คงจะดีกว่านี้ถ้างานแต่งครั้งนี้ คืองานแต่งของเขากับแพรวดาว อดีตแฟนที่เคยวาดฝันร่วมกัน ความคิดชั่วแวบเดียวที่เกิดขึ้นมา
แต่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือ วันนี้เจ้าบ่าวคือตัวเขา แต่เจ้าสาวไม่ใช่แพรวดาว เป็นงานแต่งที่เกิดจากความจำเป็น และแผนการของใครบางคน ไม่ใช่เกิดจากความรัก
จากนั้นพิธีก็เริ่มขึ้น
“ได้ฤกษ์แล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวเตรียมตัวนะ” เสียงคนทำพิธีกล่าว
ตลอดเวลาที่ทำพิธี ธีรกรไม่แม้แต่จะยิ้มยังคงมีสีหน้านิ่งสนิทเสมือนตัวเองเป็นแขกมาร่วมงาน ไม่ใช่เจ้าบ่าว มีเพียงฝ่ายเจ้าสาวที่มีสีหน้าอิ่มเอิบ ยิ้มแย้ม จนแม่เจ้าบ่าวทนไม่ไหว ก้มลงกระซิบข้างหูเจ้าบ่าวเบาๆ
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย ยิ้มนะเป็นไหม” ธีรกรจึงทำหน้าแสยะยิ้มที่ดูแล้ว ไม่ยิ้มน่าจะดีกว่า
ตลอดพิธีงานบายศรีสู่ขวัญ จนถึงช่วงเวลาอวยพรบ่าวสาว ทุกคนทยอยเข้ามาผูกข้อไม้ข้อมือ จนญาติที่มาอวยพรคนสุดท้ายเสร็จลง
จากนั้นเป็นการจดทะเบียนสมรส ซึ่งอุทุมพรได้เชิญปลัดอำเภอมาดำเนินการให้พร้อม โดยที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่รู้ตัวมาก่อน ได้แต่อึ้ง และยินยอมเซ็นชื่อกันในทะเบียนสมรส จนเสร็จเรียบร้อยสมปรารถนาของอุทุมพร จึงปล่อยให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่ด้วยกัน แล้วก็เชิญแขกร่วมรับประทานอาหาร
ปลัดเมฆินทร์เดินตรงเข้ามาจุดที่คู่บ่าวสาวกำลังยืนอยู่ ยิ่งมองเห็นก็ยิ่งปวดใจ ทำไมคนที่ยืนคู่กับเจ้าสาวในวันนี้จึงไม่เป็นเขา เพราะอะไรถึงทำให้พลาดจากผู้หญิงที่เขาหลงรัก หรือเพราะพระพรหมไม่ได้ลิขิตให้เขาได้ดูแลเธอ
“ผมขอแสดงความยินดีกับคุณธีรกร และ เอ่อ...”
คำพูดที่จะเอ่ยยินดีกับเจ้าสาว มันติดอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่สามารถเอ่ยออกไปได้ เพราะภายในใจเขาไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
ทั้งที่เมื่อเช้าติดภารกิจงาน ใจยังอยากจะมาร่วมแสดงความยินดีกับผู้หญิงที่เขาหลงรักครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะเป็นบุคคลต้องห้ามสำหรับเขา กว่าจะตัดสินใจเดินทางมาร่วมงานได้ ก็เกือบจะงานเลิก
เอมอรที่ยืนอยู่ใกล้กับบ่าวสาวมากที่สุด เงยหน้าขึ้นมองทันทีที่ได้ยินเสียงเมฆินทร์ ในใจอดรู้สึกชื่นชมในความมีน้ำใจเป็นนักกีฬาของปลัดหนุ่มไม่ได้ แพ้ก็ยังมีน้ำใจมาร่วมงาน มาแสดงความยินดีกับเพื่อนเธอ มีข้อดีขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างแล้ว สำหรับคุณปลัดคนดี ที่เธอแอบตั้งฉายาให้ ในใจ
“ขอบคุณครับ”
ธีรกรพยักหน้าให้เล็กน้อย เขาไม่ได้สนใจ รู้เพียงว่าเมฆินทร์เป็นปลัดอำเภอที่นี่ และเคยเห็นหน้าผ่านตากันมาบ้าง เป็นคนรู้จักในแวดวงพื้นที่มากกว่า ไม่สนิทสนมอะไร พอมาร่วมอวยพร จึงอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงมาร่วมงานแต่งได้ทั้งที่งานนี้เชิญเฉพาะญาติ กับเพื่อนบ่าวสาว หรือว่า
“วันนี้ คุณทิพเป็นเจ้าสาวที่สวยน่ารักมาก คุณธีร์คือผู้ชายที่โชคดี” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแม้จะเอ่ยชมแบบตามมารยาททั่วไป แต่ก็แฝงน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์ สิ้นประโยคธีรกรหันมาจ้องหน้าเจ้าสาวสลับกับปลัดหนุ่ม
‘อ้อ...รู้จักกับเจ้าสาว รู้จักกันแค่ไหน??’
ธีรกรมองปลัดเมฆินทร์ที่ส่งสายตาจ้องมองเจ้าสาวแฝงด้วยความเสียดาย เศร้า ๆ เจ้าบ่าวยืนอยู่ข้าง ๆ แต่มีผู้ชายมายืนเสียดายเจ้าสาวของเขา มันงามหน้าจริง ๆ พาลทำให้คิดไปไกลว่าเธอกับนายปลัดนั่นมีอะไรมาก่อนหรือเปล่า ขนาดเขาที่ไม่รู้จักกันเธอยังกล้ากระโดดขึ้นเตียงด้วย
ความรู้สึกไม่พอใจไม่รู้มาจากไหน อยากจะสั่งสอนคนที่กล้ามายุ่งกับของ ๆ เขา ถึงแม้สิ่งนั้นเขาจะไม่ใยดีก็ตาม
“ขอบคุณมากนะคะคุณปลัด” ทิพลดาเอ่ยขอบคุณ ไม่คิดว่าวันนี้ปลัดหนุ่มจะมาร่วมงานมงคลของเธอได้
“ของขวัญครับ ผมตั้งใจเลือกมาให้ คุณทิพน่าจะชอบ ขอให้มีความสุขมาก ๆ” ความรู้สึกเดียวที่เขาจะมอบให้ได้ คือ อยากให้เธอมีความสุข ถึงแม้จะไม่ได้มาจากเขาก็ตาม เมฆินทร์ยื่นของขวัญให้ เจ้าสาวยังไม่ทันยื่นมือมารับ ก็มีมือคู่หนึ่งยื่นมารับแทน
“ขอบคุณนะครับคุณปลัด ของขวัญนี้ คุณดูจะรู้ใจเจ้าสาวของผมดีนะ”
“ก็เรารู้ใจ เอ้ย...รู้จักกันมานาน พอรู้ความชอบมาบ้างครับ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณไม่ต้องการ ผมก็พร้อมที่จะรับคืนนะครับ”
ทันทีที่ปลัดหนุ่มพูดเสร็จ เมฆินทร์ไม่ได้เหลือบแลของขวัญ แต่จ้องมองไปทางเจ้าสาว ธีรกรดวงตาลุกวาว เหมือนโดนลูบคมตั้งแต่แต่งงานวันแรก แต่ก่อนเป็นมาอย่างไรเขาไม่สนใจ แต่ตอนนี้เป็นคนของเขาแล้วคนอื่นไม่มีสิทธิ์ จึงอดโต้กลับไม่ได้
“ถ้าไม่ต้องการแล้ว ก็คงทิ้งไม่ให้ใครเก็บไปหรอกครับ” ทั้งสองประสานสายตากันอย่างมีความหมาย ส่วนทิพลดาได้แต่ยืนอึ้งว่าแค่ของขวัญเขาต้องข่มกันขนาดนั้นเลย
‘แล้วพี่ธีร์ไม่ถูกกับคุณปลัดตั้งแต่ตอนไหนกัน’
เมื่อถึงเวลาได้ฤกษ์เข้าหอของบ่าวสาวญาติผู้ใหญ่ต่างทยอยเข้ามาอวยพร
“ขอให้ลูกทั้งสองคนมีความสุขมากๆ เมื่อตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ก็ต้องรู้จักให้เกียรติซึ่งกันและกัน หากมีอะไรไม่เข้าใจให้หันหน้าเข้าหากัน อย่าปล่อยให้ปัญหามันข้ามวัน อภัยให้กัน อย่าถือทิฐิ แล้วครอบครัวก็จะเป็นครอบครัว อย่าลืม รีบมีหลานให้แม่อุ้มไวๆ นะ”
อุทุมพรให้พรบ่าวสาวเป็นคนแรก ธีรกรอดที่จะแย้งในใจไม่ได้ ใครกันแน่ที่ตัดสินให้พวกเขามาแต่งงานกัน ไม่ใช่เพราะเต็มใจ แต่เพราะ ถูกบังคับต่างหาก
“แม่ฝากน้องด้วยนะ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน” กาญจนาฝากฝังกับลูกเขย เธอรู้ว่าลูกสาวรักและศรัทธาธีรกรมาก จนอดเป็นห่วง ลูกสาวไม่ได้ จึงหวังเพียงว่าธีรกรจะเมตตาและเห็นความดีของลูกสาวเธอ
ส่วนคนอื่นก็เริ่มทยอยเข้ามาร่วมอวยพร อีกหลาย ๆ อย่างยิ่งมาก หน้าตาเจ้าบ่าวก็ยิ่งเยือกเย็นเป็นน้ำแข็ง นิ่งสงบ ไม่ตอบรับคำ อวยพรใด ๆ จนคนอวยพรมีสีหน้าเจื่อนไปตามๆ กัน
หลังจากการอวยพรจบทุกคนก็ทยอยออกไป ในห้องหอเงียบเสียงลง มีเพียงเอมอรเพื่อนสาวคนสนิทของทิพลดาที่เดินออกไปเป็นคนสุดท้าย เอมอรพูดกับเธอเบา ๆ ก่อนจะปิดประตูลง
“ขอให้มีความสุขมากๆ ฉันรู้ว่านี่คือสิ่งที่แกปรารถนามาตลอด ต่อไปสิ่งที่ฉันเองอยากจะเห็นก็คือ พี่ธีร์กับแกรักกัน สู้ ๆ นะ”
“ขอบใจนะอร” เธอยิ้มให้เพื่อนที่รู้ใจและให้กำลังใจเธอเสมอ ทั้งที่ภายในใจเธอเองก็รู้ว่างานแต่งครั้งนี้หาใช่เกิดจากความรัก ถึงเป็นรักก็เป็นการรักข้างเดียวของเธอ
การได้อยู่ด้วยกันแม้เพียงเวลาสั้น ๆ อาจจะมีความสุขมากกว่าการที่เราชื่นชมเขาอยู่ห่างๆ อย่างไม่มีโอกาสแม้แต่จะเป็นคนรู้ใจ เธอก็หวังว่าความสุขครั้งนี้ของเธอจะยืนนาน
ทิพลดาปิดประตูเสร็จ และหันกลับมาทางเจ้าบ่าวป้ายแดง เห็นเพียงด้านหลังของเขา ในมือถือผ้าเช็ดตัวเดินหายเข้าไปห้องน้ำ ไม่สนใจเหลือบแลมาทางเธออีกเลย
ทิพลดาจึงก้าวขาไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง แล้วค่อย ๆ ปลดกิ๊บจำนวนมหาศาลที่ติดอยู่บนผม แล้วไหนจะพยายามถอดชุดแต่งงานออกก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง
ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกว่าตอนแต่งยากแล้ว ตอนถอดที่ต้องทำเพียงคนเดียวยิ่งยากเข้าไปใหญ่ จะให้เจ้าบ่าวมาช่วยก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงต้องก้มหน้าช่วยเหลือตัวเองต่อไป