เพื่อนเที่ยว

1781 คำ
ผมออกมานอกร้านเดินตามหาไอ้ไนท์อย่างกับคนบ้า บางทีก็คิดนะว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมต้องออกมาตามหาไอ้ไนท์ ทำไมต้องอยากเจอมันทั้งๆ ที่ผมกับมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย ถ้าไม่นับเรื่องที่มีสัมพันธ์กันบนเตียง ผมกับไอ้ไนท์ก็ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าเลย ผมเดินหามันจนทั่วแต่ไม่เจอจนผมถอดใจจะเดินกลับไปที่ร้าน จังหวะที่หันหลังกลับดันเหลือบไปเห็นมันเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่อยู่ถนนฝั่งตรงข้ามเข้าพอดี ใจผมชื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รีบข้ามถนนไปอีกฝั่งอย่างไม่รีรอ “ไนท์!” ผมตะโกนเรียกมันที่กำลังจะเปิดประตูขึ้นรถที่จอดรออยู่ข้างถนน ไอ้ไนท์หันมามองก่อนจะทำหน้าแปลกใจที่เห็นผม “ตะวัน?” ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ามัน มองรถคันที่มันกำลังจะขึ้นด้วยสายตาข้องใจ “มึงจะไปไหน แล้วนั่นรถใคร” “หืม” ไนท์มองผมเหมือนไม่เข้าใจที่ผมพูด ตอนนั้นกระจกรถก็เลื่อนเปิดพร้อมกับเสียงคนในรถตะโกนออกมาจากฝั่งคนขับ “มีอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่ขึ้นรถ” เสียงผู้ชาย… ผมขมวดคิ้วก่อนจะเดินมาเปิดประตูดูหน้าคนข้างในท่ามกลางสายตาตกตะลึงพรึงเพริดของไอ้ไนท์ “ทำอะไรของมึงตะวัน” ไอ้ไนท์มองผมอย่างตกใจ ไม่คิดว่าผมจะทำอะไรไร้มารยาทแบบนี้ “หืม” ผู้ชายในรถหันมามองพลางเลิกคิ้วอย่างสงสัย เป็นผู้ชายในชุดสูทคนเดียวกับที่เห็นในร้านเหล้าก่อนหน้านี้ “มีอะไรกัน” ผู้ชายที่ดูแล้วน่าจะอายุสามสิบบวกเปิดประตูลงจากรถ มองผมกับไอ้ไนท์สลับกันไปมาอย่างต้องการคำอธิบาย สีหน้ามึนตึง บอกให้รู้ว่ากำลังไม่พอใจ “บังเอิญเจอน้องที่รู้จักน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เราไปกันเถอะ” “งั้นเหรอ” ผู้ชายคนนั้นมองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะกลับขึ้นรถไป ไอ้ไนท์กำลังจะตามลุงคนนั้นขึ้นรถ ผมจับข้อมือห้ามมันเอาไว้โดยไม่ปล่อยไปง่ายๆ “มีอะไร” ไนท์มันมองหน้าผมด้วยสายตานิ่งๆ ใบหน้าไร้อารมณ์จนผมเดาไม่ออกว่ามันคิดอะไรอยู่ “มึงจะไปไหน” “ไม่เกี่ยวกับมึง หลบไป อย่ามาวุ่นวายตอนนี้” คำพูดมันทำผมฉุนกึก ไม่พอใจที่มันหาว่าผมวุ่นวาย แล้วไหนจะสายตาผลักไสที่มันมองผมอีก ยิ่งมันทำเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมยิ่งทำให้ผมโมโห ถึงความจริงผมกับมันจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ ก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ช่วยไว้หน้ากันหน่อยสิ ไม่ใช่เจอหน้ากันแล้วก็มีแต่ไล่กับไล่แบบนี้ “วุ่นวายเหรอ พูดซะเหมือนกูเป็นคนอื่น แล้วลุงคนนั้นเป็นใคร ทำไมมึงต้องขึ้นรถไปกับเขาตอนนี้ด้วย” ผมยิงคำถามที่กำลังสงสัยใส่ไอ้ไนท์เป็นชุด มันจ้องผมนิ่ง กำลังจะพูดอะไรสักอย่างออกมา เสียงเรียกชื่อผมก็ดังมาจากด้านหลัง “วัน!” ใครมาเรียกตอนนี้วะ ผมหันกลับไปมองก็เห็นแพรที่กำลังเร่งเดินมาทางนี้ ตอนนั้นเองไอ้ไนท์ก็ชิ่งขึ้นรถโดยไม่บอกกล่าวแล้วรถก็วิ่งออกไปทันที “เฮ้ย!” ผมมองตามท้ายรถคันนั้นไปอย่างไม่สบอารมณ์ ลอบสบถอยู่ในใจไม่ให้คนที่เพิ่งมาถึงได้ยิน “แพร มีอะไร ออกมาทำไม” ผมมองหน้าแพรอย่างสงสัย ในน้ำเสียงที่ความคุกรุ่นจางๆ “แพรตามวันมาน่ะ เมื่อกี้… ใช่คนที่เคยไปกินข้าวที่ร้านหรือเปล่า แล้วมีเรื่องอะไรกันเหรอ” “ไม่มีอะไร ไม่ต้องสนใจหรอก ว่าแต่แพรตามผมมาทำไมเหรอ” “อ้อ ก็วันบอกจะไปห้องน้ำใช่ไหม แพรแค่จะตามมาบอกว่าห้องน้ำไม่ได้อยู่ทางนี้ แต่คลาดสายตากับวันที่หน้าร้านน่ะ เดินหาไปหามาก็มาเจอวันที่นี่แหละ” แพรพูดพลางหลบตาผม แก้มสะท้อนกับไฟสลัวตอนกลางคืนซับสีเลือดจางๆ ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์เหล้าหรืออะไรกันแน่ ฟังที่แพรพูดแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้เพราะข้ออ้างไม่คิดของผมทำให้แพรต้องลำบากไปด้วย “โทษที ทำให้เหนื่อยเลย” “อื้อ ไม่เป็นไร ได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกก็ดีเหมือนกัน” แพรยิ้มจริงใจ ผมเกาหัวแกรกมองรอยยิ้มสดใสของแพรอย่างไม่รู้จะรับมือยังไงดี สุดท้ายก็ชวนกันเดินกลับไปที่ร้าน “ตกลงจะเข้าห้องน้ำไหม” แพรถามก่อนจะถึงร้าน “อืม” ผมพยักหน้า เข้าห้องน้ำสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน “ถ้าวันไม่อยากเข้าห้องน้ำที่ร้าน ไปเข้าห้องแพรก็ได้นะ อยู่ใกล้ๆ นี่เอง” ผมชะงักไปครู่หนึ่ง เหลือบมองแพรด้วยสายตาเย้าแหย่ “นี่ล้อเล่นหรือเปล่า” “ฮ่าๆ พูดเล่นแหละ ไม่ต้องใส่ใจหรอก ห้องน้ำอยู่ในร้านทางขวามือน่ะ” แพรพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เดินนำหน้าผมไป ถึงตัวผมจะกลับมาที่โต๊ะแต่ใจดันลอยไปกับรถที่ไอ้ไนท์นั่งไป ปกติเวลาสังสรรค์ผมจะไม่เล่นโทรศัพท์เว้นแต่จะมีธุระ แต่ครั้งนี้ผมทนไม่จับโทรศัพท์ไม่ได้จริงๆ กดไล่ดูไทม์ไลน์ไอ้ไนท์แต่กลับไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลย แม่ง ไปไหนมาไหนไม่เคยจะโพสต์หรืออัปเดตอะไรในโซเชียลเลย แบบนี้ส่องไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี ผมสลัดอารมณ์ค้างคาออกจากใจ พยายามลืมเรื่องไอ้ไนท์ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ลบภาพมันออกจากหัวไม่ได้ หลังจากแยกกับทุกคนที่ร้าน ระหว่างทางขับรถกลับหอพัก ผมกดโทรหาไอ้ไนท์… ตอนกดโทรไม่ทันคิด แต่พอสัญญาณรอสายดังหัวใจกลับเต้นแรง ตื่นเต้นไม่รู้จะพูดอะไรกับมันดี แต่… สุดท้ายผมก็ตื่นเต้นเก้อ หลังจากโทรไปสามสายแล้วไอ้ไนท์ไม่รับ เชี่ยเอ๊ย ไม่มีกำลังใจจะโทรต่อแล้วล่ะ ผมสบถทั้งท้อแท้ทั้งโมโห แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมแพ้ ไม่คิดจะโทรไปอีก เพราะแค่นี้ก็รู้สึกเสียหน้าจะแย่แล้ว เกือบตีหนึ่ง ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ กำลังจะปิดไฟนอน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ใครมันโทรมาตอนนี้วะ คนจะหลับจะนอน ตอนแรกคิดว่าเป็นเพื่อน ไม่ก็รุ่นพี่โทรมาชวนไปกินเหล้า แต่พอเห็นชื่อคนโทรมาเท่านั้นแหละ ใจผมก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ “ฮะโหล” [โทรมาหรือเปล่า] เสียงราบเรียบของไอ้ไนท์ดังขึ้น นอกจากเสียงพูดแล้วยังมีเสียงเพลงแทรกเข้ามา บอกให้รู้ว่ามันยังอยู่ข้างนอก ผมสูดหายใจลึก ข่มความรู้สึกลิงโลดเอาไว้แล้วพูดตอบปลายสายเสียงเนือยๆ ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน “อืม กูโทรไป” [มีอะไร] “ก่อนหน้านี้กูลืมถามเรื่องค่าเสียหาย ไม่เห็นมึงส่งบิลล์มาเก็บสักที เดี๋ยวกูโอนรวมค่าเหล้าไปด้วย” [บอกแล้วไงว่าไม่ต้อง มึงไม่จำเป็นต้องจ่าย] “ไม่จ่ายได้ไง ส่งมาเถอะ ไม่งั้นกูไม่สบายใจ” [ก็ได้… เดี๋ยวกูให้ผู้จัดการเคลียร์บัญชีแล้วจะส่งยอดไปให้ แค่นี้ใช่ไหม] “เฮ้ยเดี๋ยว” ผมเรียกก่อนที่มันจะวาง อะไรจะรีบตัดบทกันขนาดนี้วะ ผมคิดอย่างตัดพ้อ “แล้วนั่นมึงอยู่ไหน ทำไมมีเสียงเพลง” [อยู่ที่ร้าน] งั้นก็แสดงว่ามันไม่ได้อยู่กับผู้ชายใส่สูทคนนั้นน่ะสิ แต่ยืนยันเพื่อความแน่ใจก่อนดีกว่า “แล้วลุงคนนั้นล่ะ” [ลุง? ใครวะ] “ก็คนที่มึงขึ้นรถไปด้วยไง” [อุบ… ลุงเหรอ] ไอ้ไนท์เหมือนจะหลุดขำ แต่ครู่สั้นๆ มันก็ปรับโทนเสียงกลับมาเป็นปกติ [เป็นญาติมึงเหรอ ถึงเรียกเขาว่าลุงน่ะ] “ไม่ใช่ญาติ แค่ดูมีอายุ ก็เลยเรียกแบบให้เกียรติ ไม่ดีตรงไหน” [อืม] ไอ้ไนท์มันทำเสียงลอดลำคอกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเป็นผมที่คันปากยุบยิบ พูดไม่หยุด “สรุปตอนนี้มึงอยู่ร้าน? ลุงคนนั้นไม่อยู่ด้วยเหรอ เห็นขึ้นรถไปด้วยกัน” [ไม่ได้อยู่ มาส่งกูที่ร้านก็กลับไปแล้ว] “แล้ว… ลุงนั่นเป็นอะไรกับมึง” ผมเอ่ยถามด้วยความรู้สึกลังเล ใจหนึ่งก็อยากรู้แต่อีกใจก็ไม่อยาก แบบว่าลุงนั่นจะเป็นอะไรกับมันแล้วเกี่ยวอะไรกับผม [ถามทำไม สนใจด้วยเหรอ] “ก็แค่ถามดู… ทำไม ถามไม่ได้เหรอ” ปลายสายเงียบครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา [เพื่อนเที่ยวน่ะ เจอกันที่บาร์เกย์ไม่กี่วันก่อน] ผมชะงัก คำว่าบาร์เกย์เตือนสติผมให้ไม่ลืมว่าไอ้ไนท์เป็นอะไร มีรสนิยมทางเพศยังไง ทันทีที่ผมตระหนักถึงความจริงข้อนี้ก็รู้สึกไม่สนิทใจที่จะคุยกับมันต่อ ถึงผมจะมีอะไรกับมันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ถ้าให้พูดตรงๆ แล้วผมก็ยังขี้ขลาด ไม่มีความกล้าพอที่จะเปิดใจยอมรับเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ผมกระอักกระอ่วนใจก็จริง แต่จะวางสายดื้อๆ ก็รู้สึกแปลกๆ พูดออกไปแบบส่งๆ “เจอกันไม่ทันไรก็ไปด้วยกันแล้วเหรอ” เสียงผมแข็งโดยไม่รู้ตัว [แค่เพื่อนเที่ยวชั่วครั้งชั่วคราว คิดอะไรมาก] ปลายสายตอบแบบไม่ใส่ใจ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกโกรธทั้งที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะตะขิดตะขวงใจที่คุยกับมันไป “ทำไมมึงพูดเหมือนคนมักง่ายแบบนี้วะ” [แค่เพื่อนเที่ยว จริงจังทำไม] “เที่ยวอย่างเดียว หรือว่านอนด้วย” [ก็มีบ้าง] “แบบที่มึงทำกับกูน่ะเหรอ” […] ไอ้สัส เงียบ… คุยไปคุยมาผมดันโมโหเฉยเลย “มึงแม่งน่าขยะแขยงว่ะ” ผมกดวางสายทันทีที่พูดจบ หลังจากนั้นก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมาหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่บนเตียงเป็นชั่วโมงกว่าจะหลับได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม