“ใครมากันอีกล่ะ”
เนื้อทองถามอาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้นเรียนของเธอในทันทีที่เธอเดินมาถึงหน้าโต๊ะของอาจารย์
เธอถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งตามมาแบบโดนขัดจังหวะเพราะเธอนั้นกำลังนั่งคุยกับชนกันต์เพื่อนชายคนใหม่ที่เพิ่งแย่งมาได้อยู่
ทำให้เธอไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ที่ถูกตามมาเพื่อพบใครก็ไม่รู้ จึงได้เอ่ยพูดไปแบบไม่มีหางเสียงแบบนั้น
แต่ปกติแล้วเธอก็พูดไม่มีหางเสียงกับใครสักเท่าไหร่อยู่แล้ว เพราะเธอไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องทำด้วยบ้านเธออุปถัมภ์โรงเรียนนี้อยู่
“เนื้อทอง พูดจาให้มันดีๆหน่อยได้ไหมคะ”
อาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้นเรียนจำต้องเป็นฝ่ายพูดจาที่ฟังดูไพเราะกับเด็กนักเรียนของเธอออกไปก่อน
เธอรู้จักนิสัยดื้อรั้นของเนื้อทองดี และรู้ด้วยว่าจะรับมืออย่างไรในบางครั้ง
แต่ในบางครั้งก็รับมือไม่ได้เพราะเนื้อทองไม่ใช่เด็กที่เธอจะเข้าไปยุ่งมากด้วยได้ ด้วยครอบครัวของเธอคือผู้สนับสนุนรายใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้
“ใครมากันอีกล่ะคะ”
เด็กสาวพูดอย่างประชดประชันไม่น่าฟังกลับไปพร้อมกับส่งสายตาเบื่อหน่ายไปยังอาจารย์ที่ปรึกษา
หวังว่าเธอคงจะไม่มีญาติมาพบ หรือว่ามีใครมาพยายามพากลับไปยังบ้านป่าน่าเบื่อนั้นอีก
เธอไม่อยากกลับไป ด้วยกำลังสนุกที่สามารถแย่งเพื่อนชายของคู่อริมาได้
“เขาชื่อคุณดวงใจ จะมาเป็นครูสอนบุคลิกให้กับเธอ เขารออยู่ที่ห้องรับรอง”
อาจารย์ทำหน้าที่แนะนำตัวให้กับคนที่มานั่งรอพบเด็กสาวไปแบบคร่าวๆ
เพราะเธออยากให้เด็กในปกครองของเธอได้รับรู้อะไรบ้างก่อนที่จะไปพบหน้ากัน
เนื้อทองอาจเป็นเด็กดื้อในสายตาทุกคน แต่ถ้าบอกกล่าวกันดีๆในบางครั้งเนื้อทองก็ยอมรับได้
“สวัสดีค่ะหนูครีม”
ดวงใจผู้มีอาชีพรับปรับบุคลิกภาพทั่วราชอาณาจักรไทยลุกขึ้นยืนต้อนรับเด็กสาวที่เธอเรียนรู้ประวัติมาเป็นอย่างดีก่อนจะรับงานดัดนิสัยเด็กคนนี้ พร้อมกับรอยยิ้มที่แสดงถึงความจริงใจ
เธอเป็นครูที่แสนเจ้าระเบียบมาก่อน รู้ดีว่าควรจะรับมือกับเด็กคนนี้อย่างไร
เพราะถ้าเธอไม่แน่จริงก็คงไม่รับงานที่ดูจะเสี่ยงเสียชื่อเสียงในการทำมาหากินแบบนี้หรอก
“คุณเป็นใครมิทราบ กล้ายังไงมาเรียกชื่อของฉันแบบนั้น”
เนื้อทองตอบกลับด้วยคำพูดแสนหยิ่งผยองโดยไม่สนว่าคนตรงหน้านั้นจะอายุปาเข้าไปเกือบจะรุ่นยายแล้วก็ตาม
เธอไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนมาดัดนิสัยของเธอทั้งนั้น เพราะเธอจะเป็นแบบนี้โดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ด้วยการทำให้ผู้ปกครองของเธอไม่พอใจมันคือความสุขของเธอ และทุกคนก็ต้องยอมรับมันให้ได้ เหมือนกับที่ต้องยอมรับชะตากรรมต้องมาอยู่โรงเรียนประจำแบบนี้
“เนื้อทอง”
ปรียาส่งเสียงดุเด็กสาวเล็กน้อยเพื่อให้เด็กสาวพูดจาให้น่าฟังขึ้นกับคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า
เธอรู้ว่าเนื้อทองคงไม่ชอบที่จะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ แต่ก็ควรจะรักษามารยาทเอาไว้บ้างเดี๋ยวเขาจะหาว่าอาจารย์อย่างเธอไม่สั่งสอน
“บอกเขาด้วยนะ ไม่ต้องพยายามจ้างใครมาหรอก ยังไงก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงคนอย่างเนื้อทองได้”
แทนที่คำดุของอาจารย์จะทำให้เด็กสาวอย่างเธอยอมอ่อนลงและยอมรับชะตากรรม กลับเป็นแรงผลักให้เธอนั้นกล้าที่จะพูดออกมาหมดทุกความคิด
เพราะถ้ายังคงเก็บความคิดนั้นเอาไว้ภายในใจ เธอคงอกแตกตายหลังจากป้าคนนี้กลับไปแล้วแน่ๆ
อีกอย่างเธอก็ไม่ใช่เด็กดีในสายตาของใคร จะทำอะไรลงไปก็ย่อมได้
“เนื้อทองทำไมพูดแบบนั้น”
ปรียาแทบอยากจะลากตัวเนื้อทองออกไปเอาไม้เรียวฟาดก้นสักทีสองทีก่อนค่อยกลับมาคุยกับใหม่ถึงกับใช้น้ำเสียงที่ดุดันมากขึ้นดุเด็กออกไป
ช่างเป็นอะไรที่ขายขี้หน้าเอาเสียเหลือเกินที่เด็กในการดูแลแสดงกิริยาที่ไม่น่ารักออกไปแบบนั้น ราวกับเธอไม่เคยทำการอบรมใดๆเลย
แทบอยากจะเอาหน้ามุดดินหนีไปเสียให้พ้นจากตรงนี้
“ขอตัวนะคะ”
เนื้อทองมองหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่เหมือนกำลังต้องการบีบบังคับให้เธอทำตามอย่างเบื่อหน่ายแล้วก็เดินออกจากห้องรับรองของโรงเรียนไป
เธอเดินกลับไปอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่ได้กลับไปหาชนกันต์เพื่อพูดคุยกันต่อเพราะอารมณ์ยังขุ่นมัวอยู่
ในใจคิดเพียงอยากไปหาที่เงียบๆนั่งสงบสติอารมณ์สักพักกับเรื่องบ้าๆที่เกิดขึ้นเพราะพวกผู้ใหญ่ที่ชอบบงการชีวิตของเธอ
“เชิญไปขึ้นรถค่ะ”
ดวงใจกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามเด็กสาวที่เธอเพิ่งพบหน้าเป็นครั้งแรกและก็เจอดีเขาเลย
จนตามมาทันคว้าแขนเด็กสาวที่หน้าตึกอำนวยการของโรงเรียนประจำแห่งนี้
เธอยังคงยิ้มอย่างจริงใจและใจดีเพื่อให้เด็กสาวยอมขึ้นรถกลับบ้านไปอบรมนิสัยกับเธอ
“ปล่อย”
เนื้อทองถึงขั้นโกรธจนตัวสั่นที่มีคนกล้ามาจับแขนรั้งเธอเอาไว้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เธอหันมาตวาดเสียงดังลั่นทันที โดยไม่สนว่าคนตรงหน้าจะแก่คราวย่าคราวยายแล้วก็ตาม
ไม่ชอบอะไรที่มันดูจะมาวุ่นวายกับชีวิตแบบนี้เลยสักนิด เพราะที่ผ่านมาเธอก็ถูกพวกคนรวยๆนั้นบงการจนต้องมาอยู่โรงเรียนประจำไร้ชีวิตอิสระ และยังต้องให้เธอไปเจอกับอะไรอีก แค่นี้มันก็ควรจะพอแล้วไหม
“อย่าให้ต้องใช้ไม้แข็งนะคะ เชิญค่ะ”
ดวงใจงัดเอาความเป็นครูเจ้าระเบียบของเธอมาใช้กับเด็กสาวที่ดูจะปีกกล้าขาแข็งไม่ยอมใคร
เธอเปลี่ยนจากยิ้มอย่างใจดีมาทำหน้าโหดราวกับจะจับเด็กฉีกออกเป็นชิ้นๆเมื่อยังไม่ยอมทำตาม
“บอกให้ปล่อยไง”
เนื้อทองที่ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้นเพราะเธอผ่านอะไรมาเยอะภายในรั้วโรงเรียนประจำแห่งนี้
เธอดึงแขนของเธอกลับคืนมาด้วยความแรง และผลักอีกคนให้ไปให้พ้นด้วยความแรงเช่นกัน
ไม่สนว่าผลมันจะออกมาอย่างไร ขอแค่ไม่มีใครมาขวางทางเดินของเธอก็พอ
“โอ๊ย”
ดวงใจล้มหงายท้องก้นกระแทกไปกับพื้นคอนกรีตอย่างจัง และนั้นก็ทำให้เธอลุกไม่ขึ้นเพราะความเจ็บแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“สมน้ำหน้า”
เนื้อทองหันมายิ้มเยาะด้วยความสะใจก่อนจะเดินต่อไปอย่างคนอารมณ์ดีที่ได้ระบายอารมณ์ขุ่นมัวออกไปแล้ว
เธอไม่หันกลับมามองอะไรทั้งนั้นว่าสิ่งที่เธอทำลงไปมันจะเป็นอย่างไร เพราะเดี๋ยวพวกคนรวยๆที่เป็นผู้ปกครองของเธอก็จะส่งเงินมาปิดเรื่องนี้เอง
“รู้นะว่าคุณควรจะทำยังไงต่อไป”
นิรุตติ์เลขาของปรินทร์กำลังยื่นเช็คให้กับดวงใจที่เขาเพิ่งว่าจ้างไปเมื่อวันก่อนเป็นค่ารักษาพยาบาลและก็ปิดปาก
เพราะดวงใจนั้นถูกลูกเลี้ยงของปรินทร์ผลักล้มจนสะโพกร้าวถึงขั้นต้องนั่งรถเข็น
เรื่องที่ลูกเลี้ยงของเจ้านายเขาก่อเอาไว้จะต้องถูกปิดเงียบให้ได้มากที่สุดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อรักษาชื่อเสียงของปรินทร์ที่เป็นถึงผู้บริหารระดับใหญ่ของบริษัทผลิตรถยนต์เอาไว้
งานจ่ายเงินปิดปากแบบนี้เขาทำบ่อยเพราะว่าลูกเลี้ยงของเจ้านายนั้นก่อเรื่องวันเว้นวันก็ว่าได้
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ดวงใจรับเช็คในนั้นที่มีมูลค่าหลายหมื่นบาทมาไว้ในมือ แล้วเธอก็รีบให้ญาติที่ตามมาคอยดูแลเธอพาเธอกลับบ้าน
ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับคนในตระกูลที่แสนร่ำรวยนี้อีกแล้ว เพราะมันไม่คุ้มเลยกับที่เธอต้องมาบาดเจ็บถึงขั้นเดินเองไม่ได้แบบนี้
ก่อนหน้านี้มีความตั้งใจจะกอบโกยเงินของคนบ้านนี้ให้ได้เยอะๆแต่ตอนนี้เธอแทบไม่อยากได้แม้แต่บาทเดียวถ้าต้องมาเจ็บแบบนี้
“เรียบร้อยแล้วครับ”
นิรุตติ์เดินกลับมาทำหน้าที่ขับรถให้กับผู้เป็นเจ้านายที่นั่งรออยู่บนรถภายในลานจอดรถของโรงพยาบาลต่อ
หลังจากที่เขาต้องเป็นผู้ลงทำให้หน้าที่รักษาชื่อเสียงของเจ้านายเอาไว้
พร้อมกับกล่าวรายงานตามระเบียบให้เจ้านายฟังคล้ายกับแจ้งเตือนด้วยว่าเขานั้นกำลังจะขับรถกลับแล้ว
เพราะว่าผู้เป็นเจ้านายนั้นกำลังนั่งจ้องมองโทรศัพท์มือถืออย่างเอาเป็นเอาตายไม่สนใจอะไรอย่างอื่นเลย
“เด็กคนนั้นคงนิสัยเหมือนพ่อของเธอ”
ปรินทร์ถอนหายใจพรืดใหญ่ออกมาอย่างเบื่อหน่ายที่ต้องออกมาทำอะไรแบบนี้ทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องมาคอยรับผิดชอบตั้งแต่แรก
งานในมือของเขาก็มีให้ทำตั้งมากมายจนล้นมือไปหมด แล้วยังต้องมาคอยดูแม่ตัวภาระนั้นอีก
“เด็กคนนั้น คนไหนเหรอครับ”
นิรุตติ์แอบมองกระจกหลังเล็กน้อยเพื่อมองหน้าของผู้เป็นเจ้านายก่อนจะเอ่ยถามออกไป
ด้วยเขานั้นรู้ความลับของเจ้านายทุกอย่างว่ามีเด็กในสังกัดกี่คน เขาก็เลยไม่รู้ว่าวันนี้เจ้านายพูดถึงเด็กคนไหน
เขาอยากจะรู้ให้แน่ใจก่อนจะได้พูดคุยไปด้วยได้ถูกต้อง จะได้ไม่ทำให้เจ้านายอารมณ์เสียไปมากกว่าเดิม
“เฮ้อ”
ปรินทร์ถอนหายใจพรืดใหญ่อีกครั้งดังลั่นรถอย่างนึกเบื่อหน่ายในตัวเลขาคนซื่อของเขา
ถ้าไม่ติดว่านิรุตติ์ทำงานเก่งกาจไปเสียทุกเรื่องเห็นทีว่าเขาอาจจะเปลี่ยนเลขาไปนานแล้วก็เป็นได้
เพราะนิรุตติ์มีนิสัยที่ซื่อเอามากๆ บางครั้งเขาพูดอะไรด้วยเพียงไม่กี่คำหวังให้เข้าใจก็ต้องแปลความกันยาวจนเหนื่อยอยู่บ่อยครั้ง
“ขอโทษครับ”
นิรุตติ์แอบยิ้มแห้งๆให้กับความซื่อของตัวเองที่ทำให้เจ้านายต้องถอนหายใจอย่างดังออกมา
ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเด็กที่เจ้านายพูดถึงนั้นไม่ใช่พวกคู่นอนแต่เป็นลูกเลี้ยง
“ฉันจะไปต่างจังหวัดสักวันสองวัน ถ้ามีอะไรด่วนก็ตัดสินใจแทนฉันไปได้เลย”
ปรินทร์ให้เลขาของเขาขับรถมาส่งเขาที่บ้านพักก่อนที่จะส่งให้นิรุตติ์นั้นกลับไปทำงานแทนเขาต่อ
เพราะว่าเขามีเรื่องสำคัญที่คงต้องไปจัดการด้วยตัวเอง เพราะถ้าปล่อยไปแบบนี้แม่ตัวดีนั้นคงต้องเลื่อนเดินทางแน่ๆ
และเขาก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เขาอยากให้ลูกเลี้ยงนอกลำไส้ของเขานั้นไปให้พ้นๆเสียที
“ครับคุณหนึ่ง”
นิรุตติ์ไม่ถามหาเอาความจริงอะไรจากเจ้านายสักคำเพราะเรื่องส่วนตัวของเจ้านายถ้าไม่สั่งกับเขา เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
“แล้วเตรียมเรื่องที่เรียนของเด็กบ้านไร่ให้เรียบร้อยด้วย”
ปรินทร์สั่งเรื่องสำคัญกับเลขาของเขาอีกเรื่องเพราะทันทีที่เขาจัดการดัดนิสัยเด็กคนนั้นเรียบร้อยแล้ว เขาจะจับเด็กคนนั้นใส่เครื่องบินส่งไปให้ไกลที่สุดในทันที
เขาอยากจะพอแล้วหน้าที่พ่อเลี้ยงจอมปลอมที่เขาต้องมาคอยปวดหัวเพื่อรักษาชื่อเสียงบ้าบอของวงศ์ตระกูล
“ครับ”
นิรุตติ์รับคำเจ้านายแล้วก็รีบขับรถกลับออกไปเพื่อทำงานต่อ และรีบเร่งไปทำงานที่เจ้านายสั่งด้วย เพราะว่าปรินทร์ไม่ชอบคนชักช้า