องก์ที่ ๔

3906 คำ
ผมนั่งคิดอยู่ว่าจะจัดการกับนังเด็กสตอเบอร์รี่นี่ยังไงดี ถ้าให้เดินเข้าไปกระชากผมหน้าผากมันที่ปรกหน้าแล้วตบคงไม่ใช่ผมหรอกนะ ผมไม่อยากไประรานใครก่อน เพราะถ้าทำแบบนั้นมันเป็นนางร้ายในละครเกินไป และมันก็ง่ายไปอีกอย่างผมไม่จำเป็นต้องลงมือเองหรอก แต่ผมจะทำให้มันเจ็บจนลืมไม่ลงทีเดียว ผมนั่งฟังพวกมันคุยกันอยู่สักพักก็ไป มีเด็กอีกคนที่น่าสนใจ ต้อม อยากรู้จักเขาเป็นใคร นังเด็กนั่นถึงเอ่ยชื่ออยู่ไม่ขาดปาก คิดขึ้นมาแล้วก็อดสมเพชไอ้เรย์ไม่ได้ ผมขับรถกลับตรงไปยังคลินิกเพื่อทำหน้า ตกลงปลงใจซื้อคอร์สทำหน้าใสหน้าเด้ง แวะร้านขายยาอีกซื้อวิตามินพวกทำให้ใสวิ้งทั้งหลายแหล่ งานนี้หมดตังค์ไปเยอะเหมือนกัน แต่ผมไม่ยอมหรอกนะจะให้เด็กรุ่นลูกมาด่าว่าแก่ คอยดูนะ คอยดู ผมได้แต่คำรามในใจยังคิดอยู่ว่าทำยังไงถึงจะเข้าใกล้เด็กพวกนี้ กลุ่มเด็กมัธยมมันคงไม่ชอบคนมีอายุเท่าผมหรอกจริงไหม ต้องหาข้อมูลให้ได้เยอะกว่านี้ ผมไม่ยอมให้อภัยมันง่ายๆหรอกนะ ต่อจากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมจะไม่มีทางใจอ่อน บอกแล้วว่าอย่าให้ร้าย "อะไรนะ ทำแบบนี้มันเกินไปนะแก แล้วไอ้เรย์มันว่าไง" พออีป้ากลับจากทำงานผมก็เล่าเรื่องที่นังเด็กนั่นให้เพื่อนมันโทรศัพท์มาด่าผม มันก็โกรธนะ ผมว่าใครได้ยินก็ต้องรู้สึกแบบนี้ "จะว่าอะไร มันก็โทรมาด่าฉันสิแก มันหาว่าฉันไปราวีเด็กมัน" "ต๊าย หูหนวกตาบอดไปแล้วเหรอไอ้เรย์ นี่เด็กมันแก่แดดแก่ลมขนาดนี้เชียวเหรอ ตอนแรกฉันก็ไม่สนับสนุนให้แกเอาคืนมันหรอกนะ แต่ปล่อยไว้แบบนี้มันก็ได้ใจสิ" "นั่นสิแก แต่จะทำยังไงล่ะถึงจะได้เข้าใกล้มัน เด็กมัธยมนะ ฉันไม่รู้จะเริ่มยังไง" "ไม่เห็นยาก แกลองเข้าเน็ทดูสิ เด็กมัธยมก็คน มีหลายแบบ มานี่ ดูเว็บนี้" อีป้าเดินไปที่โต๊ะคอมฯมันเปิดเว็บที่บอกว่าตัวเองเป็นเว็บเกย์หาเพื่อน ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ผมไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยว่ามีเว็บแบบนี้อยู่ด้วย "แกสร้างเอ็มขึ้นมาเฉพาะกิจนะนาย แล้วก็ไปเลือกแอดเอาเป้าหมาย" อีป้าแนะนำ ผมนั่งลงสมัครสมาชิกเอ็มเอสเอ็นขึ้นใหม่ "ตาย อะไรอ่ะหมู่ตี๋มัธยมชายล้วน" ผมหันไปถามอีป้าที่ยืนคอยเป็นพี่เลี้ยงอยู่ใกล้ๆ "ก็เด็กมันหาคนไปหมู่กันไงแก แต่มันเลือกเฉพาะเด็กรุ่นเดียวกับมัน" "หา เด็กมัธยมเนี่ยนะรู้จักเซ็กส์หมู่" "มันยังน้อยไป แกเลื่อนลงไปดูเรื่อยๆ นี่อันนี้เด็ด ไฮ ม ปลายเท่านั้นฟิวส์ผัวเมีย" "อ๊ะ อย่าบอกนะว่า" "ใช่มันอัพยา เป็นไงล่ะ รู้จักน้อยไป สมัยนี้นะแกไม่ใช่สมัยเราเรียน ยุคสมัยมันเลี่ยนไปแล้ว" "แล้วคนนี้ล่ะแก หาผู้ใหญ่ใจดี" ผมเริ่มรู้สึกสนุกกับการอ่านข้อความที่เขาโพสต์ลงในเน็ท "ก็หาคนเลี้ยงไง" "แล้วแกว่าเด็กมันจะมาคุยกับฉันเหรอแก แล้วข้อมูลก็ยังไม่รู้เลยว่าอะไรยังไง" "อ้าว แล้วแกไม่รู้เหรอว่ามันเรียนที่ไหน" "พอรู้ เพราะเครื่องแบบสีนั้นมีอยู่ไม่กี่ที่หรอก น่าจะไม่ผิดที่ แต่โรงเรียนมันก็ใหญ่นะแก" "แล้วไง ใหญ่ก็ใช่ว่าจะหาตัวไม่เจอ ว่าแต่แกพอเข้าใกล้มันได้แล้วแกจะจัดการยังไงกับมัน" ผมไม่ตอบแต่ฉายรอยยิ้มออกมา "ยังไม่รู้ แต่มันต้องเข็ดไปจนวันตาย" "เออๆ ทำอะไรก็อย่าให้รุนแรงไปล่ะแก เดี๋ยวเด็กมันเสียอนาคต" "นั่นล่ะที่ต้องการ เล่นกับฉันเองนี่ ฉันปล่อยมันไปแล้วนะ คิดจะมางัดข้อกับฉันเหรอ ได้ จัดไป" อีป้าทำหน้าเหมือนหวาดๆ แต่ผมก็นั่งเล่นเอ็มต่อไม่สนใจ ที่จริงผมไม่ได้แอดใคร แอดมาก็ไม่อยากคุย ไม่รู้สิไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี "แล้วถ้ามันไม่ตรงเป้าหมายล่ะแก จะหาใครล่ะ เด็กพวกนี้โพสต์แรงๆกันทั้งนั้น รับไม่ได้ว่ะสังคมมันถึงได้เสื่อมแบบนี้ไง" ผมหันไปถามอีป้าที่พออ่านข้อความที่เขาโพสต์มาก็วิจารณ์ต่างๆนานา "แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของเขานะแกที่จะโพสต์อะไรก็ได้ และมันก็เป็นสิทธิ์ของเราที่จะวิจารณ์อะไรก็ได้เหมือนกัน แกก็ลองโพสต์ดูดิ" "หือ ยังไง” "ก็โพสต์ข้อความที่ต้องการ ระบุกลุ่มเป้าหมายไปเลย บางคนมันมาแอดเฉยๆก็มีนะ มันไม่ได้โพสต์" อีป้ามันก็คิดคำที่จะโพสต์ให้อีกตามเคย "หาเด็กมัธยมชายล้วนโรงเรียน... ที่อยากคุยกับพี่ใจดี" "อ้าวโพสต์แบบนี้ก็เหมือนหาเด็กเลี้ยงสิแก คนที่เข้ามามันก็หวังแต่ผลประโยชน์ดิ" "แหมแก แล้วเด็กที่ไหนมันจะเข้ามาถ้าแกไม่ทุ่มล่ะ ต้องเลือกเอานะ ว่าจะหาเด็กที่ไม่ต้องการผลประโยชน์ซึ่งฉันคิดว่ามีน้อยมาก หรือถ้ามีมันก็คงไม่เล่นเว็บแบบนี้ กับการที่จู่โจมตรงกลุ่มเป้าหมายแต่ต้องแลกด้วยเงิน แกเลือกเอา" มันพูดให้คิด ผมนั่งนิ่งตรึกตรองอยู่ อืม มันคงจะต้องเป็นแบบนั้นสินะ พอโพสต์ข้อความลงไปแล้วไปเข้าเมล์ตัวเองเพื่อยืนยัน ไม่นานก็มีคนมาแอด "มาล่ะ ไหนลองดูซิ"  อีป้าเองที่ดึงผมออกจากเก้าอี้ มันเป็นคนจัดการเอง ผมได้แต่ลุกออกมายืนมองอยู่ห่างๆ "ว้าย อีเด็กเวร หน้าตายังกะปลากะโห้ ดูหนังหน้ามัน" อีป้าร้องออกมาแล้วหัวเราะ "บ้า น้องเค้าอาจจะถ่ายรูปไม่ขึ้นก็ได้นะแก "บล็อกค่า จบ" "อ้าว ยังไม่ถึงไหนกันเลย" "เสียเวลา ผีปอป บอกหาเด็กมัธยม แต่เรียนพานิชย์แกจะคุยไหมล่ะ" "อ้าว แล้วเขาแอดแล้วไม่อ่านเหรอวะแก" "หน้ามืดไง อีพวกนี้ เดี๋ยวเถอะแม่จะด่าให้เละเลย" สรุปกลายเป็นการระบายอารมณ์ออกของมันแทนที่จะช่วยอะไรได้ ผมคงต้องคิดแผนใหม่ ที่จริงมันก็ไม่ยากหรอกนะกับการที่จะเข้าให้ถึงตัวเด็กมัธยมอย่างนังเด็ก นั่น ผมคิดเอาไว้ในใจแล้ว ตอนนี้ขอไปนอนพักให้หน้าอิ่มๆก่อน กินยาวิตามินทั้งหลายทั้งปวงให้ร่างกายมันสดใส แล้วตื่นมาค่อยหาทางไป วันทำงานแต่ผมกลับอารมณ์เสียตั้งแต่ตอนออกจากคอนโดฯ เพราะรถมันติดแหง็กอยู่ในซอยอ่อนนุชอยู่เลยไม่ไปไหน จะ ๘ โมงครึ่งอยู่แล้วเข้างาน ๙ โมงคิดว่าจะทันไหมเนี่ย ผมเริ่มหงุดหงิด "ติดอะไรวะ" อีป้ามันก็ติดรถมาด้วย แต่มันดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลย "แหมฉันบอกแล้วแก ซอยนี้อ่ะตอนเช้าถ้าแกออกมาช้ากว่า ๗ โมงก็ทำใจเถอะ" "บ้าเหรอ ใครจะแหกออกมาตั้งแต่ยังไม่ ๗ โมงแก ฉันไม่ใช่พนักงานดีเด่นขนาดนั้นนะ" "ก็ทำใจค่า ไหนมีเพลงอะไรฟัง เครียดไปก็เท่านั้น" นั่นสินะ แต่จะไม่ให้เครียดก็คงไม่ได้ เพราะมันไม่ขยับเลยจริงๆนะ โอ๊ย อยากจะออกไปกรี๊ดใส่ จะไปไหนกันคุ๊ณ อีป้ามันก็เลือกเพลงแล้วเสียบเข้าไปในที่เล่นซีดี "ฟังป้ามาลัยดีกว่า จะได้หอนแต่เช้า" "อย่าได้ไหม ขอร้อง ยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ ฟังอะไรที่มันเย็นๆได้ไหมแก" "อะไรล่ะเย็นๆของแก ต๊าย ก็คุณนายมีแต่วิทนีย์ มารายห์ ซีลีน คริสติน่า" "ดอนน่า ซัมเมอร์" ผมบอกไปแต่สายตายังเหมือนจิกกัดอยู่กับภาพเบื้องหน้า "ค่าเย็นมาก มิกซ์ฟอร์เกย์คลับเนี่ยนะ จัดไป" มันก็นะ นี่ล่ะมั้งผมถึงรักเพื่อนคนนี้มากกว่าใคร เพราะมันเหมือนรู้ว่าควรพูด ควรทำอะไรเวลาไหน หรือเพราะว่ามันแก่กว่าผม คนแก่กว่ามีแต่ข้อดีถ้าเขาทำตัวให้มีประโยชน์ มีข้อคิดให้เราเวลาที่เราจนหนทางสมองทึบคิดไม่ออก แต่แล้วทำไมนังเด็กนั่น ฮึ่มคิดขึ้นมาก็เม้มปากแน่น "สายแล้วล่ะแก โทรฯไปบอก จอยดีกว่า" ผมเอ่ยขึ้นเพราะเพิ่งจะหลุดออกมาจากปากซอยออ่อนนุช จอยคือแผนกบุคคลที่ทำงานของผม ธรรมดาผมจะเข้าสายบ้างก็ไม่มีใครว่านะเพราะด้วยตำแหน่ง ที่จริงผมทำงานโดยอิงเวลาของการเข้ามาที่ทำงานของอีตา เอ็ดเวิร์ด แต่วันนี้มีประชุมนี่สิ ได้แต่กรี๊ดในใจ โดนสับแน่ๆ นายเอ๊ย รู้ไหมเพื่อนที่ทำงานผมก็มีอยู่หลากหลายประเภทนะ ส่วนมากเป็นผู้หญิงดีกรีนี่ก็ไม่น้อยหน้ากันเลย จบมาจากฝั่งโน้นกันเกือบทั้งนั้น ผมไม่ได้อยากอวดอ้างสรพพคุณของตัวเองนะว่าคนที่จบจากเมืองนอกจะต้องดีเด่ กว่าคนที่จบในเมืองไทย เพราะจากผลการทำงานผมว่าบางคนจบที่นี่ยังทำงานได้ดีกว่าพวกที่ได้ใบประกาศนียบัตรมาจากเมืองนอกเสียอีก อย่างนังคริส ที่จริงชื่อตามบัตรประชาชนมันชื่อ กริช แต่เอาเถอะไม่ว่ากัน นางก็เป็นเกย์เหมือนกันนี่ล่ะ แต่นางจบมาจากฝั่งอังกฤษ เป็นเลขาเหมือนกันแต่หัวหน้ามันเป็นผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อ ส่วนอีตาเอ็ดเวิร์ดนั่งตำแหน่ง ผู้จัดการทั่วไป ถือว่าผมใหญ่กว่าถ้านับตามนาย นังนี่ทำงานไม่เป็นเอาเสียเลย มาวันแรกๆก็ไม่ถูกชะตากันเสียแล้วทั้ งที่เป็นเกย์ด้วยกันแทนที่จะรักใคร่กลมเกลียวกันนะ ไม่เลย อย่าได้เผลอเชียวนังนี่มันแทงหลังอย่างเดียว แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่มีเพื่อนที่สนิทนะในที่ทำงาน เอสเป็นเพื่อนในแผนกทำบัญชี จบในเมืองไทยนี่ล่ะแต่มันได้เกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยที่ดังที่สุดของที่ นี่ เอสเป็นคนน่ารักมากพูดจาอ่อนหวานคอยให้คำปรึกษาตลอดเวลา เรื่องเลิกกันกับไอ้เรย์ก็มีเอสกับจอยที่รู้ "เร็วเลยนาย เขาเข้าห้องประชุมกันหมดแล้ว" เอสมายืนคอยที่หน้าลิฟท์ ผมก็นะคว้าเอกสารในมือของเอสแล้ววิ่งร้อยเมตร พอเคาะประตูเปิดเข้าไป อีตาเอ็ดเวิร์ดก็มองตาเขียว "ลูกน้องยูนี่ตรงเวลานะเอ็ด" นังคริสครับ กัดเลย ผมไม่โต้ตอบหรอกรีบไปนั่งข้างๆนายตัวเอง "ดีนะที่การประชุมยังไม่เริ่ม" นายหันมากระซิบยิ้มให้ แต่รู้เลยครับว่าผมโดนมันด่าแน่ๆ ส่วนนังคริสฝากไว้ก่อนเถอะแก การประชุมก็เป็นเรื่องการอนุมัติวงเงินให้กับลูกค้ารายใหม่ ลูกค้าของธนาคารต่างชาติที่ผมทำอยู่นี้ส่วนมากเป็นเจ้าของกิจการทั้งนั้น เป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย การประชุมดำเนินอยู่ไม่นานก็เสร็จ "เกิดอะไรขึ้นนาย ยูไม่เคยมาสายนี่" นายผมเปิดประเด็น "ขอโทษนะบอส พอดีเพิ่งย้ายที่อยู่ เลยกะเวลาออกจากบ้านไม่ถูก" ผมตอบไป ไม่รู้ะแก้ตัวว่าอะไรดี ก็มันเป็นอย่างนี้จริงๆ "อืม คราวหลังอย่ามีเรื่องแบบนี้อีก" เออ รู้แล้ว แหมนะไม่ต้องมาย้ำมากนักหรอก ปกติเป็นคนมีความรับผิดชอบสูงอยู่แล้ว "เอสๆ เราถามหน่อยสิ ถ้าเราอยากรู้จักเด็กมัธยมโรงเรียน...อ่ะทำไง" ผมถามเอสตอนพักกลางวันเราเดินออกมาหาอะไรกินด้วยกัน "ทำไมล่ะนาย ถึงอยากจะรู้จักเด็กมัธยม จะเลี้ยงเด็กเหรอ" "ต๊าย คุณนายจะกินเด็กเหรอจ๊ะ แค่แฟนทิ้งเปลี่ยนแนวขนาดนี้เชียว" "ขอร้องล่ะจอย อย่าเรียกว่าคุณนายได้ไหม เราไม่ใช่คุณนาย นายชื่อเราที่แปลว่าเก้าน่ะ" ผมไม่ชอบจริงๆนะเวลามันเรียกว่าคุณนาย เพราะมันไม่ได้เรียกธรรมดานะมันเน้นเสียงคำว่าคุณนี่น่ะสิ "จ้า คุณนาย เอ้ย อีตานาย" ดูมันนะ ผมไม่เอานิยายอะไรกับมันหรอกรู้ว่าแค่แหย่ๆกันเล่น "อยากรู้จักน่ะ พอดีอยากเปลี่ยนแนวบ้าง เห็นเขาบอกกินเด็กนี่มันดีไม่ใช่เหรอ" ผมหันไปยิ้มให้เอส เพราะรู้ว่ามันก็เลี้ยงเด็กมัธยมอยู่เหมือนกัน "บ้านาย เด็กยังไงมันก็เด็ก" "แต่เด็กก็ทำให้ผู้ใหญ่บางคนหน้าแดง" "ว้าย หมายถึงใครเนี่ย" "เร็วบอกหน่อยว่าเราควรทำยังไง" "แล้วนายชอบแบบไหนล่ะ" "เราอยากรู้จักนักฟุตบอลทีมโรงเรียนอะไรงี้อ่ะ พอรู้จักไหม" "ที่โรงเรียนนี้น่ะเหรอ อืมเดี๋ยวเราถามน้องให้" หึหึ โลกมันไม่ได้กว้างอย่างที่คิดหรอกนะ ในที่สุด ผมก็เริ่มมองเห็นหนทางที่จะเข้าใกล้นังเด็กปากตลาดนั่นแล้ว "ทำไมแกไม่ลองไปแถวโรบินสันบางรักล่ะแก ตอนเย็นๆเด็กนักเรียนตรึม" จอยเสนอ ผมหันไปมองทันที "มีเด็กโรงเรียนนี้ด้วยเหรอ" "แหมก็โรงเรียนนั้นมันอยู่ละแวกนั้นเนอะแก อะไรเนี่ยคนกรุงหรือเปล่ายะหล่อน" นังจอยมันเหน็บ แต่ผมไม่สนใจหรอก ยิ้มออกมา นั่นสินะ สรุปผมก็ได้ข้อมูลเพิ่มมาอีกแล้ว ส่วนเรื่องน้องคนที่นังเด็กนั่นเอ่ยถึงผมต้องใช้เด็กของเอสมันช่วยอีกแรง เพราะเด็กของเอสเองก็เรียนโรงเรียนเดียวกัน โลกกลมดีแท้ ดี จะได้ง่ายๆขึ้นมาหน่อย พอเลิกงานตอนสี่โมงเย็นผมก็ขับรถตรงไปยังโรบินสันบางรักทันที "ไม่เห็นมีอะไรเลย มีแม็คฯที่เดียว" ผมบ่นก่อนจะเลี้ยวรถขึ้นไปหาที่จอดบนตึก เพราะดูจากสภาพตึกแล้วไม่เห็นมีอะไรที่น่าดึงดูดใจเลยคงต้องลองๆเดินดูก่อน ผมเดินเข้าห้างไป แต่ห้างนี้ก็เก่าเต็มทีแล้วเดินอยู่ไม่ทันไรก็เห็นกลุ่มเด็กนักเรียนเกาะ กลุ่มกันเดินสวนมา หลายกลุ่มทีเดียว "เชี่ยแบงค์ น้องวิวน่ะสวยจะตายทำไมไม่เอาวะ" เด็กกลุ่มที่อยู่ด้านหลังผมเอ่ยขึ้น "เอาห่าไร อีวิวโบ๋แล้วมั้งได้ข่าวว่าไอ้ต้อมก็ได้แล้วนี่" ต้อมเหรอ คุ้นๆ ผมหันขวับทันที เด็กที่เดินตามหลังผมมีอยู่สามคน สวมกางเกงนักเรียนแต่เสื้อเป็นเสื้อออกม่วงๆ เสื้อบอลนั่นล่ะครับ ตัวมันสูงใหญ่เกือบเท่าๆกันท่าทางคงเป็นนักกีฬา ผมพยายามมองแล้วเดาว่าใครกันชื่อต้อม "ได้ไม่กี่ครั้งเองมึง ของมันยังดีอยู่นะ" อ้อ ไอ้เด็กคนนี้นี่เอง ผิวขาวหน้าตาดีมากทีเดียว ผมยิ้มออกมาแล้วเดินหลบให้เด็กทั้งสามเดินนำไปก่อน โชคดีจริงๆนายเอ๊ย ไม่ต้องพึ่งแล้วคนอื่นพึ่งตัวเองนี่ล่ะดีที่สุด เด็กสามคนเดินลงไปยังร้านแมคโดนัลแล้วเหมือนสั่งไอติมมานั่งกิน ผมเองก็เดินไปสั่งน้ำมาแก้วหนึ่งไม่คิดอยากจะกินอะไรในนี้ บอกตามตรงเอียนตั้งแต่อยู่ที่โน่นแล้ว "เรามาเริ่มกันเลยนะ แกจะได้รู้ฤทธิ์ฉันซะทีนังเด็กปากเสีย" ผมนึกไปถึงสีหน้าแววตาของเด็กคนนั้น ที่มันแสยะยิ้มใส่ผมแถมยังโทรฯมาให้เพื่อนมันด่าผมอีก ผมถือถาดใส่แก้วน้ำเดินไปใกล้ๆเด็กสามคนนั้น "อุ๊ย" "เฮ้ย เชี่ยเอ้ย" ผมแกล้งทำเป็นสะดุดแล้วสาดแก้วน้ำใส่เสื้อเป้าหมาย แต่ฟังจากที่มันสบถออกมาแล้วอยากจะตบหัวมันสักที เพราะน้ำอัดลมในแก้วสาดใส่มันจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว "อุ๊ย ขอโทษครับน้อง ตายจริงพี่นี่ซุ่มซ่ามจริงเชียว ขอโทษนะครับ เปียกเลยอ่ะ ทำไงดี" ผมปรี่เข้าประชิดตัวแล้วเอากระดาษที่เตรียมมาทำท่าซับน้ำให้มัน มันกระเถิบออก แหมอยากจะโดนตัวแกตายล่ะ ดัดจริตสะดีดสะดิ้ง "พี่เดินยังไงเนี่ย ผมต้องไปซ้อมบอลต่อนะ เปียกเลย เชี่ยเอ้ย" "พี่ขอโทษนะครับน้อง พี่ไม่ทันระวัง เดี๋ยวพี่เอาเสื้อไปซักให้นะครับ" ผมสตอไปงั้นล่ะครับ มันเป็นแผนที่ผมมั่นใจว่ามันจะพูดอะไรต่อไป "ไม่ต้องอ่ะพี่  โว้ย ซวยจริงๆ" ยอมมันไปก่อนครับ ผมต้องอดทน นี่ถ้าไม่มีแผนอะไรนะจะด่าเช็ดไปแล้วเด็กอะไร แสดงว่าคำว่าขอโทษนี่มันไม่ซึมเข้ากะโหลมันเลยหรือไงนะ "เอ่อ งั้นนี่ค่าซักผ้านะครับน้อง พี่ขอโทษจริงๆ เราเอาเบอร์พี่ไปนะ เผื่อมีอะไรให้พี่ช่วยโทรฯมาได้เลยนะครับ พี่รู้สึกผิดจริงๆนะ" ผมควักเงินแบงค์พันสองใบยัดใส่มือมัน พอจะเรียนรู้ว่าไม่มีมนุษย์คนไหนจะปฏิเสธอำนาจของเงิน แม้จะมีบ้างแต่คงไม่ใช่เด็กคนนี้แน่นอน ผมไม่ได้ประเมินเขาต่ำไปนะ แต่ผมเองก็ไม่มีเวลาหรือทางให้เลือกมากนัก ผมหยิบเอาโทรศัพท์รุ่นล่าสุดของแบรนด์แอ๊ปเปิ้ลออกมายื่นให้มัน "เรามีเบอร์ไหม เอ๊ะ เอานามบัตรพี่ไปดีกว่านะ ให้พี่เอาไปซักให้ไหมครับน้อง" ผมยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ มันต้องสนใจผมเท่านั้น และผมก็คิดไว้ไม่ผิดสายตาที่เด็กมันมองวัตถุในมือของผมประกายตาเหล่านั้นผม เคยเห็นจากใครคนหนึ่งที่มันเพิ่งจะเขี่ยผมทิ้งไปนั่นเอง "เอ่อ ไม่เอาหรอกพี่แค่เสื้อเปื้อนเอง" มันทำท่าเป็นคนดีขึ้นมา ขอโทษนะน้องพี่ก็ไม่ได้ว่าน้องเป็นคนไม่ดีหรอกนะ แต่พี่จำเป็นปกติก็ไม่เคยซื้อใครอยู่แล้ว เว้นเสียแต่เขาจะขอ อย่างไอ้เรย์ "ไม่เป็นไรครับน้อง ถือว่าเป็นค่าซักเสื้อพี่ไม่ระวังเอง เห็นไหมน้องเลยเปื้อนเลย จะไปซ้อมกีฬาได้ไหมครับ พี่รู้สึกผิดจริงๆนะ" เรื่องตีสีหน้านี่ก็นะผมก็ว่าตัวเองไม่น้อยหน้าใครอยู่แล้ว ชักสีหน้าให้มันเห็นว่าผมเสียใจจริงๆ "เอ่อ" "รับไปเถอะครับน้อง อ้อ พี่ชื่อนายนะ มีอะไรโทรฯหาพี่ได้ตลอดนะ เรามีโทรศัพท์ไหม เอาเบอร์พี่ไปนะครับ" มันทำท่าลังเลแล้วหันไปมองหน้าเพื่อนๆ "พี่อยากจะขอโทษน่ะครับน้อง พี่ไม่ได้มีจุดประสงค์หรือตั้งใจจะทำให้เราเปื้อนนะ ถ้าเรามีอะไรให้พี่ช่วยก็โทรฯมานะครับ" ผมขี้เกียจจะแสดงละครแล้วเลยยื่นนามบัตรให้มัน สังเกตเห็นสีหน้าแววตาเวลามันอ่านนามบัตรของผมแล้วหันไปมองหน้ากัน ต่อจากนี้ก็คงต้องรอสินะ มั่นใจแล้วว่าเหยื่อติดเบ็ด ผมเดินไปซื้อน้ำแก้วใหม่แล้วเดินไปนั่งอยู่ห่างๆ "พี่ครับ ผมไม่เอาหรอกครับเงินน่ะ ขอบคุณมาก แต่แค่เสื้อเปื้อนเอง" มันเดินมาหาแล้วยื่นเงินในมือคืนให้ "น้องครับ ไม่เป็นไรครับ เงินแค่นี้เอง พี่ทำให้เราเปื้อนนะ พี่รู้สึกผิดจริงๆ รับไปเถอะครับ เอาไปเป็นค่าซักเสื้อ" "โหพี่มันเยอะไปอ่ะครับ ซักเสื้อแค่นี้เอง" "อ้าวเหรอ พี่ไม่รู้นี่ครับ พี่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก แต่พี่ว่ามันน้อยไปนะ เราอยากได้เพิ่มไหมล่ะ" ขอโทษตัวเองที่ทำแบบนี้ ปกติผมเกลียดคนขี้โอ่มากที่สุด ผมไม่เคยโอ่ใส่ใครด้วยเพราะโดยส่วนตัวไม่ชอบอย่างยิ่ง แต่ครั้งนี้มันจำเป็นจริงๆ "อ่า" "เราเรียนแถวนี้เหรอครับน้อง ถ้าอยากไปกินข้าวโทรฯหาพี่นะ หรือถ้าอยากได้อะไร พี่อยากจะไถ่โทษ พี่รู้สึกแย่จริงๆนะครับ" ผมตีสีหน้า แต่เริ่มเหนื่อยแล้วล่ะ เสียดายเงินไหม เสียดายนะ แต่ถ้ามันจะแลกมากับสิ่งที่ผมคิดไว้ในใจ มันถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว "พี่ทำงานที่นี่เหรอครับ" มันยกนามบัตรผมขึ้นดู "ครับ เรารู้จักเหรอ พี่ทำไม่ถึงปีเอง กรุงเทพฯพี่ก็ยังไม่คุ้นเลยครับ" "อ้อ รู้จักครับพี่ พี่อยู่เมืองนอกมาเหรอครับ" "อุ๊ย แป๊บนะครับ เพื่อนโทรฯเข้า" ผมทำท่าดัดจริตล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะอวดมันนั่นล่ะครับ เอานิ้วชี้เลื่อนรับโทรศัพท์ ขอบคุณมากนะจอยที่โทรฯมาตอนนี้ ผมพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงปกตินะไม่ได้ออกอักขระอะไรมากนะแต่เด็กมันมองตาโตเชียว คนในร้านก็หันมามอง "โทษทีนะครับน้อง เพื่อนชวนไปกินข้าวที่เพนนินซูล่า เรารู้จักไหมว่ามันอยู่ตรงไหน" มันทำหน้าแปลกแล้วบอกทาง ผมยิ้มจากใจ มีความสุขเสียจริงมันไม่ได้ยากอย่างที่คิดไว้เลย "ขอบใจนะครับน้อง เอ่อ น้องชื่ออะไรนะครับ" "ต้อมครับพี่" "ขอบใจมากนะต้อม มีอะไรโทรฯหาพี่นะ พี่อยากเลี้ยงข้าวไถ่โทษ พี่ไปก่อนนะครับ" ผมตัดบทสนทนาไม่อยากจะคุยด้วยนานหรอกเดี๋ยวแผนแตก นังจอยมันโทรมาถามนั่นล่ะครับว่าโอเคไหม เกินกว่าโอเคเสียอีกจอย โชคดีมากๆเลยทีเดียว ผมออกจากร้านทันทีแล้วรีบขับรถกลับระหว่างทางก็โทรศัพท์หาเอสเพื่อยืนยันว่า คนที่เพิ่งเจอเป็นคนๆเดียวกัน โดยให้มันส่งรูปจากน้องของมันมาให้ดู อ้อผมมีโทรศัพท์สองเครื่องครับ อันที่อวดน้องเขาไปเมื่อครู่เอาไว้ใช้ส่วนตัว ส่วนอีกเครื่องบริษัทซื้อให้ ผมรอไม่นานก็ยิ้มออกมาเมื่อได้รับรูปจากเอส "รอหน่อยนะแก เดี๋ยวแกจะได้ลองรสชาติใหม่ของความเจ็บปวดแน่นอน และมันต้องเจ็บกว่าการที่แกมายืนแสยะยิ้มใส่ชั้นเป็นร้อยเท่า อีกแป๊บเดียวนะ คนแรกขอเป็นแกก่อนก็แล้วกัน ส่วนไอ้เรย์ แกหนีไปไหนไม่พ้นหรอก" ผมเปิดเพลงฟังแล้วร้องตามอย่างอารมณ์ดี รู้สึกมีความสุขมากหลังจากที่ร้องไห้มาสองวัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม