ห้าปีก่อน... เขาพบเธอครั้งแรกท่ามกลางสายฝน เขากำลังอยู่ในระหว่างการสำรวจพื้นที่ในการสร้างรีสอร์ตแห่งใหม่ จึงอาศัยช่วงเวลาว่างขับรถไปด้วยตนเอง ไม่คิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุรถเสียหลักตกข้างทาง โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง แต่รถเสียสตาร์ทไม่ติด ฝนก็ตกมาพร้อมพายุลมแรงต้นไม้ข้างทางหักโค่นปิดเส้นทางสัญจร ชาวบ้านในพื้นที่ได้เข้ามาช่วยเขาไว้ โดยมีผู้นำคือหญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่ง เธอพาเขามาพักที่บ้านของเธอ
“คุณพักที่นี่ก่อนนะคะ พรุ่งนี้ฝนหยุดฉันจะให้คนไปดูรถของคุณให้”
หญิงสาวหาเสื้อผ้าใหม่มาให้เขาเปลี่ยน นำข้าวต้มมาให้รับประทานด้วยพร้อมกับยาแก้ไข้
“ขอบคุณคุณมากครับ คุณเอ่อ... คุณชื่ออะไรครับ ผมจะได้เรียกถูก”
เขามองหน้าอ่อนใสนั้นพลางเอ่ยถามชื่อ คะเนอายุของเธอในใจว่าคงจะเป็นสาวน้อยอายุไม่เกินยี่สิบ
“ฉันชื่อ...”
ไม่ทันที่เธอจะบอกชื่อของเธอ เสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้น พร้อมกับไฟฟ้าได้ดับวูบลงไป ร่างเล็กนั้นผวาเข้ามาหาเขาด้วยความตกใจ ชายหนุ่มลืมตัว รวบกอดเธอไว้ ท่ามกลางความมืดและเสียงฟ้าฝน สองหนุ่มสาวหัวใจเต้นแรงก่อนจะผละออกจากกันอย่างขัดเขิน
“เดี๋ยวฉันหาเทียนมาจุดก่อนนะคะ”
เธอรีบควานหาเทียนในลิ้นชักมาจุดให้แสงสว่าง ใบหน้างามดูอ่อนละมุนตาในแสงเทียน ชวนให้คนเห็นรู้สึกเคลิ้มไหว หัวใจมีบางอย่างก่อเกิดขึ้นมา
เช้าวันใหม่เขาตื่นขึ้นมา และได้พบเธออีก เธอมาบอกข่าวว่ารถของเขายังหาคนซ่อมให้ไม่ได้ และที่สำคัญทางถูกน้ำป่าตัดขาดต้องรอซ่อมทางหลายวัน เขาต้องพักที่บ้านเธอ จนกว่าจะซ่อมทางเสร็จ ช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์นั้น เป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่เขาไม่เคยลืม
“เดี๋ยวคุณก็ไปแล้ว เราคงไม่ได้พบกันอีก ฉันเองก็ต้องกลับไปเรียนต่อ ถ้าเรามีวาสนาได้พบกันอีกครั้ง ฉันจะบอกชื่อของฉันให้คุณรู้”
เธอไม่ยอมบอกเขาว่าชื่ออะไร ตัวเขาเองเธอก็ไม่ถามชื่อ ดังนั้นทั้งสองคนจึงตกลงจะเรียกกันว่าพี่ชายกับยายตัวเล็กหลังจากนั้นเมื่อทางซ่อมเสร็จปู่ของเขาก็ส่งคนมารับเขากลับ
“ยายตัวเล็ก พี่ชายหวังว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง พี่ฝากแหวนไว้ก่อนนะ จะได้ไม่ลืมพี่”
เวลาได้ผ่านไปร่วมสามปี และเขาก็ได้พบกับเธออีกครั้ง ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเพื่อนร่วมรุ่น เจ้าของงานเรียนจบที่เดียวกับเขา มีนิสัยชอบความสนุกสนาน จึงได้จัดงานในทีมหน้ากากแฟนซี ให้คนมาร่วมงานสวมหน้ากาก
“สาวๆ ในงานนี้ นอกจากเมียฉันแล้วทุกคนยังไม่มีแฟน แกสนคนไหนจีบได้เลย”
มารุตกระซิบบอกกับเพื่อนรัก บุ้ยบ้ายให้ดูสาวๆ ในงาน
“ปิดหน้าปิดตาแบบนั้น ฉันไม่รู้หรอกว่าใครสวย”
จิณณ์ส่ายหน้าเขาไม่คิดจะจีบใคร เมื่อหัวใจมีคนคนหนึ่งอยู่แล้ว
“เดี๋ยวฉันแนะนำให้ คนชุดสีขาวคนนั้น เรียนที่เดียวกับน้องสาวฉัน นิสัยดีน่ารักเชียวแหละ เสียดายฉันมีเมียแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันไม่แนะนำให้แกหรอก”
มารุตชี้ให้ดูหญิงสาวในชุดเดรสสีขาว จิณณ์มองตามก่อนจะนิ่งงัน เมื่อเห็นริมฝีปากบางของเธอช่างคุ้นตา เขาเหมือนคนถูกมนตร์สะกด ลุกขึ้นเดินตรงไปหาเธอ
ดวงตากลมภายใต้หน้ากากมองหน้าเขา ไม่ทันจะได้พูดอะไรกัน มือหนาของจิณณ์ ก็ดึงหน้ากากออกจากใบหน้าของเธอ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้างามนั้นชัดเจน
“ยายตัวเล็ก...”
“เอ๊ะ คุณมาถอดหน้ากากเพื่อนฉันทำไม ยายอรถอยมา ระวังคนโรคจิตนะ”
เพื่อนของเธอผลักเขาออกห่าง ดึงแขนหญิงสาวให้ถอยออกมายืนด้านหลัง กำลังจะชี้นิ้วด่า มารุตก็มาสงบศึกก่อน เพื่อนของเขารีบแนะนำให้สองสาวรู้จักเขา
“ใจเย็นๆ ก่อนยายรุ่ง คนกันเองทั้งนั้น นี่นายจิณณ์เพื่อนพี่เอง จิณณ์นี่ยายรุ่งกับเพื่อนชื่ออรนิภา”
“สวัสดีครับ ผมชื่อจิณณ์”
จิณณ์ยิ้มให้ยายตัวเล็กของเขา ในที่สุดเขาก็ได้พบเธอเสียที
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออรนิภาค่ะ”
เธอสบตาเขาก่อนจะหลบตาอย่างขัดเขิน ทำให้คนเห็นรู้สึกเอ็นดู สามปีแล้วนับจากการพบกันครั้งนั้น เธอคงตื่นเต้นไม่แพ้เขาถึงได้ไม่กล้าสบตา เขาให้สัญญากับตัวเองว่า จะทำให้เธอกลับมาเป็นยายตัวเล็กคนเดิม
จิณณ์หลุดจากภวังค์ความทรงจำ เขาถอนหายใจออกเมื่อพบว่าตัวเอง ลุกจากที่นอนมายืนตรงหน้าภาพเขียน มือหนายกขึ้นมาแตะภาพนั้น แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้น จนเขาต้องยกแขนขึ้นบัง และความมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้น เมื่อหญิงสาวในภาพได้ส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะก้าวเดินออกมา เธอคลี่ยิ้มละมุนตา ขณะพาตัวเองเดินออกไปจากห้อง
“น้องอร... รอพี่ก่อน อย่าไป รอพี่ก่อน...”
จิณณ์วิ่งตามร่างของยอดดวงใจ เขาไม่ยอมปล่อยให้เธอไปอีกแล้ว ไม่มีวันพรากจากเธออีกแล้ว...
“พี่จิณณ์คะ อรรักพี่...”
อรนิภายืนรอเขาที่ชั้นล่าง จิณณ์รีบลงบันไดมาหา กำลังจะสวมกอดร่างนั้นก็จางหายไป แล้วมาปรากฏอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มรีบผวาตามก่อนจะล้มลงเมื่อรวบร่างนั้นมากอดไว้เต็มอ้อมแขน ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงแหลมเล็กกรีดร้องดังข้างหู
“กรี๊ดดดด ปล่อยนะ ช่วยด้วย!”
จิณณ์รีบปล่อยร่างนุ่มนิ่มนั้นทันที มองไปรอบๆ ก่อนจะสะบัดศีรษะไปมา
“เธอเป็นใคร!”
เขาหันมามองหญิงสาวที่เพิ่งถูกเขาปล่อยออกจากอ้อมแขน แสงสลัวของไฟสนามสาดเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
เสียงของนางนิ่มดังขึ้น ร่างค่อนข้างอวบเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นเจ้านายยืนอยู่กลางห้องและมีคนงานคนใหม่ยืนอยู่ด้วยก็ถอนหายใจแรง
“คุณจิณณ์ละเมออีกแล้วหรือคะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
นางนิ่มเข้ามาสำรวจร่างสูงใหญ่ของเจ้านาย คืนนี้จิณณ์นอนละเมอเดินลงมาจากห้องอีกแล้ว เขามักจะละเมอแบบนี้ยามที่เหนื่อยมากๆ หรือเครียดจัด นางทำงานที่นี่มาสองปี ได้รู้นิสัยนี้ของเจ้านาย จนต้องคอยมาสำรวจในตอนกลางคืนบ่อยๆ ยังไม่ทันจะบอกเรื่องนี้กับอิงดาว ก็มาเจอด้วยตัวเองเสียก่อน
“ไม่เป็นไร ฉันจะกลับไปนอนแล้ว ขอโทษด้วยนะ”
จิณณ์ส่ายหน้า แล้วหันไปขอโทษคนงานคนใหม่ ก่อนจะเดินกลับขึ้นชั้นบน
“คุณจิณณ์เขาละเมอหรือคะป้า”
อิงดาวมองตามร่างสูงใหญ่ของจิณณ์ แล้วหันมาถามนางนิ่ม อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
“ใช่ ป้าทำงานที่นี่มาสองปี เจอคุณจิณณ์ละเมอแบบนี้บ่อยๆ ต้องคอยมาตรวจดู กลับห้องเถอะดึกแล้ว”
นางนิ่มดึงแขนอิงดาวให้เดินกลับห้อง หญิงสาวหันไปมองอย่างระแวง
“แล้วคืนนี้เขาจะละเมออีกไหมคะป้า”
“คุณจิณณ์คงไม่ละเมออีกรอบหรอก พอรู้ตัวคงระวังล็อกห้องแล้วล่ะ ไปนอนเถอะไม่ต้องกลัวนะ”
นางนิ่มมาส่งอิงดาวที่ห้องก็ขอตัวกลับห้องตัวเอง อิงดาวนอนคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น เงาลางของใบหน้าคมนั้น ทำให้เธอขมวดคิ้ว
“หลานชายเจ้าสัวชอบนอนละเมอเดินไปทั่ว แปลกพิลึก คงไม่ละเมอมาบีบคอใครตายหรอกนะ”
เธอกระหายน้ำเลยลุกไปหาน้ำในครัวมาดื่ม หลังจากนั้นได้ยินเสียงคนพูดอะไร ก็เลยเดินตามเสียงมา แล้วก็โดนจิณณ์รวบกอดไว้ อารามตกใจหญิงสาวเลยกรีดร้องแล้วทุบเขาไปหลายที ป่านนี้จะรู้ตัวหรือยังว่าโดนตี หวังว่าคงไม่เขียวช้ำหรอกนะ ริมฝีปากบางยิ้มกว้างเมื่อคิดถึงตรงนี้
“คืนนี้รีบนอนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาแอบดูหน้าหลานชายเจ้าสัว ว่าจะหล่อสักแค่ไหน”
อิงดาวหลับตาลง พาตัวเองให้เข้าสู่ห้วงนิทรา พรุ่งนี้เธอจะต้องได้เห็นหน้าหลานชายของเจ้าสัวเจียงให้ได้