คนถูกทายอุปนิสัยออกมาได้ถูกต้องตรงเผงๆ นั่งตัวแข็งทื่อเพราะคนรู้นิสัยของเธอนอกจากคนในครอบครัวและกรวรรณผู้เป็นเพื่อนสนิทแล้วแทบไม่มี แค่อีกฝ่ายจับมือเธอแล้วนั่งหลับตาเนี่ยนะ รู้ถึงเพียงนี้...
“ชีวิตของหนูที่ผ่านมาแม้จะเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น สุขสบาย ร่ำรวยเหลือล้น แต่ตัวเองกลับชอบทำตัวซอมซ่อติดดิน เก็บงำประกายมิดชิด”
คำพูดดังกล่าวทำให้ขวัญชีวาหันขวับไปมองหน้าเพื่อนเขม็งจนคนถูกมองรีบส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงบอกว่า ‘ฉันไม่ได้บอก ไม่เกี่ยวกับฉัน อาจารย์รู้ด้วยจิตสัมผัสเอง’
จากนั้นคำพูดหลายสิ่งหลายอย่างที่ออกมาจากปากของผู้ถูกเรียกว่าหยั่งรู้อนาคตก็ทำเอาคนถูกทำนายฟังแล้วตกอยู่ในอาการประหลาดใจ เพราะล้วนตรงกับตัวเธอทั้งสิ้นจนอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร ความไม่เชื่อถือที่เคยเกิดขึ้นเริ่มคลอนแคลน กระทั่งมาถึงประโยคสุดท้าย
“โชคชะตาหรือจะเรียกว่าพรหมลิขิตกำลังจะเกิดขึ้นกับหนูในไม่ช้านี้”
“สิ่งที่อาจารย์พูดออกมาหมายถึงอะไรหรือคะ” หญิงสาวเพิ่งจะหาเสียงตัวเองพบหลังจากเป็นฝ่ายฟังเพียงอย่างเดียวมาตลอด
“บางสิ่งบางอย่างเป็นลิขิตของฟ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอาจเอื้อมเอามาพูดได้ จงจำไว้เถอะว่าต่อไปนี้หนูจะต้องพบกับสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิต ส่วนจะเป็นอะไรให้รอดูต่อไป อาจารย์บอกได้แค่นี้แหละ แล้วดวงของหนูแข็งมาก ใครที่มีจิตคิดทำร้ายมักจะแพ้ภัยตนเอง ตอนนี้อาจารย์คงต้องขอตัวก่อน”
“แล้วค่าดูล่ะคะ”
ดวงหน้างามสมวัยของอาจารย์จันทร์ทิพย์ยิ้มนุ่มนวล “ไม่ต้องหรอก อาจารย์ดูให้ฟรี”
“ขอบพระคุณค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูกับเพื่อนขอตัวลาก่อนนะคะ”
หญิงวัยกลางคนมองตามหลังหญิงสาวสองคนที่เดินออกไปจากประตู โดยเฉพาะเจ้าของร่างสูงระหงที่เดินรั้งท้ายด้วยสายตาคมกริบ กว่าจะขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเปิดดวงต้องใช้เวลาไม่ใช่น้อย นับเป็นคนแรกที่เรียกเหงื่อให้เกิดบนใบหน้าได้
“เป็นไงล่ะ ทีนี้แกเชื่อหรือยังว่าอาจารย์น่ะดูแม่นขนาดไหน” กรวรรณเอ่ยถามขึ้นหลังจากผู้เป็นเพื่อนพารถแล่นออกมาจากซอยสู่ถนนใหญ่แล้ว
“แกบอกเรื่องของฉันให้อาจารย์รู้ล่วงหน้าหรือเปล่าล่ะยายนก” ขวัญชีวาย้อนถามอย่างกังขาโดยไม่ได้ตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ
“เปล่านะ ฉันไม่ได้พูด” กรวรรณส่ายหน้าก่อนจะอธิบาย “ครั้งก่อนตอนที่อาจารย์ทำนายว่าฉันจะเสียญาติผู้ใหญ่ก็จับมือฉันแล้วหลับตาแบบนี้แหละ อาจารย์พูดถึงขนาดนี้แล้วแกยังไม่เชื่ออีกหรือนังหนูวา”
ขวัญชีวานิ่งเงียบ ใช่ว่าเธอจะไม่เชื่อ แต่ไม่อยากพูดให้อีกฝ่ายได้ใจต่างหาก
“ฉันอยากรู้นักว่าที่อาจารย์พูดว่าโชคชะตาหรือพรหมลิขิตนั่นหมายถึงอะไร เอ..หรือจะหมายถึงเนื้อคู่ของแก” คนพูดพูดด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม
“แกไม่ต้องมาเดาเลยยายนก” ขวัญชีวาใช่ว่าจะไม่อยากรู้ความหมาย แต่เรื่องอะไรจะให้ผู้เป็นเพื่อนรู้ล่ะว่าตัวเธอก็อยากรู้เช่นกัน “แล้วแกจะไปไหนอีก ถ้าไม่ไปฉันจะได้ไปส่งแกที่คอนโดฯ แล้วจะได้กลับบ้าน”
“ฉันจะไปตัดผม แกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
ขวัญชีวามองผมของเพื่อนแล้วส่ายหน้า “ผมแกหยิกๆ แบบนี้ก็สวยดีอยู่แล้วจะไปตัดทำไม”
“เอ้อ...”
คนถูกชวนมองท่าทีอึกอักของคนชวนแล้วก็ผุดยิ้มที่มุมปากอย่างรู้เท่าทัน “ที่แกจะไปร้านทำผมเนี่ยไม่ได้เพื่อตัดเอง แต่จะพาฉันไปตัด”
การนิ่งเงียบพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ คือคำตอบ
“ใช่ไหม” คนถามถามย้ำ
“ใช่” กรวรรณยอมรับแต่โดยดี “แกลืมหรือไงว่าตัวเองเป็นคนสวย ผมแกทำให้มันเป็นรูปทรงหน่อยไม่ใช่ปล่อยสะเปะสะปะแบบนี้ คิ้วของแกก็หัดกันออกซะบ้าง มันเยอะเกิน จมูกก็โด่งจนน่าอิจฉา หรือแกจะปล่อยให้ความสวยของแกเสียของร่วงโรยไปตามกาลเวลา บอกตรงๆ ว่าฉันเสียดายแทน”
คนถูกหาว่าสวยเสียของนั่งนิ่งๆ ไปครู่ใหญ่แล้วพูดออกมายิ้มๆ ว่า “แกก็รู้ว่าคนอย่างฉันต่อให้พูดชักแม่น้ำสารพัดสายมาโน้มน้าว ถ้าไม่อยากทำแกคิดว่าจะทำอะไรฉันได้ ยกเว้นเมื่อกี้ที่แกมัดมือชกฉัน”
“แกพูดอย่างนี้หมายความว่าแกจะทำหรือหนูวา” กรวรรณพูดน้ำเสียงตื่นเต้น
“ที่ผ่านมาฉันแค่อยากลองพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้น อยากรู้ว่าถ้าไม่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าทันสมัย ใช้กระเป๋าราคาแพงลิบ ใช้โทรศัพท์ยี่ห้อดัง จะมีใครสนใจอยากมาเป็นเพื่อนไหม” คนพูดพูดน้ำเสียงเข้มนัยน์ตาวาวจ้า “การทำงานที่นี่แค่ปีกว่าๆ ทำให้ฉันรู้ว่าคนสมัยนี้ส่วนใหญ่คบกันที่ภาพลักษณ์มากกว่าตัวตนที่แท้จริง”
“มันก็จริงของแก” กรวรรณพยักหน้าเห็นด้วย “พนักงานที่นี่เป็นอย่างที่แกว่าจริงๆ บางคนใช้กระเป๋าใบละหลายหมื่นแต่มีเงินในกระเป๋าไม่เท่าไหร่ แต่เดี๋ยวแกก็จะลาออกจากที่นี่แล้วนี่นา เลิกพูดถึงได้แล้ว ตอนนี้เราไปเพิ่มความสวยกันดีกว่า ร้านที่ฉันจะพาแกไปเป็นร้านเสริมสวยครบวงจรเลยละหนูวา”