“แสนหนึ่งค่ะ”
มือที่กำลังกดบันทึกเบอร์บัญญชีชะงักเล็กน้อย ใบหน้าคมคายหล่อเหลา หันไปมองใบหน้าสวยใสแทบจะทันที ด้วยไม่เชื่อหู ว่าผู้ต้องสูญเสียสิ่งหวงแหนในชีวิต จะต้องจ่ายค่านายหน้าหนักขนาดนี้
“แจ้สเอาตั้งห้าหมื่นเลยเหรอ แล้วคุณจะเหลืออะไรล่ะนี่”
“แสนหนึ่งค่ะ”
หญิงสาวตอบไปตามประสาซื่อ มือก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบแก้เก้อเขิน เพราะเขาคุยราวกับเป็นเรื่องทั่วไป ไม่ใช่เรื่องการขายพรหมจรรย์ด้วยซ้ำ
“ค่าเทอมที่คุณต้องจ่ายเท่าไหร่” เขาซักต่อ
“สองหมื่นสองค่ะ”
“แล้วที่เหลือคุณจะเอาไปทำอะไร”
“เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนของฉัน...เอ่อ...ของเดียร์กับแม่ค่ะ”
“เช่น”
“เอ่อ! ค่ารถ ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าอาหารเราค่ะ”
“อ้าว! แล้วคุณจะจ่ายทำไมล่ะ ในเมื่อบ้านคุณป้าก็ทำกับข้าวอยู่แล้ว แค่ตักไปกินเท่านั้นก็ประหยัดได้หลายพันนะ”
“เอ่อ! ซื้อกินเองสบายในดีกว่าค่ะ”
หญิงสาวอยากตอบออกไปอีกเหลือเกินว่า จะได้ไม่ต้องกินของเหลือคุณผู้หญิงกับลูกๆ และไหนจะบริวารที่คอยเลียเจ้านายอีก แต่ก็คิดขึ้นได้ว่าเขาเป็นใครเกี่ยวข้องกับคนบ้านใหญ่ยังไง เลยเปลี่ยนความคิด
“จ่ายเยอะขนาดนี้ จะเหลือไว้เป็นค่าเทอมสุดท้ายเหรอ แล้วถ้าไม่พอคุณจะจะทำยังไง”
“เอ่อ! เดียร์จะไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารกับเพื่อนค่ะ”
เพราะนี่เป็นความคิดใหม่ที่เพิ่งผุดขึ้นมาในหัว ตอนมีปัญหาจากคุณผู้หญิงเมื่อไม่กี่วันเท่านั้น แต่ปริยกรก็ไม่รู้ว่า บริษัทที่จะต้องไปฝึกงานกับร้านอาหารที่เพื่อนทำนั้น จะใช้เวลาเดินทางนานแค่ไหน แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องคิดเอาไว้ก่อน
“ได้ค่าแรงเท่าไหร่ แล้วจะะเอาเวลาไหนทำ ในเมื่อคุณต้องเรียน”
ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่ค่อยชอบใจนัก แค่เพียงได้ยินว่าคนสวยๆ รูปร่างผอมบางอย่างนี้จะไปทำงานแบบนั้น วันๆ ก็คงถูกสายตาผู้ชายนับร้อยคอยมอง คอยลามเลียอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งก็รู้ว่าว่าทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยนั้นเหนื่อยมากแค่ไหน
“เทอมหน้าไม่ต้องเรียนค่ะ แค่ฝึกงานเท่านั้น ทำได้หลังเลิกงานค่ะ”
“เหนื่อยแย่ แล้วถ้าได้งาน คุณคิดว่านายจ้างจะให้ค่าแรงเท่าไหร่”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ อาจจะประมาณสามร้อยไม่รวมทริปค่ะ”
“ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง”
“เอ่อ! เห็นเพื่อนว่าตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืนค่ะ แต่ยังไม่รู้ว่าเลิกงานแล้วจะมาทันทำงานหรือเปล่า อาจจะต้องคุยกับเจ้าของร้าน ขอเข้าช้าหรือขอทำงานไม่ครบตามชั่วโมงที่จ้างแล้วให้หักค่าแรงออกค่ะ”
“แปลว่าไม่มีอะไรแน่นอนเลยตอนนี้ แล้วถ้าได้ทำงาน เลิกดึกขนาดนั้น คุณจะกลับบ้านยังไง”
“เอ่อ! อาจจะไปนอนห้องเพื่อน ช่วยแชร์ค่าเช่าค่ะ”
“อ้าว! ไหนว่าแม่คุณไม่เจ็บออดๆ แอดๆ ไง ถ้าคุณไปทำงานแล้วไหนจะฝึกงานอีก คุณจะมีเวลามาหาแม่เหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ยังไม่ทันได้คิดหรือวางแผนอะไรแน่นอนค่ะ แต่คงจะไปหาแม่ได้ในวันหยุดค่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ส่วนมือก็กดมือถือไป
“ขอชื่อเต็มๆ กับเบอร์มือถือคุณหน่อยสิ”
หญิงสาวให้ตามคำขอแต่โดยดี ไม่นานก็มีเสียงเตือนเข้ามือถือมา พอยกขึ้นดู ดวงตาคู่สวยก็เบิกขึ้น
“เอ่อ! คุณโอนเงินผิดหรือเปล่าคะ”
เพราะเท่าที่ได้ยินแจ้สบอกก็คือ แสนห้า มัดจำแล้วห้าหมื่น เขาจะต้องจ่ายส่วนที่เหลือหนึ่งแสนบาทถ้วนแค่นั้น แต่จำนวนที่ปรากฏบนหน้าจอตอนนี้คือห้าแสน เลยคิดว่าเขาอาจจะจำผิด กดผิดหรือเข้าใจอะไรผิดๆ เข้าให้แล้ว
“ไม่ผิดหรอก! ถือว่าผมให้เป็นทุนการศึกษาของคุณก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องไปทำงานกลางค่ำกลางคืนไง ตั้งใจเรียนให้จบดีกว่า”
ปริยกรน้ำตาเอ่อเต็มเบ้า สองมือบางยกขึ้นไหว้เขาด้วยความขอบคุณ ไม่คิดไม่ฝันว่าท่ามกลางเรื่องร้ายๆ ที่พบเจอมา ก็ยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตบ้าง
“แล้วที่บอกว่าคุณจะไม่ทำ...”
เขาล่ะเอาไว้แค่นั้น แต่สาวผู้เพิ่งเสียพรหมจรรย์มาก็เข้าใจได้ดี ใบหน้าสวยก้มลงจ้องมองกาแฟในแก้ว แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกไป
“ค่ะ”
“แล้วถ้าเกิดผม เอ่อ...”
อีกครั้งที่เขาละไว้แค่นั้น และอีกครั้งที่หญิงสาวเข้าใจในความหมายนี้ได้ดี แต่ไม่คิดจะเอ่ยอะไรออกมา นอกจากก้มหน้าหนีอายไปหาแก้วกาแฟเหมือนเดิมเท่านั้น
นั่นทำให้เขาเดาไม่ออก ว่าคนตรงหน้าเข้าใจความหมายอย่างแท้จริงหรือไม่ เลยตัดสินใจเอ่ยออกมาอีก
“แล้วถ้ามีงานพิเศษ อยากจะเสนอให้ล่ะ คุณจะสนใจบ้างมั้ย”
เขาละสิ่งที่เพิ่งคิดได้ในวินาทีนี้เอาไว้ก่อน แล้วจ้องมองคนตรงหน้าว่าจะมีท่าทียังไง ก็ได้เห็นแต่ใบหน้าสวยใส มองเขาด้วยความอยากรู้ ในแบบเด็กแสนซื่อไร้เดียวสา
“งานอะไรคะ”
คนที่คิดจะว่าจ้าง นิ่งนิดหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกไปด้วยความมั่นใจ
“เป็นผู้หญิงของผม และต้องมีผมคนเดียวด้วยนะ เอาคร่าวๆ สักหกเดือนก่อนก็แล้วกัน”
ถ้าอยากผูกปิ่นโต กับสาวไซด์ไลน์คนไหน เขาไม่คิดจะให้เวลานานขนาดนี้ เพราะกลัวเบื่อก่อน แต่สำหรับคนตรงหน้า มีความสงสารเป็นเครื่องนำพา ให้เสนอเป็นระยะเวลายาวนานสุดเท่าที่เคยมีมา
“ผมให้เดือนละหนึ่งแสนบาท”
เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ตอบอะไร เลยบอกต่อ และโดยปกติแล้วผู้ช่วยเขาจะเป็นคนจัดการเรื่องผู้หญิงให้มากกว่า แต่เพราะอะไรเขาก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะเสียดายความสาว ความสวยของคนตรงหน้าก็ว่าได้
“เอ่อ!”
คนถูกทาบทามมีท่าที่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออกอีก
“ที่ผมเสนอแบบนี้ก็เพราะเห็นว่าเรา เอ่อ...รู้จักกันแล้ว คงจะอยู่ด้วยกันได้ไม่ยาก อีกอย่าง เงินห้าแสนที่คุณมีน่ะ ถ้าจะเอาไปใช้จ่ายมันก็ครึ่งๆ กลางๆ ทำอะไรได้ไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่ถ้าได้เดือนละแสนจากผมอีก นับจากเดือนนี้ไปจนถึงคุณเรียนจบก็ห้าหรือหกเดือน คุณก็จะมีเงินเพิ่มเอาไว้เป็นทุนตอนหางานทำไง”
ปริยกรสับสนจนคิดอะไรไม่ออก แม้จะดีใจที่อาจจะได้อยู่ใกล้เขาต่อ แต่ยังมองไม่เห็นทาง ว่าจะอยู่กับเขาได้ยังไงไม่ให้แม่หรือคนบ้านใหญ่รู้