“มึงไปอยู่กับกูนะไอ้แสง เดี๋ยวกูจะดูแลมึงเอง”
ภูผาเอ่ยชวนผู้เป็นน้องชายไปอยู่ด้วยกันเมื่อถึงวันที่ต้องออกจากโรงพยาบาลหลังจากที่พักรักษาตัวมาเกือบหนึ่งเดือน
โดยเขาอาสาจะดูแลผู้เป็นน้องชายเองหลังจากที่ตกลงกับพี่น้องคนอื่นๆแล้ว เพราะไม่อยากให้ผู้เป็นพ่อต้องเป็นกังวล
“ไปอยู่กับผมนะครับอาแสง”
โดยมีลูกชายฝาแฝดของเขาชวนกันพูดอีกแรง เพราะท่าทางของรัตติยังคงนิ่งเงียบไม่สนใจใครอยู่เลย แม้จะมีคนยืนอยู่เต็มห้องเพื่อช่วยเหลือเขาตอนกลับออกจากโรงพยาบาลนี้ก็ตาม
“ไม่”
รัตติจ้องมองไปยังทุกคนที่ยืนรายล้อมเขาอยู่ด้วยแววตาที่ค่อนข้างดูเกรี้ยวกราดต่างจากแววตาของรัตติคนเดิมที่เคยใช้มองทุกคน
ก่อนจะตวาดลั่นห้องปฏิเสธการต้องอยู่กับภูผาผู้เป็นพี่ชายใส่หน้าของหลานชายฝาแฝดของตัวเอง
“เด็กๆเราออกไปข้างนอกกันก่อนนะ”
อลิสสาที่ยืนอยู่ภายในห้องพักฟื้นของคนป่วยด้วยรีบพาลูกชายฝาแฝดของเธอที่กำลังตกใจกับคำพูดของรัตติอยู่ออกไปจากห้องทันที
เด็กชายฝาแฝดก็รีบเดินตามแม่ของเขาออกไปอย่างเด็กว่านอนสอนง่าย เพราะเข้าใจดีว่าผู้เป็นอาไม่ค่อยสบาย แต่ก็มีอาการตกใจเล็กน้อยเพราะไม่คาดคิดว่าจะถูกเสียงดังใส่กลับมาแบบนี้
“ไปอยู่ที่ไร่กับกูนะไอ้แสง อากาศก็ดี บรรยากาศก็ดี จะได้ช่วยให้อาการของมึงดีขึ้น”
ภูผาพยายามกล่อมน้องชายของเขาใหม่ เพราะเขาเป็นพี่คนโตสุดอยากจะรับน้องเป็นดูแล
และอีกอย่างที่ไร่ของเขาก็เหมาะกับการที่คนป่วยที่มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจมากๆอย่างรัตติไปอยู่ ด้วยรอบตัวนั้นรายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่น่าจะช่วยบำบัดอาการของรัตติได้
เพราะถ้าเกิดรัตติกลับไปอยู่ที่กรุงเทพ สภาพแวดล้อมมันอาจไม่ดีเท่าที่ไร่ของเขาและอาจทำให้รัตติอาการหนักกว่าเดิมก็เป็นได้
“พวกมึงก็พูดได้ พวกมึงไม่ได้มาพิการเหมือนกู”
รัตติกวาดสายตามองไปที่พี่ๆของเขาทุกคนที่มายืนกันอยู่ครบภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆด้วยแววตาที่มีแต่ความเจ็บช้ำภายในใจ
แล้วก็หันกลับมามองเท้าของตัวเองที่ยังคงพันผ้าก๊อซเอาไว้เต็มข้อเท้านั้น ที่มันแสดงให้เห็นว่าเขาพิการ
เพราะเกือบจะเดือนหนึ่งแล้ว มันยังขยับไม่ได้และถูกพันผ้าก๊อซสีขาวเอาไว้ตลอดเวลาอีกด้วย
“ถ้าไม่อยากอยู่กับไอ้หินก็ไปอยู่เกาะกับกู หรือจะไปอยู่ที่กรุงเทพกับไอ้น้ำมันก็ได้ มึงเลือกได้เลยนะ”
เวฆาเข้ามาช่วยพูดอีกคนเพราะทนเห็นน้องชายเริ่มจมดิ่งกับความรู้สึกที่ต้องกลายเป็นคนพิการไม่ได้
เขาให้ผู้เป็นน้องชายเป็นฝ่ายเลือก ไม่บังคับอะไรไม่เหมือนในครั้งแรกที่มีเพียงตัวเลือกเดียวคือกลับไปที่ไร่กับพี่ชายคนโต
“หรือมึงจะไปอยู่กับกูก็ได้”
พายัพเข้ามาช่วยพูดอีกเสียงเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับรัตติ เพราะทุกๆคนภายในห้องนี้พร้อมที่จะพาน้องชายคนนี้กลับไปดูแล
ขอเพียงแค่รัตติเอ่ยปากมาเท่านั้นเองว่าจะอยากไปอยู่กับใครคนไหน ไม่ใช่แค่กับภูผาเท่านั้น
“กูไม่ไปอยู่กับใครทั้งนั้น กูจะกลับคอนโดของกู”
รัตติเอ่ยปฏิเสธทุกคนเพราะเขาไม่อยากไปเป็นคนพิการให้ใครต้องมาคอยดูแล เขาอยากกลับไปอยู่เพียงลำพัง
ต่อให้ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็ให้ตายไปอย่างไม่ต้องมีใครมายุ่งเกี่ยวในแบบที่เขาต้องการมาตลอดตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาแล้วต้องพบว่าตัวเองเป็นคนพิการ
“ไม่ได้”
เสียงผู้ชายสี่คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายของรัตติพูดประสานเสียงกันออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของรัตติ
ด้วยพวกเขาไม่มีทางยอมให้น้องชายไปอยู่เพียงลำพังโดยไม่มีพี่คนไหนได้ไปดูแลแบบนั้นหรอก
“พวกมึงไม่มีสิทธิ์มายุ่ง ยืนมองอยู่ได้มาเข็นกูไปซิวะ”
รัตติไม่สนใจฟังเสียงคำทัดทานของพี่คนไหนทั้งนั้น เขาหันไปเรียกพยาบาลที่ถูกจ้างให้มาคอยดูแลเขาให้เข้ามาหาเพื่อจะให้เข็นรถเข็นที่เขานั่งอยู่ให้
“ค่ะๆ”
พยาบาลวัยกลางคนที่ถูกว่าจ้างมาให้ดูแลรัตติรีบเดินเข้าไปตามเสียงเรียกในทันทีเพราะไม่อยากให้คนไข้หงุดหงิดไปมากกว่านี้ เพราะเท่าที่รู้ประวัติของคนไข้มาเขาค่อนข้างอารมณ์แปรปรวนง่าย
“พาไปขึ้นรถผม”
ภูผาแอบกระซิบเบาๆกับพยาบาลคนนั้นที่เขาเป็นคนว่าจ้างมาเองอย่างรู้กัน เพื่อพารัตติผู้เป็นน้องชายกลับไปอยู่ด้วยกัน
“มึงแน่ใจนะว่าจะปรามมันได้”
เวฆาเอ่ยถามผู้เป็นพี่ชายอย่างภูผาด้วยแอบหวั่นใจว่าพี่ชายจะตัดสินใจผิดที่บังคับให้รัตติกลับไปด้วยแบบนั้น
เพราะทุกวันนี้เท่าที่มาเจอกันแค่เฝ้าไข้ ยังไม่มีใครคนไหนในบรรดาพี่น้องเข้าหน้ารัตติได้เลยสักคน
“คงไม่อยากเกินความสามารถหรอก”
ภูผาไม่ได้มีความมั่นใจอะไรเลยที่จะทำให้น้องชายสงบและยอมอยู่กับเขาได้ แต่เขาจะใช้ความเป็นพี่ชายเข้าช่วย
และก็หวังว่าพอพารัตติไปถึงที่ไร่แล้ว บรรยากาศที่แสนดีภายในไร่ศีขรินจะช่วยให้รัตติยอมที่จะอยู่กับเขาอีกแรงหนึ่ง
“และแน่ใจนะว่าจะไม่ให้พวกกูตามไป”
ธาราที่ถูกห้ามตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ให้เดินทางไปส่งรัตติที่ไร่ศีขรินเหมือนกับที่คนอื่นๆก็ถูกห้ามเอาไว้เช่นกันเอ่ยถามขึ้น
เพราะถ้าให้เขาเดา แค่รัตติรู้ว่ารถไม่ได้กลับกรุงเทพเหมือนที่รัตติต้องการ ได้อาละวาดหนักแน่ๆ แล้วถ้าไม่มีใครตามไปช่วยภูผาจะควบคุมสถานการณ์ได้ไหม
“ถ้าพวกมึงไป ไอ้แสงอาจจะอาละวาดหนัก เอาไว้อาการไอ้แสงมันดีกว่านี้แล้วค่อยเข้าไปเยี่ยม”
ภูผาที่ต้องการให้การเดินทางไปที่ไร่เป็นเหมือนการไปพักผ่อนจริงๆของรัตติจึงไม่อยากให้ใครตามไป
เพราะถ้ามีคนมากเท่าไหร่เดินทางไปส่ง รัตติก็จะเข้าใจคิดว่าตัวเองเป็นคนป่วย คนพิการขึ้นมาอีก แล้วก็จะอาละวาด
ให้เป็นไปอย่างเงียบที่สุดจะดีกว่า เหมือนทุกครั้งที่รัตติชอบที่จะเดินทางมาพักผ่อนที่ไร่ศีขรินในวันหยุด
“มีอะไรก็รีบโทรมาบอกนะ พวกกูพร้อมเข้าไปช่วย”
ก่อนจะแยกจากกันพี่น้องทั้งสี่คนได้เข้ากอดกันอย่างหลวมๆเพื่อให้กำลังใจกันและกัน เพื่อให้เรื่องของรัตติผ่านไปได้ด้วยดี
“แล้วเจอกันโว้ย”
แล้วภูผาก็รีบแยกตัวไปขึ้นที่มีรัตติกับพยาบาลขึ้นไปนั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว โดยที่เขาได้จัดฉากว่าเขาจะเป็นคนขับรถพารัตติกลับกรุงเทพตามที่ต้องการ
“เฮ้ย”
รัตติที่หลับมาตลอดทางตั้งแต่รถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาลด้วยเขานั้นยังคงต้องกินยาที่มีฤทธิ์กล่อมประสาทอยู่เลยทำให้เขานั้นหลับง่าย
เขาสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมกับส่งเสียงดังราวกับกำลังตกใจอะไรสักอย่างมาจากในความฝันนั้น
“ฝันร้ายเหรอวะ”
ภูผาที่ทำหน้าที่ขับรถอยู่ด้านหน้าเหลือบสายตาขึ้นมองกระจกมองหลังทันทีเพื่อมองดูว่าผู้เป็นน้องชายเป็นอะไร
และก็พอเดาออกในทันทีเพราะเห็นอาการของรัตติเป็นแบบนี้บ่อยๆตอนนอนหลับสนิทมากๆ รัตตินั้นมักจะสะดุ้งตื่นอยู่ตลอดเพราะยังคงฝันร้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“มึงจะพากูไปไหน”
รัตติไม่ตอบคำถามแต่กลับมองไปรอบๆตัวเพื่อจะดูว่าตัวเองนั้นหลับไปนานแค่ไหน จนเดินทางไปถึงไหนแล้ว
และแทนที่เขาจะพบกับเส้นทางที่มันเจริญๆเหมือนอย่างที่คิดไว้ รอบตัวเขากลับมีแต่ป่าเหมือนทางไปไร่ศีขรินไม่มีผิด
“กลับบ้านไร่กันไง”
ภูผาขับรถไปคุยไปเพื่อไม่ให้เสียเวลาเพราะอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็จะเดินทางถึงบ้านไร่แล้ว
“กูไม่ไป”
รัตติเริ่มโวยวายเสียงดังลั่นรถเมื่อจุดหมายปลายทางที่รถกำลังวิ่งไปนั้นไม่ใช่อย่างที่เขาต้องการ
พร้อมกับแววตาก็ฉายแววความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาด้วยราวกับมีดวงไฟลุกขึ้นในดวงตาคมของเขา
“มึงยังอยู่คนเดียวไม่ได้ รักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วค่อยกลับนะ”
ภูผาพยายามเกลี้ยกล่อมน้องชายของเขาอย่างไม่มีทางหมดความพยายามใดๆ เพราะเขาคือพี่ชายที่มีหน้าที่ดูแลน้องชายคนนี้ให้ดีที่สุด
“ยังไงก็ไม่หาย มันไม่มีวันเดินได้อีกแล้วมึงเข้าใจไหม”
มือหนาของรัตติเริ่มหยิบจับข้าวของบนรถเหวี่ยงไปทั่วเท่าที่ทำได้ และพอไม่มีข้าวของใกล้มือเขาให้เหวี่ยงเขาก็เริ่มทำร้ายตัวเอง
จนพยาบาลต้องรีบเข้ามาจับมือหนาของเขาเอาไว้เพื่อให้เขาหยุดที่จะทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีก
“มึงใจเย็นๆก่อน กลับไปที่ไร่กันก่อนแล้วถ้ามึงไม่ชอบจริงๆกูจะเป็นคนไปส่งมึงกลับกรุงเทพเอง”
ภูพาต้องรีบเลี้ยวรถเข้าข้างทางเพื่อดูอาการของน้องชายไม่ให้อาละวาดไปมากกว่านี้ ด้วยรัตติยังไม่แข็งแรงดีและถ้าทำร้ายตัวเองอีกเขาเกรงว่ารัตติอาจจะต้องกลับไปนอนที่โรงพยาบาลอีก
“งั้นมึงลงไปจากรถ กูไล่มึงออก”
เมื่อทำอะไรไม่ได้รัตติก็หันมาหาเรื่องกับพยาบาลที่เพิ่งรับเข้ามาทำงานวันแรกแทน
“ไอ้แสง มึงจะไล่คุณพยาบาลเขาแบบนั้นไม่ได้นะ”
ภูผาถึงกับส่ายหน้าห้ามปรามน้องชายที่กำลังทำเกินไปถึงขั้นไล่คนที่เพิ่งจะรับเข้ามาทำงานยังไม่ถึงวันออกเพราะความเอาแต่ใจ
“ถ้าอีนี่ไป กูไม่ไป”
รัตติยังคงยืนยันที่จะไล่พยาบาลส่วนตัวของเขาออก เขาทุกข์ก็ต้องมีคนทุกข์เหมือนเขา
เริ่มจากคนที่น่าจะมีความสุขเพราะได้เงินก้อนโตที่ยอมมาดูแลคนพิการอย่างเขาก่อนเป็นคนแรก
“เออๆได้ๆ”
ภูผาจำต้องเชิญพยาบาลพิเศษของน้องชายลงจากรถ และโทรให้รถของภรรยาที่ขับตามแวะรับพยาบาลคนนี้ไปด้วย
“ขอโทษด้วยนะครับ”
เขาแอบจ่ายเงินก้อนโตไปอีกด้วยเพื่อเป็นการขอโทษที่ต้องมาทิ้งผู้หญิงอย่างพยาบาลคนนี้เอาไว้กลางทางแบบนี้
“เร็วๆสิวะ มึงจะกลับไหมไร่ของมึงนะไอ้หิน”
รัตติยิ้มเยาะอย่างมีความสุขที่เห็นว่ามีคนกำลังทุกข์ใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาอย่างพยาบาลคนนั้น
และก็เร่งพี่ชายของตัวเองให้กลับมาขึ้นรถ เพื่อจะทิ้งพยาบาลผู้น่าสงสารคนนั้นเอาไว้ที่ข้างทางแบบนั้น
“เออๆไปแล้ว”
ภูผาจำต้องกลับมาขึ้นรถด้วยความรวดเร็วและรีบขับรถออกไป โดยที่ใจก็ยังหวงที่ต้องทิ้งพยาบาลที่เป็นผู้หญิงเอาไว้กลางทางแบบนั้น
แต่ถ้าเขาเลือกที่จะรอจนกว่ารถของภรรยาเขาจะตามมาทัน รัตติก็ต้องอาละวาดอีกแน่นอน
เขาต้องกลับไปเป็นคนใจดำอีกครั้ง หลังจากที่เป็นคนดีของภรรยามานานหลายปีนับตั้งแต่แต่งงานกับเธอมา