ชีวิต

2112 คำ
“คุณแม่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” ปรินทร์ที่เพิ่งกลับมาจากทำงานในตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทผลิตรถยนต์ที่ซึ่งเขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถึงกับหยุดชะงักรถยนต์ที่กำลังขับอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นเข้ากับรถของผู้เป็นแม่ที่เขามาจอดในบริเวณบ้านของเขา แต่ก็ไม่ถึงขั้นเลี้ยงรถกลับออกไป ยังคงขับรถไปจอดไว้ที่โรงรถเหมือนอย่างปกติทุกวันที่กลับมาบ้าน เขาที่ไม่ค่อยจะลงรอยกับผู้เป็นแม่มากนักทำใจนิดหน่อยก่อนจะก้าวลงจากรถไปพบกับท่านที่คงนั่งรออยู่ภายในบ้านหลังใหญ่ของเขา แม่ของเขามาหาเขาถึงที่บ้านโดยไม่ได้โทรนัดก่อน และก็คงบังคับไม่ให้แม่บ้านของเขาโทรรายงานเขาถึงได้ไม่รู้แบบนี้ มันก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะว่าถ้าเขารู้ล่วงหน้าว่าคนเป็นแม่จะมา เขาก็คงไม่กลับมาบ้าน “แม่จะมาเยี่ยมลูกชายบ้างไม่ได้เหรอ” สุพรรษาที่นั่งรอผู้เป็นลูกชายอยู่ในห้องรับแขกหันมามองผู้เป็นลูกชายตามเสียงทักทายที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนั้นสักเท่าไหร่ เธอส่งยิ้มให้เหมือนกับในทุกครั้งที่ได้เจอ และครั้งล่าสุดก็น่าจะเป็นเมื่อสามปีก่อนได้ ด้วยเธอกับลูกชายที่เกิดจากสามีคนแรกที่ได้ลาจากโลกใบนี้ไปแล้วนั้นไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่ เพราะว่าเธอนั้นแต่งงานใหม่กับคนรุ่นลูกโดยที่ลูกชายไม่เห็นดีเห็นงามด้วย “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญตามสบายครับ” ปรินทร์ยังคงพยายามทำหน้าที่ลูกที่ดีเสมอ ไม่ได้ออกปากไล่ผู้เป็นแม่แม้ว่าจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ที่เห็นผู้เป็นแม่มานั่งในบ้านของเขา ด้วยบ้านหลังนี้ถือเป็นสถานที่ส่วนตัวที่ใครจะเข้าออกจะต้องขออนุญาตจากเขาก่อน และที่ยังใจดีอยู่ก็เพราะว่าผู้เป็นแม่เดินทางมาเพียงลำพังกับคนขับรถส่วนตัวของท่าน โดยไม่มีสามีใหม่ที่เขาเกลียดขี้หน้ามาด้วย “แม่จะมาคุยเรื่องเด็กคนนั้น” สุพรรษาที่ยังดูเป็นวัยรุ่นอยู่มากทั้งหน้าตาและก็การแต่งตัว ยกขาขึ้นไขว่ห้างพร้อมเอนหลังพิงไปกับโซฟาตัวหรู เชิดใบหน้าที่ยังสวยราวสาวแรกรุ่นขึ้นเพื่อพูดคุยกับลูกชาย สายตาจิกมองไปยังลูกชายที่กำลังหย่อนก้นนั่งลงตรงโซฟาตัวตรงกันข้ามกับเธอ เธอทำท่าทางราวกับกำลังเจรจาธุรกิจ เพราะไม่เคยมาก่อนที่จะทำท่าแม่คุยกับลูกแบบคนปกติ เพราะว่าเธอไม่เคยเลี้ยงลูกมาด้วยตัวเอง มีแต่คอยนั่งมองให้พี่เลี้ยงที่สามีในอดีตจ้างมาช่วยเลี้ยง “ครับ” เรื่องเดียวที่ยังทำให้เขาเกี่ยวข้องกับผู้เป็นแม่อยู่ก็คือเรื่องของเนื้อทองลูกเลี้ยงของเขา ทำให้เขาต้องนั่งลงคุยกับผู้เป็นแม่อย่างจะเลี่ยงหนีไปไม่ได้ เพราะอยากตัดขาดความเกี่ยวข้องนี้เต็มทนแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงินเลี้ยงเด็กคนนั้น แต่เขาเบื่อที่จะต้องมารับรู้ปัญหาที่เด็กคนนั้นก่อ “ถ้าแม่นับไม่ผิดเด็กคนนั้นน่าจะใกล้เรียนจบแล้ว” สุพรรษาตั้งท่านับนิ้วต่อหน้าผู้เป็นลูกชายเมื่อต้องการจะนับให้แน่ใจว่าเด็กคนนั้นอายุเท่าไหร่แล้ว เธอพอจะจำได้รางๆเกี่ยวกับปีที่เด็กคนนั้นเกิดมา แต่เดือนหรือวันที่ที่ต้องลงลึกในรายละเอียดนั้นเธอจำไม่ได้เลย เนื้อทองเป็นลูกสาวแท้ๆของลูกเลี้ยงของอดีตสามีของเธอ ที่เป็นเด็กใจแตกมีลูกตั้งแต่อายุสิบห้าเท่านั้น มันก็ไม่ได้มีเรื่องมีราวใหญ่โตอะไรเพราะบ้านของสามีเธอรวย แค่จะมีเด็กเพิ่มมากอีกคนคงไม่เป็นไร แต่ที่ทำให้เด็กคนนั้นเหมือนเป็นตัวปัญหาก็คือพ่อของเด็กดันเป็นสามีในปัจจุบันของเธอ เธอรับได้ที่สามีจะมีสาวเล็กสาวน้อยเพราะว่ามันก็แค่นิสัยเก่าของเขาก่อนที่จะมาอยู่กับเธอ แต่รับไม่ได้ที่จะต้องมาเลี้ยงเด็กคนนั้นด้วยเพราะว่าแม่ของเด็กนั้นหลังจากตั้งท้องก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า พอคลอดเด็กได้ไม่นานก็ฆ่าตัวตาย เนื้อทองในฐานะเด็กกำพร้าที่แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องในสายเลือดของคนรวยก็เลยจำต้องไปอยู่บ้านไร่ ให้ไกลหูไกลตาทุกคน และต้องตกอยู่ในการดูแลของปรินทร์ที่รับเป็นพ่อบุญธรรมให้เพราะไม่อยากให้ตระกูลต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน “ก็คงใช่มั้งครับ” หนุ่มใหญ่ตอบแบบขอไปทีเพราะเขาก็ไม่เคยได้สนอดสนใจอะไรในตัวเด็กคนนั้นเหมือนกัน เขาส่งแต่เงินไปให้ตามที่แดงอ้อยรายงานมาเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นเขาก็แทบไม่รับรู้ หรือถึงรับรู้ก็ไม่ได้จดจำไว้เลย “แม่อยากจะส่งเด็กคนนั้นไปอยู่ต่างประเทศ อยากให้เขาไปมีชีวิตในแบบของเขา และไม่ต้องกลับมาเมืองไทยอีก” สุพรรษาเหลือบมองหน้าผู้เป็นลูกชายเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครห่วงเด็กคนนั้นแล้วจริงๆก่อนจะเอ่ยพูดออกไป เธอทำเหมือนกับตอนที่บอกกับสามีของเธอเมื่อก่อนไม่มีผิด เพราะไม่อยากให้เด็กคนนั้นต้องอยู่ที่เมืองไทยให้เธอต้องระแวงอีกต่อไป พ่อกับลูกไม่ว่ายังไงก็ตัดไม่ขาด วันหนึ่งเกิดสามีของเธอคิดขึ้นมาได้ก็อาจจะกลับไปหากันได้ เธอที่นับวันก็ยิ่งแก่ลงไม่อยากจะถูกทิ้งให้แก่ตายเพียงลำพังก็ต้องเตรียมการเอาไว้บ้าง “ผมจะจัดการเรื่องนั้นให้ครับ” เขาที่ต้องเป็นพ่อเลี้ยงด้วยความจำใจเพื่อรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจไปกับการตัดสินใจของผู้เป็นแม่ “แต่แม่อยากให้หนึ่งส่งคนไปอบรมนิสัยเด็กคนนั้นสักหน่อย แม่ไม่อยากปล่อยไปแบบนั้น” ถึงคนอย่างเธอจะไม่รักไม่ใยดีกับเด็กที่ดันเกิดมาผิดที่ผิดเวลาอย่างเนื้อทอง แต่ก็ไม่อาจปล่อยเด็กคนนั้นไปเติบโตที่ต่างประเทศได้โดยมีนิสัยเกเรแบบนั้น เพราะอย่างไรเนื้อทองก็ใช้นามสกุลเดียวกับเธอและก็ลูกชายที่เป็นนามสกุลของสามีเก่า คงจะขายขี้หน้าพอสมควรถ้าจะมีใครในวงศ์ตระกูลผู้ดีเก่าแก่ผ่าเหล่าผ่ากอแบบนั้น “ครับ” ปรินทร์รับปากออกไปด้วยใจเขาก็อยากทำให้เด็กคนนั้นดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาสักที ไม่อยากต้องได้ยินเรื่องความเกเรของเด็กคนนั้นจนต้องปวดหัวอีก ถึงจะได้โอกาสตัดหางปล่อยเด็กคนนั้นไปอยู่ต่างประเทศ แต่ถ้าทำตัวไม่ดีเขาก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี เสียเวลาส่งคนไปอบรมสั่งสอนสักหน่อย จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายปวดหัวทีหลังอีก “หมดธุระแล้วแม่ขอตัวกลับก่อนนะ” สุพรรษาเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วก็รีบกลับออกไปในทันที ด้วยเธอรู้ดีว่าปรินทร์ไม่ได้ชอบใจนักที่เธออยู่ในบ้านนี้นาน “ผมไม่ไปส่งนะครับ” เขาที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับผู้เป็นแม่ยังคงแสดงออกชัดเจน ด้วยการนั่งมองเธอนั้นเดินจากไป ในฐานะลูกคนหนึ่งเขามองเห็นว่าเธอเป็นแค่ผู้เป็นกำเนิด ไม่ได้มีความรักความผูกพันอะไรอีกแล้ว “ทำไมต้องมารับกลับด้วย” เสียงของเนื้อทองบ่นมาแต่ไกลเมื่อเห็นว่าบุญส่งมาจอดรถรอรับเธอกลับบ้านที่ตรงบริเวณหน้าหอพัก พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ราวกับว่าจะระเบิดความไม่พอใจนั้นใส่บุญส่งให้ได้ “คุณหนึ่งสั่งมานะครับ” บุญส่งอ้างผู้เป็นเจ้านายออกไปพร้อมกับเปิดประตูรถเตรียมให้เด็กสาวนั้นขึ้นไปนั่ง “หนูไม่อยากกลับ ลุงไปบอกเขาด้วยแล้วกัน” เด็กสาวในชุดนักเรียนมอปลายส่ายหน้าไปมาบอกปฏิเสธเมื่อไม่ต้องการกลับบ้าน ที่บ้านนั้นไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเลยสักอย่างจะให้เธอกลับไปทำอะไร มีแต่ต้นไม้ใบหญ้าที่แสนน่าเบื่อ กับคนแก่ๆอีกสองคน “ไม่ได้นะครับ ถ้าคุณหนูดื้ออาจถูกคุณพ่อดุเอาได้นะครับ” บุญส่งพยายามพูดให้เด็กสาวยอมกลับไปตามที่ผู้เป็นเจ้านายและก็เมียกำชับมา เพราะว่าที่ไร่นั้นมีคนมารออบรมบ่มนิสัยคุณหนูอยู่ ถ้าพาเธอกลับไปไม่ได้เขาโดนทั้งเจ้านายและก็เมียด่ายับแน่ “แล้วจะให้กลับไปทำอะไร อยู่ทำกิจกรรมที่โรงเรียนสนุกกว่าตั้งเยอะ” เด็กสาวเดินเบี่ยงตัวหลบรถกระบะคันเก่าๆที่เธอแสนเกลียดเพราะเพื่อนๆชอบเอามาล้อเธอเป็นประจำว่าบ้านเธอนั้นรวยปลอมถึงไม่มีรถใหม่ๆนั่งกับเขากลับเข้าไปยังหอพักหญิง เธอจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงวันเรียนจบ ไม่มีทางที่จะกลับที่ไม่ใช่บ้านนั้นแน่นอน อย่างว่าแต่กลับไปเลย แค่คิดก็รู้สึกรัดทนจะแย่แล้ว ไม่คิดเลยว่าเธอจะโทรมาได้ภายในบ้านที่มันไม่ใช่บ้านหลังนั้น “คุณหนู” บุญส่งได้แต่ส่งเสียงตะโกนเรียกหาคุณหนูของเขา โดยไม่สามารถเดินตามเธอไปได้ ด้วยนั้นมันเป็นหอพักหญิงที่ห้ามผู้ชายเขาโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่สามารถบอกคุณหนูออกไปได้ว่าจะต้องพากลับบ้านไปทำอะไร เพราะกลัวเธอจะอาระวาดใส่เขาก่อนจะได้ตัวกลับบ้านไป และเขาก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า กลับไปรับชะตากรรมโดนทั้งเจ้านายและก็เมียด่า “อ้าวไอ้แก่ ทำไมไม่พาคุณหนูกลับมา เห็นไหมว่าคุณเขามารออยู่นะ” แดงอ้อยที่ออกมายืนรอสามีด้วยอาการร้อนรนนั่งไม่ลงอยู่ตรงหน้าบ้านถึงกับถามออกไปด้วยน้ำเสียงผิดหวังเมื่อไม่เห็นคุณหนูกลับมากับสามีของเธอ ก่อนจะเหลือบมองเข้าไปภายในบ้านด้วยกลัวว่าคนที่นั่งรออยู่ด้านในจะออกมาและโทรไปฟ้องเจ้านายของเธอ จนทำให้คุณหนูของเธอเดือดร้อน “ก็คุณหนูวิ่งกลับเข้าไปในหอพักหญิง กูจะวิ่งตามเข้าไปได้ยังไงล่ะ” คนแก่วัยเกือบจะเจ็ดสิบอย่างบุญส่งเดินลงมาจากรถด้วยอาการคอตกเมื่อเจอฤทธิ์ของคุณหนูตัวแสบเข้าไป เขาไปรับดีๆแทนที่เธอเป็นเด็กจะขึ้นรถกลับมาด้วยอย่างว่าง่าย แต่เปล่าเลยเธอกลับเดินหนีเขาไปอย่างไม่สนใจใยดี “แล้วจะทำยังไงล่ะ” แดงอ้อยถึงกับออกอาการคิดไม่ออก ไปต่อไม่เป็น เพราะเนื้อทองไม่ใช่เด็กธรรมดา ลองเธอปฏิเสธไม่ยอมกลับมาแบบนี้ ให้เอาอะไรไปล่อ ไปแลก ไปยื่นให้เธอก็ไม่มีทางกลับมาแน่นอน “ให้คุณเขาไปรับเองซิ เห็นว่าเก่งกาจมาจากกรุงเทพ” บุญส่งแสดงความคิดเห็นอันฉลาดปราดเปรื่องออกไป เพราะว่าอยากให้คนที่ชูคออวดดีอยากจะมาดัดนิสัยคุณหนูของเขาต้องเจอดีกลับไปบ้าง ด้วยเขาพอจะรู้มาบ้างว่าแม่คนนั้นที่นั่งชูคอยาวอยู่ในบ้านเป็นถึงอาจารย์รับสอนมารยาทผู้โด่งดัง อยากจะรู้นักถ้าเจอคุณหนูเนื้อทองเข้าไปจะเป็นอย่างไร อาจทำให้คอยาวๆนั้นหดลงมาบ้างก็เป็นได้ “เออใช่” แดงอ้อยที่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับความคิดของสามีสักเท่าไหร่กลับเห็นด้วยกับความคิดนั้น และเธอกับสามีก็พากันเดินเข้าไปภายในบ้านด้วยอาการคอตกผิดหวังที่ไม่อาจพาตัวคุณหนูกลับมาจากหอพักได้ แสดงให้คนที่นั่งรออยู่ภายในบ้านได้เห็นว่าควรจะไปรับตัวคุณหนูเนื้อทองมาด้วยตัวเอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม