงดงามไม่ได้เลยเมื่อเทียบกับเธอ ร้านดอกไม้แห่งนั้นจึงมีเขาเป็นขาประจำอยู่หลายเดือน จนในที่สุดเขาก็สามารถพิชิตใจเธอได้
เพียงอัปสรไม่เคยทำตัวเป็นผู้หญิงหิวเงินที่เห็นเขารวยแล้วจะจับตะครุบหวังรวยทางลัด เธอเจียมเนื้อเจียมตัวเสมอ ยังคงทำงานในร้านขายดอกไม้เล็กๆ อยู่เช่นเดิม แม้เขาจะคัดค้านและขอแต่งงานหลายครั้งแต่ก็ได้รับการปฏิเสธทุกครั้งไป เขารู้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะหญิงสาวทราบว่ามารดาเขาไม่ชอบที่เขาคบหากับเธอ ถึงขึ้นเกลียดชังเพียงอัปสรด้วยซ้ำ ทุกทีที่เขาพาไปพบ มารดาเขาจะตีหน้าบึ้งใส่และไม่เคยพูดจาด้วย เขาถาม ชลาพรหลายครั้งก็ไม่เคยได้รับคำตอบ จึงเดาเองว่าคงเป็นเพราะหญิงสาวมีแต่ตัวกระมัง มารดาของเขาจึงได้มีอคติ ทั้งที่ไม่เคยพูดคุยรู้จักนิสัยใจคอเธอด้วยซ้ำ
เขาคิดว่าหากมารดาได้ศึกษานิสัยของเพียงอัปสรบ้างคงจะอดไม่ได้ที่จะหลงรักในความอ่อนโยนอ่อนหวานของเธอ เช่นเดียวกับที่เขาเป็นอยู่ อยากให้ทั้งสองคนได้ใกล้ชิดทำความสนิทกัน เพราะถ้าจะให้เขาเลือกระหว่างคนใดคนหนึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้ระหว่างแม่กับแฟนสาว คนหนึ่งคือชีวิตคนหนึ่งคือหัวใจหากต้องขาดคนใดไปเขาก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน จึงตัดสินใจจะจัดงานแต่งงานกับหญิงสาวอย่างจริงจัง ซึ่งครั้งนี้คนรักของเขาก็ตอบตกลง
แต่เพียงเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับชลาพรเท่านั้นก็ถึงกับทะเลาะกันยกใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็ออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับแฟนสาวที่คอนโดหลายวัน พอกลับมาอีกทีก็พบว่าตัวเองจะต้องเป็นเจ้าบ่าวในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเสียแล้ว ทันทีที่รับรู้ชายหนุ่มโวยวายอาละวาดบ้านแทบเป็นจุณ จนชลาพรถึงกับช็อกต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองคืน พอหมอให้กลับบ้านพักฟื้นเขาจึงจำเป็นต้องใช้ไม้อ่อนอ้อนวอนขอความเห็นใจจากมารดา แต่ผลลัพธ์ที่ได้รับนั้นทำเอาเขาหัวใจแทบหยุดเต้น
มารดาของเขาได้ให้คำขาดว่าถ้าไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่หาให้ก็ไม่ต้องมาเผาศพกัน ให้ลืมไปเสียเลยว่าเคยเป็นแม่เป็นลูกให้ขาดความสัมพันธ์ทุกอย่างนับตั้งแต่นี้ไป...
ถ้อยคำของมารดาบาดลึกไปถึงหัวใจ สิ่งที่นางพูดเขาจะทำได้อย่างไรในเมื่อนางคือแม่บังเกิดเกล้า แต่หากต้องแต่งงานก็เท่ากับเขาต้องเลิกกับเพียงอัปสร เพราะหญิงสาวเองคงไม่ยอมตกเป็นเมียน้อยของใครเหมือนกัน เหตุการณ์ตอนนั้นทำให้เขากลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออกมันอัดอั้น แต่ในที่สุดแล้วเขาก็ต้องเลือกทางเดินที่มารดาเป็นคนกำหนดให้ เพราะไม่อยากเป็นลูกอกตัญญู
อคิราห์นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับแฟนสาว ทันทีที่รู้เพียงอัปสรแค่นั่งร้องไห้นิ่งๆ ไม่พูดไม่จา แต่เขารู้ว่าเธอเจ็บจนพูดไม่ออกต่างหาก เขาเองก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ทั้งสองกอดกันและร้องไห้กันด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ในตอนนั้นชายหนุ่มคงทำได้เพียงสัญญาว่า...ต่อให้เขาต้องแต่งงานหรืออยู่กับผู้หญิงคนอื่นไปชั่วชีวิต แต่ผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวที่จะอยู่ในใจเขาและเป็นคนที่เขารักไปจนชั่วนิรันดร์จะมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น...เพียงอัปสร
และแล้ววันแต่งงานก็มาถึงในอีกเพียงสามวันหลังจากนั้น จิตใจของเจ้าบ่าวไม่ได้จดจ่ออยู่ที่งานแต่งของตัวเองหรือเจ้าสาวแสนสวยที่ใครๆ ต่างปลาบปลื้ม มันกลับโบยบินไปหาหญิงสาวอีกคนที่เปรียบเสมือนลมหายใจของเขาต่างหาก ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นจริงๆ เพราะตั้งแต่วันที่จากกันเขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองใช้อากาศในการหายใจน้อยลงทุกที ในคืนพิธีนั้นเขาเพียรโทร. หาเพียงอัปสรหลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เลย ความร้อนรุ่มเป็นห่วงคนรักทำให้แทบอยากจะยกเลิกงานแต่งงานให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ในขณะที่เขากำลังกังวลสุดขีดเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
แค่เพียงกดรับสาย...วินาทีนั้นเขาก็แทบล้มทั้งยืน เจ้าหน้าที่ตำรวจโทร. มาแจ้งข่าวว่าพบศพผู้เสียชีวิตเป็นหญิงติดอยู่ในซากรถเก๋งคันหนึ่ง เมื่อตรวจสอบหลักฐานก็พบว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อเพียงอัปสร และในโทรศัพท์มือถือของเธอก็มีเบอร์โทร. เข้าออกของเขาเป็นเบอร์สุดท้าย คิดว่าเขาเป็นญาติของผู้ตายจึงโทร. มาแจ้งเพื่อให้ทราบและให้ญาติติดต่อนำหลักฐานไปขอรับศพด้วย
อนิจจา...เพียงอัปสรจากเขาไปแล้ว ชายหนุ่มในชุดเจ้าบ่าวอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง ไม่อายใคร แขกเหรื่อต่างหันมามองและตกใจไปตามๆ กัน แล้วเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอีกครั้งเมื่ออคิราห์วิ่งออกไปข้างนอกงาน ขับรถเจ้าบ่าวออกไปด้วยความเร็วปานพายุ คราวนี้คนทั้งงานต่างหันมามองเจ้าสาวที่หน้าซีดเผือดใกล้ๆ มารดาของเจ้าบ่าว
เป็นอันรู้กันว่างานแต่งนี้...จบลงแล้ว
ชายหนุ่มรีบบึ่งรถไปยังโรงพยาบาลที่ตำรวจบอก ในใจภาวนาให้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ขอให้มันไม่เป็นความจริง ขอให้เธอยังอยู่ ขอให้เธออย่าจากเขาไปเลย แต่แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เข้าข้างเขาสักนิด เมื่อไปถึงโรงพยาบาลพวงมาลัยคล้องคอเจ้าบ่าวถูกดึงขาดกระจุยคว้างทิ้งราวขยะไร้ค่า บุรุษผู้มีแต่ความเสียใจล้นเหลือดิ่งตรงไปยังห้องชันสูตรทันที แล้วสิ่งที่เขาเห็นก็ประจักษ์แก่สายตาว่า ทุกๆ อย่างมันคือความจริง
ร่างไร้วิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งนอนแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่บนเตียงเปล สภาพนั้นแทบดูไม่ได้ว่าเธอเคยมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เลือดสีแดงสดอาบทั่วร่างเนื่องจากยังไม่ได้ทำความสะอาด ใบหน้าเละเทะจนไม่รู้ว่าตรงไหนคือส่วนตา ตรงไหนคือจมูก ตรงไหนคือปาก แต่เขาก็ยังจำได้ดีว่าเธอคือหญิงคนรักของเขาแน่นอน เพราะเสื้อผ้าชุดนั้นที่เธอใส่เขาเป็นคนซื้อให้ นาฬิกาเรือนนั้นก็เป็นของขวัญจากเขา
และ...แหวนแต่งงาน ที่อยู่ตรงนิ้วนางข้างซ้ายเขาเองที่เป็นคนซื้อและสวมให้เธอกับมือ ทุกๆ อย่างเพียงอัปสรเอาติดตัวไป เธอนำทุกสิ่งที่เขาให้ไปด้วยในวันที่ลา
อคิราห์ตรอมใจอย่างหนัก ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องที่คอนโดของคนรัก เมามายไม่รู้วันรู้คืนเหมือนคนบ้า พอตั้งสติได้ชายหนุ่มก็รีบไปที่วัดที่ทำการฌาปนกิจศพเพียงอัปสรทันทีในคืนที่สาม เขาได้อยู่ร่วมงานเพียงคืนเดียวศพเธอก็ทำการเผา เพราะไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนมีเพียงเพื่อนฝูงไม่กี่คนที่มาจัดการเรื่องทุกอย่างให้
นับตั้งแต่วันนั้นมาทุกๆ วันอคิราห์จะต้องไปเยี่ยมเธอที่โกศบรรจุเถ้ากระดูกพร้อมๆ กับช่อดอกไม้และอาหารที่เธอชอบ เขาจะอยู่เป็นเพื่อนเธอจนถึงเย็นจึงจะกลับ บางครั้งเขาก็แวะดื่มเหล้าที่ไนต์คลับ บางทีก็แวะไปนอนที่คอนโด หากมารดาจิกมากๆ เข้าก็กลับบ้านบ้าง งานการทุกอย่างเขาไม่ใส่ใจจะทำโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่มารดาและเลขาส่วนตัวที่พ่วงตำแหน่งบอดี้การ์ดไว้ด้วยอย่างนนท์ธกิจ
วันๆ มีแต่สุราที่คอยเป็นเพื่อน น้ำเมาที่ดื่มเข้าไปหวังให้ลืมความทุกข์ถูกสะสมในร่างกายจนคิดเป็นปริมาณไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อคืนนั่นแหละที่เขาพลาดพลั้งให้กับแผนชั่วๆ ของผู้หญิงแพศยาคนนั้น มันทำให้ความเกลียดชังที่ปกติแทบจะไม่อยากมองหน้าอยู่แล้วเพิ่มเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ณัฏฐนิชจะต้องได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อเอาไว้บ้าง และเขาคงทนรอให้สวรรค์ลงโทษเธอไม่ไหว ความเจ็บปวดเหมือนคนตายทั้งเป็นของเธอต้องเป็นอคิราห์คนนี้เท่านั้นที่มอบให้