“มาแล้วค่ะ คุณต้นมาแล้วค่ะ”
เวียงสาย สาวใช้จอมจุ้นรีบวิ่งมาบอกผู้เป็นนายทันทีที่รถยนต์ของติณณพัฒน์ ทายาทคนโตของติณณ์กับจณิสตา โยธากิติกุล เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าประตูบ้าน ลลิตารีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนของบ้านอย่างเร่งรีบเพื่อดำเนินแผนการที่วางไว้
“มาแล้วพี่พั้นช์ หลานต้นของพั้พท์มาแล้วค่ะ”
ลลิตาเอ่ยบอกพี่สาวที่นั่งอยู่บนเตียง ทำให้ทุกคนเริ่มแผนการที่วางไว้ทันที จณิสตาล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยมีร่างของติณณ์สามีสุดที่รักนั่งกุมมือบางเอาไว้ไม่ห่างพลางตีสีหน้าเศร้าสร้อยตามแผน ส่วนลลิตากับตุลา ยืนหน้าละห้อยอยู่ที่ปลายเตียง ไม่ถึงหนึ่งนาทีร่างของติณณพัฒน์ก็เดินเข้ามาในห้องนอนของบิดามารดาด้วยสีหน้าตื่นตกใจไม่น้อย
“คุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ” คนที่เข้ามาใหม่เอ่ยถามมารดาด้วยความเป็นห่วงขณะทรุดกายนั่งริมเตียง พลางกุมมือจณิสตาเอาไว้แน่น
“แม่ แม่ไม่เป็นอะไรหรอกลูก” จณิสตาแกล้งทำเป็นเหนื่อยหอบ ไร้เรี่ยวแรง ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย
“ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมเสียงเป็นแบบนี้ล่ะครับ”
“แม่ แม่แค่เหนื่อย...เหนื่อยใจ เท่านั้นเองลูก”
“ทำไมคุณพ่อไม่พาคุณแม่ไปหาหมอล่ะครับ ทำไมปล่อยให้คุณแม่เป็นแบบนี้”
ติณณพัฒน์เงยหน้าถามบิดาที่นั่งกุมมือมารดาไว้ไม่ยอมปล่อยอยู่ข้างๆ เขาอดสงสัยไม่ได้เพราะบิดารักมารดามาก แต่ทำไมไม่ยอมพามารดาไป หาหมอเพื่อรักษาอาการ ปล่อยให้ป่วยหนักขนาดนี้ เขาไม่เข้าใจจริงๆ
“มีเหรอที่พ่อจะไม่พาแม่ไปหาหมอ พ่อพาไปแล้ว แต่หมอบอกว่าแม่ไม่ได้เป็นอะไร” ติณณ์ตอบลูกชายเสียงแผ่ว
“ไม่ได้เป็นอะไร แล้วทำไมคุณแม่ถึงหน้าตาซีดอย่างนี้ล่ะครับ หน้าตาซีดเหมือนไข่ต้ม ดวงตาคล้ำ น้ำเสียงยังระโหยโรยแรงเหมือนคน...คนป่วยแบบนี้” เขาไม่กล้าพูดคำว่าใกล้จะตายออกไป จึงเลี่ยงไปใช้คำว่าคนป่วยแทน
“หลานต้น แม่ของหลานไม่ได้ป่วยทางกายหรอกลูก แต่ป่วยทางใจจ้ะ” ลลิตาน้าสาวบอกหลานชาย
“ป่วยทางใจ หมายความว่ายังไงครับคุณน้า”
“ก็หมายความว่าแม่ของหลานกำลังตรอมใจอยู่ยังไงล่ะ”
“ตรอมใจ ตรอมใจเรื่องอะไรครับ” ติณณพัฒน์ถามต่อด้วยความสงสัย
“ตรอมใจเรื่องหลานนั่นแหละ พี่พั้นช์ท้อใจเรื่องหลานต้น ก็หลานต้นไม่ยอมแต่งงานเสียทีอายุก็ปาเข้าไปจะสามสิบหกแล้ว พี่พั้นช์ก็อายุมากขึ้นทุกวัน อยากอุ้มหลานมากๆ เลย หลานที่เป็นลูกของหลานต้น แต่วาสนาของพี่พั้นช์คงไม่ได้อุ้มลูกของหลานต้นแน่ๆ เลย หมอบอกว่า บอกว่า...ฮือ”
ลลิตาตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จให้ติณณพัฒน์ฟังอย่างแนบเนียน แถมปล่อยโฮออกมาในตอนท้ายเพิ่มความสมจริงเข้าไปอีก โดยไม่ลืมที่จะทิ้ง ประโยคท้ายให้หลานชายได้ถามต่อ
“บอกว่าอะไรครับ บอกว่าอะไร” คำถามของติณณพัฒน์นั้นเป็นไปตามแผนที่วางไว้เป๊ะ
“หมอบอกว่า แม่จะอยู่กับเราอีกไม่นาน ดูสิ...ขนาดพูด แค่นี้แม่ยังเหนื่อยเลย จะกินแต่ละครั้งยังยกช้อนแทบไม่ได้ พ่อต้องเป็นคนป้อน จะอาบน้ำก็ไม่มีแรงยืน พ่อก็ต้องอาบให้ จะใส่เสื้อ พ่อก็ต้องเป็นคนใส่ให้ ที่สำคัญแม่เราน่ะนอนอยู่บนเตียงมาสองวันแล้วเพราะขาไม่มีแรงยืน จะมีได้ยังไงในเมื่อแม่กำลังตรอมใจ ประสาทก็เลยไม่สั่งการ โถ...พั้นช์ของคุณติณณ์”
ติณณ์ยกมือนุ่มของภรรยามาแนบไว้ที่แก้มสากของเขา ตีหน้าเศร้าสุดฤทธิ์ขณะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือให้ดูสมจริง
ติณณพัฒน์อึ้งไปพักหนึ่ง หลังจากที่ได้ยินคำพูดของบิดากับน้าสาว นี่เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า ไม่ได้กลับมาบ้านหลังนี้หนึ่งสัปดาห์ มารดาของเขาป่วยหนักขนาดนี้เลยหรือ อีกทั้งยังป่วยทางใจของมารดามีเขาเป็นสาเหตุ
เรื่องหลานก็เหมือนกัน ใช่ว่าบิดามารดาจะไม่มีหลาน แฝดร่วมท้องเดียวกันต่างมีครอบครัวไปหมดแล้ว และทุกคนก็มีหลานมาให้มารดาของเขาอุ้มกันทุกคน กัณณพัฒน์แฝดคนที่สองมีลูกชายหนึ่งคน วนิสราแฝดคนที่สามก็มีลูกสาวฝาแฝด ชนิสราแฝดคนสุดท้องก็มีลูกสาวหนึ่งคน รวมทั้งหมดมารดาของเขามีหลานสี่คน แค่นี้ยังอุ้มไม่หวาดไม่ไหว แล้วทำไมต้องมาอยากอุ้มลูกของ เขาด้วย ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว
“คุณแม่ครับ ผม...”
ติณณพัฒน์เหมือนคนน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะเริ่มต้นพูด ตรงไหนก่อน ครั้นจะบอกออกไปแบบที่ใจคิดว่าไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากมีลูก ไม่อยากมีครอบครัว อยากอยู่เป็นโสดไปอย่างนี้เรื่อยๆ เขาก็เกรงว่าอาการของมารดาจะทรุดหนักไปมากกว่านี้ ติณณพัฒน์ไม่เคยได้รับการกดดันครั้งไหนมากเท่าครั้งนี้เลย
“ฮือ ฮือ ชาตินี้พั้นช์คงไม่ได้อุ้มลูกของต้นแน่ๆ เลย ฮือ ถ้าลูกของ ต้นเกิดมาหลังจากที่พั้นช์ตายไป คุณติณณ์ช่วยเผารูปถ่ายมาให้พั้นช์ดูด้วยนะคะ พั้นช์จะได้รู้ว่าหน้าตาหลานจะน่ารักมากแค่ไหน ฮือ ฮือ”
จณิสตาพูดไปร้องไห้ไป เมื่อเห็นว่าลูกชายคนโตยังไม่ยอมรับปากว่าจะมีลูกมีเมีย แผนขั้นต่อไปจึงเริ่มขึ้นเพื่อความสมจริง นางตะแคงร่างหันไปทางสามี หยิบขวดน้ำตาเทียมมาหยดบริเวณรอบดวงตา พร้อมกับส่งเสียงสะอื้นดังขึ้นกว่าเก่า
ติณณพัฒน์เหมือนมีก้อนสะอึกมาจุกแน่นที่คอทันที เขาพูดไม่ออก ดูเหมือนตอนนี้เขาจะกลายเป็นใบ้ไปแล้ว หลาน หลาน หลาน เขาจะมีหลานได้อย่างไร แฟนเขายังไม่มีเลย แล้วไม่คิดจะมีด้วย
โอ๊ย...อยากจะบ้า!
“โถ...พั้นช์ของคุณติณณ์ อย่าร้องไห้นะครับ ดูสิร้องไห้จนตาบวมหมดแล้ว อย่าเป็นอะไรนะครับ ถ้าพั้นช์เป็นอะไรไป คุณติณณ์จะอยู่ยังไง”
ติณณ์พูดเสียงเศร้าแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะนำไปเช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากดวงตาของภรรยาสุดที่รัก
“น่าสงสารพี่พั้นช์เหลือเกิน ดูสิร้องไห้จนตาบวมจริงๆ ด้วย ฮือ น่าสงสารเหลือเกิน พี่พั้นช์อย่าเป็นอะไรนะคะ ไม่ได้อุ้มลูกของหลานต้นก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ถือว่าหลานต้นเป็นเกย์ เป็นกะเทย ไม่ชอบมีแฟนเป็นผู้หญิง ชอบกินข้าวเหนียวถั่วดำ คิดอย่างนี้สบายใจกว่าเยอะเลยค่ะพี่พั้นช์ ฮือ”
ลลิตาพูดให้พี่สาวสบายใจจะได้ไม่ต้องทุกข์ แต่คนที่ไม่สบายใจและ ร้อนตัวกลับเป็นผู้ถูกกล่าวหา ติณณพัฒน์สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคำพูดของน้าสาว เขาแก้ตัวออกไปทันที
“ผมไม่ได้เป็นเกย์ ไม่ได้เป็นกะเทย แล้วก็ไม่ได้ชอบกินข้าวเหนียวถั่วดำด้วย ผมแมนทั้งแท่ง ถ้าผมไม่แมนผู้หญิงไม่ติดกันทั้งบ้านทั้งเมืองอย่างนี้หรอกครับ”
ติณณพัฒน์ไม่ได้แก้ตัวเท่านั้น ยังคุยโวทับไปอีกด้วย ไม่ผิดที่เขาจะพูดออกไปอย่างนั้น ติณณพัฒน์เป็นหนุ่มเนื้อหอมคนหนึ่งในเมืองไทย มีสาวๆ มากหน้าหลายตามาติดพัน ทั้งดารา นักร้อง ลูกผู้ดีมีตระกูล หากแต่เขาไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงคนไหนทำตัวเป็นพ่อมาลัยลอยชายอยู่จนถึงทุกวันนี้
“ถ้าหลานไม่ได้เป็นเกย์ ไม่ได้เป็นกะเทย แล้วทำไมถึงไม่มีแฟนล่ะ หรือว่ายังไม่แน่ใจว่าหลานต้นจะเป็นอะไรดีระหว่างเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย” ตุลาที่นิ่งเงียบอยู่นานเอ่ยออกมา
ติณณพัฒน์อยากจะเอาหัวโหม่งกำแพงตาย อาหนุ่มของเขาคิดได้ยังไงเนี่ย เขาไม่ใช่พวกจิตสับสนเสียหน่อย จึงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นหญิงหรือชาย