“ไม่ต้องล้างเองหรอกรอให้ป้าเจียมมาทำ เธอกลับบ้านไปได้แล้ว” สั่งเสียงเข้มหลังทานอาหารทำให้มือบอบบางของปาริฉัตรสะดุดกึกอยู่ที่เดิม รู้สึกดีใจที่หันหลังให้เพราะอัศวเมฆินทร์จะได้มองไม่เห็นว่าตอนนี้หล่อนกำลังยิ้มกว้างมากแค่ไหน เสียงเขาออกจะห้วนๆ แต่นี่ถือเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่เขายอมคุยกับหล่อนในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา
หญิงสาวหน้าหวานแอบหันกลับไปมองก็เห็นเขาพยุงกายเดินกลับเข้าไปในห้องโถงของบ้าน
“สาธุ ขอให้ใจอ่อนเร็วๆ จีบมานานแล้วนะ”
ปาริฉัตรยิ้มแฉ่งรีบล้างมือก่อนเตรียมตัวกลับ ไม่ลืมที่จะบอกลาเขาก่อนไม่ได้หวังว่าเขาจะตอบกลับอะไรก็แค่อยากบอกเท่านั้น
คล้อยหลังได้อยู่บ้านคนเดียวนั้นอัศวเมฆินทร์ก็รู้สึกเหงาแปลกๆ หยิบโทรศัพท์ออกมาเห็นรูปคู่หน้าจอของตนเองกับวารสา รูปเดิม… ยังรักเหมือนเดิม แต่อะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ปลายนิ้วเลื่อนดูรายชื่อเห็นเบอร์ของวารสาก็ถอดใจเลื่อนหาเบอร์เพลิงกัลป์เพื่อต่อสายหา
‘ไอ้เมฆ แกกลับมาเมืองไทยแล้วเหรอวะก่อนหน้าฉันติดต่อแกไม่ได้ตั้งหลายเดือน’
“เออ เพิ่งกลับมาถึงช่วงเที่ยงวันนี้เอง”
‘อย่างนั้นก็กลับมาเวลาใกล้ๆ กันเลยสิวะ!’ ลืมตัวหลุดปากออกไปก่อนรีบเปลี่ยนเรื่อง ‘เอ่อ… ไม่มีอะไรหรอก แล้วนี่ขาแกเป็นยังไงบ้าง’
หมายถึงวารสาสินะ…
อัศวเมฆินทร์ยิ้มเยาะๆ สะบัดศีรษะแรงๆ ไล่เรื่องราวของหล่นออกไปจากสมอง
“หายแล้วแต่ไม่มีใครยอมเชื่อ ไม่ยอมให้หยิบจับอะไรคอยพยุงฉันเหมือนเป็นไอ้คนขาดขา แม่เลี้ยงฉันอยากให้ทำกายภาพอีกหน่อยแต่หงุดหงิดว่ะ จะทำอะไรนักหนา”
‘เอาน่า จะได้ชัวร์ๆ ไง’
“ชัวร์มาตั้งแต่อยู่อเมริกาแล้วถึงได้บอกไงว่าหายแล้ว แถมยังวิ่งไล่เตะแกได้สบายๆ เลยนะบอกไว้ก่อน”
ยังไม่วายพูดติดตลกให้ฝ่ายนั้นได้หัวเราะ อัศวเมฆินทร์รู้สึกไม่ค่อยดีนักแม้ในวินาทีนี้ เสียงของเพลิงกัลป์หัวเราะออกมาจากใจจริงต่างจากเขาที่แค่ต้องพูดคุยให้เป็นธรรมชาติที่สุดยังต้องฝืน
‘เออ ให้มันแน่เถอะ’
“ไอ้เพลิง…”
‘ว่า?’
อัศวเมฆินทร์สูดลมหายใจลึกก่อนถาม
“สากลับมาแล้วเหรอ”
‘อืม กลับมาวันนี้เอง คว้าใบปริญญามาแปะฝาบ้านได้อีกใบ คุณย่าคุณพ่อคุณแม่ยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียม นี่ก็เข้านอนตั้งแต่มาถึงบ่นว่าเพลียสงสัยจะปรับเวลายังไม่ได้มั้ง’
ไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทถามหาทำไม ก่อนหน้านี้ไม่เคยถามถึงวารสาสักครั้งแต่กระนั้นเพลิงกัลป์ก็ตอบไปตามตรงไม่ได้อคติอะไร
เขามันคนกลางจะทำอะไรก็ต้องระวังตัวเอง
คนหนึ่งเพื่อนสนิทส่วนอีกคนก็น้องเมีย คงทำได้แค่ยืนอยู่ตรงกลางคอยมองดูเงียบๆ
“เก่ง…”
ชมเสียงราบเรียบเหมือนไม่ได้ดีใจด้วยเลยสักนิด นั่นเป็นสิ่งที่คนปลายสายสัมผัสได้ แต่คนปลายสายหรือจะเห็นว่าตอนนี้ริมปากของอัศวเมฆินทร์กำลังมีรอยยิ้ม
เป็นรอยยิ้มจากใจจริงในรอบปี
‘แล้วนี่แกจะเอายังไงต่อไป จะเลิกกับสาจริงๆ เหรอ แล้วเรื่องขาจะบอกสาไหม แล้วคู่หมั้นของแกอีก เยอะชะมัดปัญหา’ อดไม่ได้เพลิงกัลป์ก็บ่นอุบอิบไปตามระเบียบ
“…”
‘เออๆ ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบเอาที่สบายใจ แกอยากคุยกับสาไหมจะเรียกให้’
“ไม่ต้อง… ไม่ต้องบอกอะไรสาทั้งนั้น”
‘ทำไมวะไอ้เมฆ ก่อนหน้านี้กับสารักกันจะเป็นจะตาย พอสาขอไปเรียนต่อแกก็ไปโกรธไปเกลียดสาทั้งที่สาทำไปก็ไม่ได้หนักหนาอะไรถึงกับรอไม่ได้ แกมีอะไรในใจหรือเปล่าวะ’
“…”
‘แล้วนี่เดินไม่ได้ก็ไม่ยอมให้สารู้ เลิกกันไปซะเฉยๆ ทั้งที่เกือบจะได้แต่งงานกันแล้ว เป็นอะไรของคุณมึงครับไอ้เหี้ยเมฆ กูล่ะมึนกับมึงจริงๆ ถ้าอยู่ใกล้จะกระโดดถีบให้จมตีน!’
“เลิกกันไปแล้วจะบอกให้มันได้อะไร”
‘ขอบอกเต็มปากเลยว่าสาไม่เคยบอกว่าเลิกกับมึง อย่างนี้ก็หมายความว่ามึงโสดอยู่คนเดียวมั้ง’ เหน็บเข้าให้
“พอเถอะ เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันอีก”
‘มันน่าไหมล่ะ!’
“ไม่รู้!”
‘ไอ้เวรเอ๊ย หรือสิ่งที่มึงกลัวคือสาจะรับไม่ได้วะ’
“...”
‘รักจริงต้องรับได้อยู่แล้ว แต่ถ้าสารับไม่ได้แกก็จะได้รู้ไงว่าสาไม่คู่ควรมายืนเคียงข้างมึง นี่ฟ้าประทานโอกาสพิสูจน์ใจมาให้แล้วก็รับๆ ไว้ซะเข้าใจไหมครับไอ้คุณเพื่อน!’
“ไม่ต้องมาเสือกสอน!” ตอบเสียงห้วน
‘เออ! ไอ้เวรเมฆ กูมันขี้เสือกเอง สอนไม่ได้เพราะกูไม่ใช่พ่อมึง แต่เดี๋ยวเถอะๆ คืนนี้กูจะทำพิธีปลุกพ่อคินมาเข้าฝันสั่งสอนมึง!’ เพลิงกัลป์พาดพิงไปถึงคุณเมฆินทร์ บิดาผู้ล่วงลับของอัศวเมฆินทร์
“โธ่โว้ย! อะไรนักหนาวะไอ้เวรเพลิง ถ้ามึงจะอารมณ์เสียก็อารมณ์เสียไปคนเดียวเลยไป แค่นี้นะ!” อัศวเมฆินทร์ก็ตัดสายทิ้งอย่างเร็วก่อนโยนโทรศัพท์ทิ้งลงเบาะโซฟา ตีอกชกหมัดใส่อากาศให้สาสมกับความอัดอั้นตันใจ ไม่มาเป็นเขาใครจะเข้าใจความรู้สึกวะ!
.................
ติดตามตอนที่ 2 ในหน้าถัดไป