เสียงกริ่งนาฬิกาดังกังวานไปทั่วห้อง ปลุกให้กุลนิดาตื่นขึ้นจากการนอนหลับ มือบางกดปิดเสียงแล้วสะบัดความง่วงงุนออกไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวให้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก แล้วเดินไปเปิดประตูห้องของลูกสาวที่อยู่ข้างๆ กัน
กุลนิดาฝึกให้ลูกหมูตัวน้อย เด็กหญิง ‘น้ำอิง’ นอนคนเดียวมาหลายเดือนแล้ว และน้ำอิงก็ไม่งอแง สามารถนอนคนเดียวได้
“น้ำอิงคะ ตื่นได้แล้วค่ะลูก”
“...”
ไม่มีเสียงตอบรับจากลูกสาวตัวน้อยวัยสี่ขวบเศษที่นอนกอดตุ๊กตาหมีตัวโปรด กุลนิดาเดินเข้าไปใกล้ร่างลูกหมูตัวน้อย เห็นน้ำลายไหลยืดเปรอะเปื้อนแก้มใสแล้วย้อยลงไปกับหมอนก็ยิ้มบางๆ
“โถ ลูกสาวแม่ นอนน้ำลายไหลยืดเชียว ตื่นอาบน้ำได้แล้ว”
เด็กหญิงร่างอวบในชุดนอนสีฟ้ายังนอนขี้เซา คนเป็นแม่มีแผนการปลุกในตอนเช้า จึงเขย่าลูกหมูเบาๆ พอให้รู้สึกตัวแล้วกระซิบข้างหู
“ตื่นได้แล้วจ้าน้ำอิง จำได้ไหม ถ้าตื่นอาบน้ำแต่งตัวทัน ไม่ไปโรงเรียนสายเลยแม้แต่ครั้งเดียวในหนึ่งเดือน แม่จะซื้อโพนี่น้อยให้หนึ่งตัว”
น้ำอิงชอบตุ๊กตาโพนี่และมีการ์ตูนเรื่องโปรดคือโดราเอมอน เธอขอสะสมตุ๊กตาม้าโพนี่ผู้เป็นแม่จึงให้หยอดกระปุกเอาไว้ หากเก็บเงินครบเมื่อไหร่ก็จะพาไปซื้อเป็นการฝึกนิสัยอดออม
เท่านั้นลูกหมูแก้มใสค่อยๆ ปรือตาขึ้นส่งยิ้มหวาน “มามี้ขา วันนี้วันเสาร์ไม่ใช่หรือคะ”
เด็กหญิงอ้าปากหาว แต่ดูน่ารัก แก้มใสแดงดั่งมะเขือเทศสุก กุลนิดาเอื้อมมือไปบีบจมูกเล็กๆ แล้วถอนหายใจพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“อย่ามาเจ้าเล่ห์นะคะน้ำอิง เมื่อวานวันอาทิตย์ แล้วเช้านี้เป็นวันจันทร์ค่ะ”
“น้ำอิงไม่ชอบวันจันทร์ ไม่รักวันจันทร์เลย” เด็กหญิงบ่นไปขณะที่คนเป็นแม่พยายามพยุงร่างป้อมๆ ของลูกหมูน้อยให้ลุกขึ้นจากเตียง
โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
เช้าวันจันทร์ที่เร่งรีบ แสงแดดอ่อนๆ ทอลงมาแรงกล้ากว่าที่เคย หลายชีวิตกำลังเร่งรีบมาส่งบุตรหลานที่โรงเรียน
หลังจากส่งน้ำอิงเข้าห้องเรียนแล้ว กุลนิดาก็รีบเดินทางต่อไปยังที่ทำงาน แต่ขณะกำลังเดินอย่างคล่องแคล่วไปตามทางเดินเท้าที่มีหลังคาสีน้ำเงินคลุมกันแดดไว้ตลอดทางเดินระหว่างอาคาร เสียงฝีเท้าหนักๆ ทางด้านหลังดังขึ้นพร้อมทั้งเรียกชื่อ
“กุลครับ รอผมด้วย”
ดวงตากลมโตที่มีแพขนตางอนยาวขยายขึ้นอย่างสงสัย ร่างบางเฉียบในชุดกระโปรงสั้นเหนือเข่ามองดูน่ารักหันขวับเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ
เจ้าของผมยาวสลวยที่วันนี้ปล่อยสยายกระจายเต็มแผ่นหลังมองร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนสีน้ำเงินเข้ม เขาสวมกางเกงสเล็กเนื้อนิ่มสีเข้ม สูงโปร่ง ผิวขาว โดยรวมแล้วค่อนไปทางอาตี๋ เขาชื่อ ‘อาชวิน’
อาชวินคนนี้ตื๊อเก่งเป็นบ้าจนกุลนิดาเริ่มรำคาญ หญิงสาวถอนใจ ยืนรอ หวังว่าวันนี้เขาคงไม่ได้หิ้วขนมมาฝากหรือชวนให้เธอซึ่งกำลังรีบไปแสกนบัตรเข้าทำงานแวะไปจิบกาแฟในร้านกาแฟสดที่เขาเป็นเจ้าของอีกหรอกนะ
ชายหนุ่มเอ่ยเรียกเสียงสั่นเพราะเหนื่อยจากการวิ่งตามมา
“กุลครับ กุล ผมคิดว่าจะไม่ทันแล้ว เล่นเอาผมหอบไปหมด”
อาชวินวิ่งตามกุลนิดาลงมาจากอาคารเรียนชั้นสอง ชายหนุ่มหอบเหนื่อยแต่ส่งยิ้มอย่างกระตือรือร้น เขาเห็นเธอมาส่งน้ำอิงจึงรีบวิ่งลงบันไดอีกฟากของอาคารเรียน เขาเองก็มาส่งลูกชายจึงรีบดันให้เจ้าตัวยุ่งเข้าห้องเรียนไปก่อน จากนั้นก็วิ่งตามเธอมา
น้ำอิงเป็นลูกของกุลนิดา เรียนอยู่ชั้นอนุบาลสองห้องสี่เช่นเดียวกับ ‘น้องพีท’ หรือเด็กชาย ‘อาณัติ’ ลูกชายของเขา
กุลนิดาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่กลุ่มผู้ปกครองคุยกันว่าสามีเธอคงตายไปแล้วเพราะไม่มีใครเคยเห็นส่วนเขาเองก็เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ภรรยาเสียชีวิตไปแล้วจากอุบัติเหตุเรือล่มเมื่อสองปีก่อน
กุลนิดาส่งยิ้มเล็กน้อยให้อาชวิน “ที่แท้ก็พ่อของน้องพีท วิ่งตามกุลมามีอะไรหรือเปล่าคะ”
“คือว่าคุณกุลอ่านไลน์กลุ่มผู้ปกครองวันนี้หรือยังครับ”
กุลนิดายิ้มแห้งๆ แล้วส่ายหน้า “ยังไม่ได้อ่านค่ะ มีอะไรหรือคะ”
ในชีวิตของกุลนิดาจะเว้นว่างจากการอ่านไลน์สักวันก็ทำได้ยาก แต่ละวัน ข้อความในกลุ่มไลน์เด้งขึ้นมาทั้งวัน ตั้งแต่ลูกเข้าเรียนก็ถูกดึงเข้ากลุ่ม ต้องรับรู้เรื่องการบ้าน งานฝีมือ วันหยุดประเพณี อาหารกลางวันวันนี้ของลูก สารพันเรื่องที่ผู้ปกครองหรือครูประจำชั้นจะส่งเข้ามา
ข้อความหลายอย่างเป็นประโยชน์กับลูกและผู้ปกครอง เช่น ข่าวสารจากโรงเรียน การบ้านจากคุณครู บางวันนอกจากสิ่งเหล่านี้ ยังเจอดราม่าผู้ปกครองกับคุณครูเป็นของแถม กุลนิดามักจะหลีกเลี่ยงไม่แสดงความคิดเห็นใด เสพเพียงข่าวสารที่จำเป็นเกี่ยวกับการเรียนของลูกไปเงียบๆ
กุลนิดายักไหล่แล้วยิ้มให้พ่อของเพื่อนลูกสาวเล็กน้อย “เมื่อคืนกุลทำงานดึกค่ะคุณพ่อน้องพีท เช้านี้ยังไม่ได้อ่านไลน์กลุ่มผู้ปกครอง มีข่าวด่วนอะไรเกี่ยวกับเด็กๆ ที่กุลพลาดไปหรือเปล่าคะ”
“มีสิครับ มีเยอะด้วย เอางี้ ผมสรุปให้กุลฟังเลยนะครับ อาทิตย์หน้าจะถึงวันพ่อแล้ว ทางโรงเรียนให้นักเรียนเชิญคุณพ่อมาเพื่อทำกิจกรรม ผมคิดว่าปีนี้คงให้ผู้ปกครองมาชมการแสดง แล้วก็ให้ลูกๆ ของเราเอาพวงมาลัยมากราบพ่อ”
“แล้วยังไงหรือคะ”