มุขธิดากลับถึงบ้านเกือบเข้าตีสาม พี่โมชซึ่งถือศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องนั่งคอยเธออยู่ตรงหน้าทีวี ตอนนี้เหลือรายการดูเพียงไม่กี่ช่อง พี่ชายเธอเปิดช่องกีฬาทิ้งไว้ ส่วนตัวเองนั่งเหม่อลอยดูบ้างไม่ดูบ้าง เธอเหลืบตาดูพี่ชายแล้วอดสงสารเขาไม่ได้สักที
ดูเหมือนวันพี่ชายเธอมีเรื่องอยากจะคุยด้วย ถึงได้ยังไม่ยอมเข้านอน ปกติพี่ชายเธอคนนี้ไม่ค่อยจะนอนดึกสักเท่าไหร่ เนื่องจากงานที่ทำในอดีตค่อนข้างหนักหนาเอาการอยู่พอสมควร พี่ชายเธอเป็นคนหนุ่มขยันขันแข็ง เหนื่อยไม่เคยบ่น หนักไม่เคยท้อ แต่ก็นั่นแหละ ดูผลลัพธ์ความดีของพี่ชายเธอวันนี้สิ นอกจากไม่เหลืออะไรติดตัว ยังถูกสังคมตราหน้าให้เป็นหัวขโมยอีกต่างหาก
ใจเธอยอกแสลงเจ็บแทนทุกทีเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทุกวันนี้พี่ชายเธอต้องเดินตากเหงื่อหางานทำงกๆ แต่ก็ยังหาไม่ได้สักที
นอกเหนือจากความสงสารพี่ชายคนนี้แล้ว ส่วนลึกในใจ เธอยังรู้สึกโกรธไอ้เจ้าของโรงงานนั่นอีกด้วย อย่าให้ได้เจอหน้ากันอีกหน แม่จะต่อยให้หน้าคว่ำ เอาเลือดเลวๆของมันออกมาดู ทำไมถึงช่างดำนัก ใส่ร้ายได้แม้กระทั่งคนจงรักภักดี ทำงานให้ด้วยใจเต็มร้อย...
“มุขกลับมาแล้วจ้ะพี่โมช” เธอส่งเสียงทักเมื่อก้มลงปิดประตูใส่กลอน
“ทำไมวันนี้ถึงได้กลับดึกจังล่ะมุข พี่รอเราเกือบจะตีสามแล้วนะ”
เป็นเพราะเสียงทักของน้องสาวตรงทางเข้าทำให้ปราโมชหลุดออกจากภวังค์ เขาหันหน้าไปทางนั้น จึงได้เห็นน้องสาวของเขากำลังถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นวาง มุขธิดาเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ พร้อมเดินมาหย่อนก้นนั่งแหมะลงข้างๆกับเขาอย่างหมดสภาพ
“วันนี้มุขไปทำงานพิเศษมาน่ะ ไม่มีเวรเข้าดึกที่โรงพยาบาล ว่าแต่นี่พี่โมชยังไม่นอนอีกเหรอ ดึกปานนี้แล้ว”
“พี่รอคุยกับมุขอยู่ แล้วนี่เรากินอะไรมาแล้วหรือยัง พี่ไปต้มบะหมี่ให้เอาไหม มุขจะได้ขึ้นไปอาบน้ำให้สบายตัว เสร็จแล้วค่อยลงมากินไง” ปราโมชอาสา เขาสังเกตเห็นใบหน้าน้องสาวดูเหน็ดเหนื่อย หัวใจคนเป็นพี่กระตุกสั่น สะท้อนความสมเพชตัวเองเหลือคณา เป็นเพราะเขาดีเกินไปแท้ๆ ถึงได้ตกเป็นแพะลำบากถูกคนเลวพวกนั้นใส่ร้ายโยนความผิดมาให้อย่างหน้าไม่อาย
เขาเป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวเดือดร้อน เพราะต่างคนต้องหาเงินตัวเป็นเกลียว เพื่อเอามาช่วยเหลือคดีความของเขานั่นเองา
เรื่องนี้เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่หัวขโมยอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่ถ้าไม่มีเงินไปสู้คดีความกับฝ่ายนั้น จากขาวมันอาจกลายเป็นดำได้โดยไม่ยากเย็นเลยในยุคสังคมปัจจุบันนี้ ที่ถือเอาความถูกต้อง ขึ้นอยู่กับอำนาจของเงินทองเป็นตัวแปรสำคัญ...
เขาตั้งใจทำงานหนักมาโดยตลอด อาจด้วยเพราะเรียนจบมาน้อยแค่ชั้นมัธยมปลาย ไม่ได้ต่อปริญญาตรี เพียงเพื่อต้องการออกมาหางานทำ เพราะอยากเห็นมารดาและน้องสาวใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมากขึ้นกว่าเดิม เขาตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง โดยไม่เคยมีใจคิดโกงกินใคร หรือแม้กระทั่งอยากได้อยากมีของคนอื่น ทำเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ไม่ได้อยากมีจนไม่มองกำลังตัวเอง ถึงครอบครัวเขาจะอาศัยเพียงบ้านไม้หลังเล็กๆอยู่กันสามชีวิต แต่บ้านหลังนี้ก็อยู่ร่วมกันด้วยความสุขสงบเสมอมา
จวบจนกระทั่งเขาถูกกล่าวหา ใส่ความเรื่องขโมยอะไหล่อุปกรณ์ภายในโรงงานออกมาขายกิน ครอบครัวเขาจึงเริ่มเดือดร้อน เงินทองที่เก็บสะสมไว้มีอันต้องเอาออกมาใช้ เพื่อสู้คดีความ กว่าเขาจะหลุดพ้นคุกมาได้ เงินเก็บที่มียังไม่พอจ่ายค่าคดีความเลยด้วยซ้ำ เดือดร้อนมารดาของเขาต้องสู้หน้าไปยืมเงินกู้นอกระบบ เก็บดอกแสนแพง จนตอนนี้บ้านแทบลุกเป็นไฟ เนื่องจากโดนทวงหนี้ค่าดอกมหาโหดจนเขากลัดกลุ้มใจเหลือเกิน เพราะงานก็ยังหาทำไม่ได้ ดูเหมือนอะไรๆมันดูแย่ลงหนักกว่าเก่าเข้าไปทุกที
“แล้วป้าละมัยล่ะ เข้านอนแล้วหรือพี่โมช” มุขธิดาเหลียวมองเข้าไปยังห้องชั้นล่าง มันเป็นห้องพักของป้าเธอ ส่วนตัวเธอกับพี่ชายพักกันบนชั้นสอง
“นอนตั้งแต่หัวค่ำนู่นแล้ว กินข้าวเย็นเสร็จพี่ก็ไล่ให้ไปนอนพักเลย ตอนแรกดื้อ บอกจะนั่งรอมุขกลับก่อนถึงจะนอน แต่พอพี่อาสาจะรอเอง แม่เลยยอมเข้าไปนอน”
“นั้นมุขขอตัวไปอาบน้ำแป๊บนะ เดี๋ยวลงมานั่งคุยกับกินบะหมี่ด้วย มุขขอต้มยำเผ็ดๆนะจ๊ะ อยากซดอะไรร้อนๆท้องสักหน่อย วันนี้ออกแรงเยอะมาก จะได้เติมพลังไปในตัวด้วย”
โดยเฉพาะออกแรงถีบใครบางคนจนล้มคว่ำ เธอต้องใช้พลังงานที่เหลือทั้งหมดก็ว่าได้ กว่าจะล้มยักษ์ได้สำเร็จ ก็เล่นเอาแข้งขาสั่นเทา คิดแล้วใจยังเต้นโครมครามไม่หาย ขออย่างได้เจอะเจอกันอีกเลย มุขธิดาแทบยกมือสาปส่งท่วมหัว คนรวยนิสัยเลวพันธุ์นั้น เที่ยวมองคนอื่นเป็นเพียงผักปลาตามท้องตลาด อยากหาซื้อเมื่อไหร่ก็ต้องได้ตามแต่เขาต้องการ
เขาคงคิดว่าเธอจะตาโต พอเห็นเงินที่เขาเขวี้ยงใส่หน้า เหอะ! เคยมีคนให้เธอมากว่านี้ด้วยซ้ำ เธอยังไม่สนใจ
“มีอะไรหรือเปล่ามุข ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” ปราโมชที่กำลังจะลุกขึ้นยืน แต่พอดีสายตาเหลือบเห็นหัวคิ้วของน้องสาวผูกกันเป็นโบเสียก่อน เลยอดนึกแปลกใจไม่ได้
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะพี่โมช คือ...มุขแค่หิวมากไปหน่อยแค่นั้นเอง”
“นั้นก็รีบขึ้นไปอาบน้ำไป...” ปราโมชโบกมือไล่ไม่ได้ติดใจอะไร
“จ้ะพี่โมช มุขไปเดี๋ยวนี้ละจ้ะ...อย่าลืมทำรสจัดๆนะพี่”
“ได้สิ...เดี๋ยวพี่จัดให้แซบๆถึงใจมุขเลย”
“ขอบคุณค่ะ นั้นมุขไปอาบน้ำแหละ หิวจนตาลายแล้วเหมือนกัน”
คนเป็นน้องสาวบิดตัวเพื่อคลายเมื่อย พร้อมกับลุกขึ้นยืน เธอลากขาเดินตรงก้าวขึ้นบันไดเพื่อเข้าห้องพักของตนเองบนชั้นสอง อาบน้ำชำระร่างกายจะได้สดชื่นขึ้นสักหน่อย ปราโมชเองก็ลุกเดินตามน้องสาว ก่อนจะเลี่ยงเข้าในห้องครัว ดึงซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาต้มให้น้องสาวด้วยใบหน้าติดหนักใจอยู่ไม่น้อย...
เสียงไก่โต้งข้างบ้านพากันโก่งคอคันเมื่อเช้าตรู่มาเยือนอีกครั้ง ป้าละมัยลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าทิ้งไว้ให้ลูกชายกับหลานสาว ก่อนตัวเองจะเดินออกไปทำงานร้านอาหารตามสั่งตามปกติเช่นนี้ทุกวัน ร้านอาหารตามสั่ง อยู่ห่างจากบ้านออกไปอีกสองซอย ต้องไปเช้าสักหน่อย เพราะต้องรีบจัดเตรียมเครื่องปรุงเอาไว้ให้พร้อม รอลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิศหรือพวกนักศึกษา จะมาสั่งอาหารใส่กล่องโฟมเพื่อเอาไปทานกันตอนเช้าที่ทำงาน...
มุขธิดาตื่นเป็นคนสุดท้าย ออกมาก็เห็นพี่โมชนั่งหน้าเครียด มือคอยคลี่หนังสือหางานเช็คดูอยู่หน้าจอทีวี เมื่อคืนเธอกับพี่ชายคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่ และเธออาสาจะช่วยหางานให้อีกแรง กะว่าจะลองไปถามที่โรงพยาบาล มีตำแหน่งงานไหนว่างพอจะรับคนเพิ่มบ้างไหม เป็นพนักงานชั่วคราวก็ได้ ขอให้ช่วงนี้พี่ชายเธอมีรายได้เข้ามาอีกแรง งานอะไรเขาพร้อมจะทำทั้งนั้น
เกิดเสียงโหวกเหวกดังอยู่ทางหน้าบ้าน กดกริ่งจนมันจะดังไปจนถึงต้นซอยเพราะบ้านเธออยู่เกือบท้ายซอย มุขธิดาถอนใจเฮือก กำเงินในมือไว้แน่น เตรียมเอาไปให้เจ้าหนี้หน้าเลือด ไม่ออกไปดูเธอก็พอเดาได้ไม่ยาก จะมีใครไปเสียอีก ถ้าไม่ใช่พวกนั้นมาทวงเงิน...
“เดี๋ยวมุขจัดการเองพี่โมช พี่ไม่ต้องออกไปหรอกนะ นั่งอยู่ในบ้านนี่แหละ มุขขี้เกียจห้ามทัพ” มุขธิดาห้ามพี่ชายไว้เมื่อเห็นเขากำลังลุกขึ้น
“วันนี้มีใช่ไหม...” ปราโมชถามด้วยน้ำเสียงเครียดขรึม เธอพยักหน้าให้พี่ชาย
“มุขเตรียมไว้พร้อมแล้ว เมื่อวานได้ค่าแรงมาหลายบาท คงพอให้ค่าดอกสักสามสี่วันจ้ะ” เธอชูเงินในมือบอกพี่ชายให้คลายกังวล ปราโมชพยักหน้าพลางฝืนยิ้ม ดูช่างตรงข้ามกับสีหน้าเหลือเกิน เป็นเพราะเขาคนเดียวแท้ๆ ทุกคนในบ้านถึงต้องมาเดือดร้อนไปตามๆกัน ชายหนุ่มยังคงเฝ้าโทษเป็นความผิดของตนเอง ใบหน้าคมคายเศร้าหมอง
และน้องสาวทันเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผู้เป็นพี่ชาย
“ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะพี่ บอกแล้วไงสุขทุกข์เราคือครอบครัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะสู้ไปด้วยกัน” มุขธิดาพูดปลอบใจพี่ชายด้วยอ้อมกอดอบอุ่น ก่อนผละห่างขอตัวเอาเงินค่าดอกออกไปให้เจ้าหนี้หน้าเลือด...
นอกประตูรั้วบ้าน มีชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนยืนกดกริ่งดังสนั่นอย่างไม่คิดเกรงใจใคร อาจเป็นเพราะทั้งคู่คงคิดว่าตนเองเป็นลูกน้องของเสี่ยชัย ผู้มีอิทธิพลของคนละแวกนี้ก็อาจเป็นได้ ในระหว่างนั้นพวกมันสองคนพร้อมใจกันมองมาที่มุขธิดา ถ้าเธอตาไม่ฝาดเหมือนสองคนนั้นกำลังก้มกระซิบกระซาบอะไรกันสักอย่างแล้วพยักหน้าให้กัน ผู้ชายคนด้านขวายกมือถือขึ้นมาทางเธอเหมือนจะถ่ายภาพ แต่มองไม่ถนัดนัก พอเดินเข้าไปใกล้ เจ้าของมือถือกลับยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้นไป
เธอจะเอ่ยถามว่าทำอะไรก็ต้องระงับปากเอาไว้ ไม่อยากหาเรื่องวุ่นวายใส่ตัว ยิ่งเจรจากับคนพวกนี้มากความเท่าไหร่ ยิ่งทำให้คนพวกนี้ก้าวร้าวกับเธอมากขึ้นเท่านั้น
“ฉันเอาดอกเบี้ยมาให้ค่ะ” มุขธิดาส่งเงินในมือให้ แต่ไม่ยอมเปิดประตูรั้วบ้าน
“ดีมากน้องสาวที่วันนี้ไม่ต้องให้พี่ออกแรงทวงมาก รู้งานแบบนี้สิพี่ชอบ”
ไอ้คนรับเงินแสยะยิ้มอวดฟันขาว ทว่าผิวของมันกลับดำเมี่ยม มันยืนนับเงินที่เธอส่งให้ พอครบตามจำนวนมันจัดแจงดึงเอาสมุดจดที่เหน็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงหลังออกมาขีดฆ่าอะไรไม่รู้ ส่วนไอ้คนที่ยืนเฉยคอยคุมเชิงอีกที มันขยับเข้ามาใกล้รั้ว
มุขธิดาขยับถอยหลังสองก้าว ไม่ได้กลัวแต่แค่ระวังเอาไว้เท่านั้น
“มีอะไรหรือจ้ะพี่ เงินที่ให้ไม่ครบหรือไง” มุขธิดาย่นหัวคิ้วลงมองใบหน้าครามแดด จะไม่ครบได้ยังไงในเมื่อเธอนับเองอยู่ตั้งหลายรอบก่อนจะยื่นส่งให้พวกนี้
“ครบจ้ะน้องสาว พี่สองคนแค่อยากจะทำความรู้จักกับน้องคนสวยให้มากขึ้นอีกสักหน่อยเท่านั้นเอง และก็มีขอเสนอดีๆ เขาเรียกว่าอะไรนะไอ้เชิด...” มันหันไปสะกิดถามเพื่อนที่มาด้วยกัน
“เขาเรียกว่าโปรโมชั่นไงไอ้ดำ โธ่เอ๊ย! ไอ้ควาย....”
เชิดส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย ไอ้นี่มันหัวทึบสมองช้าสอนเท่าไหร่ไม่เคยจำ เตือนมันให้ท่องจำไว้ดีๆแล้วนะ ยังเสือกทำลืม ด้วยงานนี้มันกับเพื่อนหวังฟันกำไรเอาไว้มากพอสมควร พวกมันกำลังคิดจะทำความดีต่อเจ้านาย ด้วยการเอาสาวผิวขาวราวน้ำนม หุ่นเล็กกะทัดรัดน่าฟัด พร้อมด้วยใบหน้าจิ้มลิ้มกระจุ๋มกระจิ๋ม เป็นของขวัญวันเกิดให้เสี่ยชัยปีนี้สักหน่อย ยิ่งถ้าแม่น้องสาวคนงามยอมตกลงทำตามข้อเสนอของมันง่ายๆ งานนี้ก็ยิ้มสิครับ มันจะรีบดำเนินการโดยไม่รั้งรอเชียวละ กลัวเจ้านายจะได้เหยื่อรายใหม่ตัดหน้ามันสองคนเสียก่อน ไม่ใช่อะไรหรอก มันกลัวความดีความชอบนี้จะลดลง แล้วเม็ดเงินค่าตอบแทนที่อาจได้รับเป็นรางวัลก็จะลดน้อยลงตามไปด้วยนั่นเอง
เจ้านายของมันมีชื่อว่าเสี่ยอนุชัย เป็นหนุ่มใหญ่หน้าตาดีคนหนึ่ง ไม่ได้พุงพลุ้ยเหมือนกับเสี่ยคนอื่นๆหรอก ถึงได้มีนิสัยเจ้าชู้นัก แกเป็นพ่อม่ายเมียทิ้งแถมยังมีลูกติดอีกหนึ่งคนด้วย เมียนั้นหนีตามชู้ไปใช้ชีวิตต่างประเทศนานหลายปี คงนับตั้งแต่เจ๊แกคลอดลูกออกมาใหม่ๆ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่ทนความเจ้าชู้ของเสี่ยมันได้ ขนาดพากันเข้ามากกกอดกันถึงในบ้าน เห็นตำตาเสียขนาดนั้นเป็นใครจะยอมทน ถ้ามันเป็นเมียเสี่ยแล้วมีทางไหนที่ดีกว่าก็เผ่นแน่บไปเหมือนกันแหละ ดีกว่าต้องมานั่งทนมองผัวตัวเองออเซาะอยู่กับผู้หญิงอื่นตำตา
“เออ...นั่นแหละ โปรโมชั่น ว่าแต่น้องสาวมีชื่อว่าไรจ๊ะ พี่ยังไม่รู้จักชื่อน้องเลย เวลาพี่มาเก็บดอกจะได้เรียกชื่อน้องสาวได้ถูกต้องไงล่ะจ๊ะ”
ดำกระแซะเข้าใกล้ลูกกรงรั้วเหล็กมากขึ้น มันมองพิจารณารูปร่างของมุขธิดาโจ่งแจ้งพอสมควร รู้สึกพึงพอใจไม่ใช่น้อย ขาวอวบอิ่มแบบนี่ละที่เจ้านายมันชอบ ลองคำนวณเม็ดเงินค่าตอบแทนน้ำใจงดงามที่เสี่ยชัยจะให้ ดูท่าไม่ใช่น้อยแน่ๆงานนี้ ก็ออกจะขาวสวยตัวเล็กหุ่นอรชรน่าฟัดเสียขนาดนี้ อย่างน้อยๆก็หลักหมื่นขึ้นไปล่ะวะ
ดำยิ้มกริ่มเห็นแล้วไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่
ส่วนมุขธิดาเขม้นสายตาเข้มจัดมองตอบโต้ไอ้คนตัวดำ เธอเม้มริมกลีบปากอิ่มเข้าหากันสนิท ไม่ยอมบอกชื่อตามที่ไอ้คนตัวดำเมี่ยมมันถาม สายตาแบบนี้มันหน้าตบให้คว่ำสักที หญิงสาวเตรียมหมุนร่างเข้าบ้าน แต่กลับถูกอีกคนเรียกไว้เสียก่อน
“อย่าเพิ่งไปสิจ๊ะ น้องสาว...นี่แน่ะ!ไอ้ห่าดำ” เชิดยกมือขึ้นตบหัวดำเสียงดังป๊าบต่อหน้าหญิงสาว
“โอ๊ะ!มึงตบหัวกูทำไมวะ...ไอ้เชิด”
“ก็มึงเสือกไปมองน้องเขาแบบนั้น ใครเขาอยากจะคุยกับมึงด้วยวะ ไอ้ห่านี่ ชอบทำอะไรเสียเรื่องอยู่เรื่อย” ผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าแต่คงมีศักดิ์เป็นลูกพี่ส่งค้อนควัก นึกละเหี่ยใจกับไอ้นี่เหลือกำลัง
มุขธิดาเกือบหลุดเสียงขำตอนเห็น นึกซะใจครามครัน ดีที่เบรกเอาไว้ได้ทันเสียก่อน
“พี่เรียกฉันไว้ทำไม เงินค่าดอกเบี้ยก็ได้ครบแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ครบแล้วจ้ะ แต่พี่ยังไม่รู้จักชื่อของน้องสาวเลย พอดีพี่มีโปรโมชั่นดีๆมานำเสนอ อยากให้น้องลองเอากลับไปคิดพิจารณาตัดสินใจดูสักหน่อยนึงน่ะ” เชิดผลักเพื่อนถอยห่าง กลัวดำจะทำเสียเรื่องก่อนจะได้เรื่อง
“อ้อ...แล้วน้องก็ไม่ต้องกลัวพี่สองคนไปหรอกนะ เพราะพี่สองคนมาดีจ้ะ” คนบอกมาดียืนยิ้มแฉ่งฉีกปากกว้างจนเห็นซี่ฟันเกือบครบ เป็นการปูทางเพื่อสู่ขั้นตอนเจรจาที่สะดวกมากยิ่งขึ้น
“ชื่อมุขค่ะ” มุขธิดาจำใจต้องบอก จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันเสียที เธอจะได้กลับเข้าบ้านเพื่อทำกิจกรรมอื่นต่อไปได้เสียที
“น้องมุขหรือ ชื่อเพราะเหมาะสมกับหน้าตาเลยนะครับ” ดำที่ยืนฟังมานานรีบเขยิบเข้ามาใกล้เพื่อน ตอนนี้มันพยายามไม่กวาดสายตามองน้องมุขด้วยสายตาจาบจ้วงอีกแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มหวานหยดเท่าที่คิดว่าทำแล้วดูดีที่สุดในชีวิตไปให้หญิงสาวแทน
มุขธิดาถึงกับขนลุกซู่ มองรอยยิ้มของผู้ชายคนนั้นด้วยความสยดสยองมากกว่าจะรู้สึกเป็นอย่างอื่นไปได้...
“พี่มีอะไรก็ว่ามาเถอะ ฉันจะได้เข้าบ้านเสียที” มุขธิดารีบพูดตัดบท
“คืออย่างนี้นะ...” ดำกลืนน้ำลายเหนียวหนืด คิดหาคำพูดสวยหรู กลัวเหยื่อจะปฏิเสธไม่รับข้อเสนอดีๆของมัน พานจะชวดเงินรางวัลจากเสี่ยชัย ช่วงนี้ยิ่งเก็บดอกเบี้ยยากเย็นอยู่ด้วย เปอร์เซ็นต์ของมันเลยได้น้อยตาม ถ้าไม่หารายได้ทางอื่นเสริม มันจะเอาเงินจากไหนไปลงอ่างหาน้องขวัญแม่สาวจ้ำม่ำน่าขย่มของมันกันเล่า
ดำจึงคิดหาคำพูดปะเหลาะ เพื่อใช้พูดโน้มน้าวหญิงสาว
“คือย่างนี้นะน้องมุขจ๋า น้องสนใจอยากลดทั้งต้นทั้งดอกไหมล่ะจ๊ะ พอดีพี่มีข้อเสนอดีๆแล้วก็ทำสบายๆให้น้องมุขเอาไปนอนคิดดูสักคืน แล้วพรุ่งนี้พี่ค่อยมาเอาคำตอบก็ได้จ้ะ” พูดจบแล้วดำก็ฉีกยิ้ม
“ข้อเสนออะไรหรือคะ” มุขธิดาย่นหน้า รู้สึกเอะใจเล็กน้อยกับข้อเสนอ แต่ถ้าให้เธอเดานั้นคงไม่ยาก คนประเภทนี้จะมีข้อเสนออะไรดีๆได้เล่า คงไม่พ้นใช้ตัวลดหนี้อีกตามเคย มันเป็นข้อเสนอที่เธอเคยได้ยินออกบ่อยจากคนทั้งในและนอกซอย
ดำกระตุกยิ้มพอใจ หันหลิ่วตาให้เชิด ก่อนจะบอกรายละเอียดทุกอย่าง พร้อมเงื่อนไขต่างๆที่มันกับเชิดขบคิดวางแผนเอาไว้กันก่อนจะมาเก็บดอกเบี้ยที่บ้านของลูกหนี้สาวสวยหลังนี้
เมื่อวานเสี่ยอนุชัยบ่นหน้าเครียดกับพวกมันสองคน ว่าเบื่อแม่นมวัวเนื้ออวบรายล่าสุดที่เสี่ยนั้นกินมาหลายอาทิตย์ เนื้อเจ้าหล่อนเริ่มเหนี่ยวติดฟัน รสชาติเริ่มจืดชืดความตื่นเต้นเร้าใจเริ่มกลายเป็นความชินชา สุดแสนเบื่อหน่ายในที่สุด อยากได้เนื้อสดใหม่แกะกล่อง เอาไว้ช่วยคลายเครียดตอนถูกลูกหนี้เบี้ยวนัดไม่ยอมจ่าย
พอเหมาะพอเจาะใกล้จะถึงวันเกิดของเสี่ยชัยอีกไม่กี่เดือน อยู่ดีๆภาพใบหน้าสวยหวานกับผิวขาวนวลลออของลูกหนี้รายนี้ดันผุดขึ้นมาในหัวของพวกมันทั้งคู่พร้อมๆกันเสียได้ จึงสบโอกาสงาม ยื่นข้อเสนอที่พวกมันงัดนำออกมาใช้บ่อยกับลูกหนี้สาวๆทั้งหลาย แถมยังประสบความสำเร็จมากกว่าล้มเหลวอีกด้วย
เชิดกับดำหันไปยิ้มให้กัน แล้วรายนี้มีเหรอที่มันสองคนจะพลาด...
มุขธิดาเดินหน้าบูดบึ้งเข้ามาในบ้าน ข่มใจแทบตายไม่ให้หลุดปากด่าเปิงไอ้สองคนนั้นไป นึกเจ็บใจกับข้อเสนอของพวกมันนักเชียว มีอย่างที่ไหนมาเสนอให้เธอยอมเป็นนางบำเรอของเจ้านายพวกมัน
นี่มันคงเห็นเธอจนสินะ คงไม่มีปัญญาหาเงินต้นมาชดใช้ ถึงได้กล้าเสนอให้ขนาดนี้ มันคงไม่คิดว่าเธอจะปฏิเสธพวกมันเป็นแน่แท้ ถึงได้มีหน้ามาเสนอให้เธอเอาตัวเข้าขัดดอกแทนจำนวนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่เหลือ
ปราโมชที่หันมามองน้องสาวเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับเขาจึงร้องทัก
“เป็นอะไรไปล่ะมุข ทำไมถึงได้ทำหน้าตาแบบนั้น หรือไอ้สองคนนั่นมันทำอะไรน้อง พี่จะไปจัดการมันให้เอง...” ปราโมชลุกพรวดจากเก้าอี้ ใบหน้าหล่อเครียดขรึม เขากำหมัดแน่นไม่ชอบใจอย่างมากหากน้องสาวของเขาถูกรังแก เขายืนมองผ่านตรงหน้าต่างนานแล้ว เพราะใจนึกเป็นห่วงน้องสาว กลัวจะถูกไอ้พวกนั้นทำร้ายเอาได้ แต่เห็นไม่มีอะไรนอกจากการพูดคุยกันปกติ เขาจึงกลับเข้ามานั่งที่เดิม
“ไม่มีอะไรหรอกพี่โมช มุขแค่เหม็นขี้หน้าไอ้สองคนนั่นแค่นั้นเองล่ะจ้ะ...”
หญิงสาวคว้าแขนพี่ชายไว้มั่น ตอนปราโมชกำลังเดินออกนอกบ้าน เธอขืนตัวไว้สุดฤทธิ์ ส่งสายตาปริบ ประมาณว่าไม่มีอะไรจริงๆ เธอกลัวพี่ชายจะออกไปมีเรื่องมีราวกับนักเลงทวงหนี้สองคนนั่นอีก ครั้งก่อนก็ทีนึงแล้ว ตอนพี่ชายเธอนำเงินค่าดอกออกไปให้ เกือบจะมีเรื่องชกต่อยกับสองคนนั่น ดีที่ป้าละมัยออกไปห้ามปรามเอาไว้ทัน ไม่งั้นมีหวังพี่โมชของเธอคงได้มีคดีความเพิ่มอีกระทง ถ้าจะมีเรื่องกับสวะพวกนั้น สู้เอาเวลาไปทำมาหากินจะเกิดประโยชน์เสียมากกว่าเป็นไหนๆ
“แน่นะ...” ผู้เป็นพี่ไม่เชื่อถือในคราแรก แต่น้องสาวพยักหน้ายืนยันหนักแน่น
“ไม่มีอะไรจริงๆ พี่โมช อย่าไปยุ่งกับพวกนั้นเลย”
ปราโมชพยักหน้าว่าเชื่อก็ได้ พร้อมถอนหายใจ
“แต่ดูหน้ามุขไม่ค่อยดีเลย มีปัญหาอะไรก็บอกพี่มา หรือเงินไม่พอส่งดอกให้เสี่ยชัย” ปราโมชฉุดแขนน้องสาวพากันมานั่งยังโซฟากลางบ้าน สายตาคมกริบจับจ้องใบหน้าขาวนวลของผู้เป็นน้องอย่างพิจารณา เขารู้สึกเป็นห่วงน้องสาวคนนี้เหลือเกิน กลัวจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น...
หลังจากน้าสาวกับน้าเขยเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์แบบกะทันหัน แม่ของเขาซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆของมุขธิดา จึงตัดสินใจเดินทางไปรับหลานสาวมาเลี้ยงไว้เสียเอง แทนการส่งตัวเข้าบ้านเด็กกำพร้า เพราะญาติที่เหลือคนอื่นต่างก็มีภาระหน้าที่รับผิดชอบหนักหนาเอาการกันอยู่ทุกครอบครัว บวกกับไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร ส่วนใหญ่ก็หาเช้ากินค่ำ เลยไม่มีแรงรับเลี้ยงใครเพิ่ม แม่ของเขาไม่ใช่คนร่ำรวยเช่นกัน แต่ก็ทนเห็นหลานสาวแท้ๆของตนเอง ถูกส่งตัวเข้าบ้านเด็กกำพร้าไม่ได้ ท่านจึงตัดสินใจขอรับเลี้ยง และจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาเลยมีน้องสาวเพิ่มเข้ามาในครอบครัวเล็กๆนี้อีกคน
ถึงมุขธิดาจะไม่ใช่พี่น้องสาวคลานตามกันออกมา แต่เขานั้นรักมุขธิดาไม่ต่างจากน้องสาวร่วมท้องเดียวกัน เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ เขาก็มีน้องสาวคนนี้ที่ดูแลกันมา ทั้งยามทุกข์และยามสุข
ปราโมชลูบศีรษะน้องสาวอย่างรักใคร่ ส่งสายตาเอื้ออาทรสื่อถึงกัน หญิงสาวซึมซับความรู้สึกนั้นไว้ด้วยหัวใจ เธอเลยคลี่ยิ้มให้พี่ชาย เขาจะได้ไม่เป็นกังวล
“มุขไม่ได้เป็นอะไรหรอกพี่โมช เมื่อคืนคงนอนน้อยไปหน่อย ดีนะที่วันนี้ติดกับวันหยุด ไม่งั้นคงได้กลายเป็นผีซอมบี้ไปทำงานแน่เลย”
“แล้วคืนนี้ล่ะ มุขต้องไปทำงานร้านอาหารอะไรนั่นอีกไหม” พี่ชายถามต่อ พลางยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้น้องสาวดื่มรองท้อง ส่วนอาหารแม่เขาทำเตรียมไว้ให้ในครัว เขารอทานพร้อมมุขธิดา แล้วกะว่าจะออกไปเดินหาสมัครงานทำต่อ
“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน คงต้องรอให้พู่มันโทรมาหาก่อน เมื่อวานวันเกิดแฟนพู่มันด้วย เลยไม่รู้วันนี้พู่มันจะลุกขึ้นไปทำงานไหวหรือเปล่า”
“มุขได้พักผ่อนบ้างก็ดี วันหยุดทั้งทีพี่ไม่เห็นเราค่อยได้หยุดพักเลย แต่ถ้าคืนนี้มุขต้องไปทำงานที่นั่นอีก เดี๋ยวพี่จะขับรถไปรับก็แล้วกันนะ กลับดึกๆเหมือนเมื่อคืนนี้ พี่อดห่วงไม่ได้”
“พูดถึงร้านอาหารนั่น มุขนึกอะไรดีๆออกแล้วล่ะค่ะ พี่โมชสนใจจะไปทำงานพิเศษที่นั่นรองานใหม่เรียกตัวดูไหมล่ะ เดี๋ยวมุขจะลองโทรถามผู้จัดการเขาดูให้ เพื่อมีตำแหน่งอะไรว่าง มุขจะพาพี่โมชไปสมัครดู”
มุขธิดาเสนอขึ้น เมื่อเธอนึกถึงร้านอาหารที่เธอเขาไปทำเพื่อเป็นรายได้เสริม อย่างน้อยร้าน Black ground ก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวหรือเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อสิ่งผิดกฎหมาย แถมยังได้เงินทิปดีอีกต่างหาก
“ก็ดีเหมือนกันนะ พี่ไม่อยากรองานนานๆ เดี๋ยวจะเป็นบ้าตายเสียก่อน อีกอย่าง สงสารแม่กับมุขด้วย พี่เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่กลับนั่งนอนสบายรออยู่กับบ้าน”
ปราโมชรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีตอนได้ยินเรื่องงาน เขาไม่ใช่คนเลือกงานทำอะไรอยู่แล้ว ลงมือทำงานไหนได้ก่อนก็อยากทำ
แม้แต่งานกลางคืนอย่างร้านอาหารกึ่งผับ เขาก็ไม่เกี่ยง ตอนนี้แค่อยากมีรายได้เข้ามาช่วยเหลือจุนเจือทั้งแม่และน้องอีกทางเท่านั้นพอ มีเงินเยอะๆจะได้เอาไปใช้หนี้สินกับไอ้เสี่ยหน้าเลือดให้หมด ลำพังจ่ายแต่เพียงดอกเบี้ยไปวันๆ แล้วเมื่อไหร่เงินต้นมันจะหมดลงเสียที
แต่พอมานั่งคิดไตร่ตรองดูอีกที ด้วยคนมีคดีติดตัวอย่างเขา อาจเป็นตัวสร้างปัญหาอะไรให้น้องสาวเขาเพิ่มขึ้นมาก็ได้ ปราโมชฉุกใจคิดขึ้นมาอีก เลยต้องค้านไว้ก่อน เขาไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ผู้เป็นน้องอีกแล้ว ลำพังแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ยัยมุขของเขานั้นดูสูบผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ว่าได้
“แต่พี่ว่า...เดี๋ยวพี่รองานที่พี่สมัครทิ้งไว้ก่อนดีกว่า ไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนอะไรให้มุขอีก ขืนถ้าคนในนั้นรู้เรื่องที่พี่เคยถูกจับติดคุกมาก่อนเข้า จะพาลกันมองมุขไม่ดีตามไปด้วยก็ได้นะ” ปราโมชห้ามมุขธิดาเมื่อน้องสาวกำลังจะลุกไปหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อกดโทรหาผู้จัดการของร้านอาหาร Black ground
“มองก็มองไปสิ ทำไมมุขต้องสนใจคนอื่นมากกว่าคนในครอบครัวด้วยเล่า พี่โมชก็เถอะ เราไม่ได้ทำผิดอย่างที่ถูกกล่าวหาเสียหน่อย ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลยนี่น่า มุขไม่แคร์แล้วพี่จะแคร์ไปทำไมกันละ จริงไหม...” ปราโมชพยักหน้า มันก็จริงอยู่ แต่ใช่คนเราจะเข้มแข็งทนทานต่อคำพูดคนได้ทุกเวลาเสียเมื่อไหร่ เขาไม่อยากให้มุขมาเสียอารมณ์กับเรื่องนี้มากกว่า ลำพังแค่ตนเองรู้สึกชินชาเสียแล้ว
มุขธิดาส่งสายตาให้กำลังใจพี่ชายตัวเองสุดกำลัง เธอเอื้อมมือเล็กกอบกุมมือหนาของพี่ชายเอาไว้ บีบเข้าหากันแน่น ส่งต่อความรักนี้ไปให้ สักวันฟ้าต้องมีตาจับคนผิดตัวจริงมาลงโทษให้ได้ แพะอย่างพี่ชายเธอจะได้พ้นมลทินเสียที
----------------------------------------------