บทที่๑

1465 คำ
ร่านดอกรัก บทที่1 หญิงสาวร่างระหงในชุดสีดำแบบทันสมัยอุ้มเด็กน้อยวัยขวบเศษก้าวเข้ามาในศาลาที่ตั้งสวดพระอภิธรรมศพ ในระหว่างพระสงฆ์กำลังสวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์* (*พระอภิธรรมนี้ถือเป็นหลักธรรมชั้นสูงในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงโปรดพุทธแม่ และเหล่าเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพียงครั้งเดียว นิยมสวดในงานศพ มี ๗ คัมภีร์ ประกอบด้วยบท พระสังคิณี พระวิภังค์ พระธาตุกถา พระปุคคลปัญญัตติ พระกถาวัตถุ พระยมก พระมหาปัฏฐาก) กลายเป็นจุดสนใจของคนในศาลาที่นั่งประณมมือรับฟังเสียงสวดมนต์อย่างสำรวม ทุกคนต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียว และส่วนหนึ่งให้ความสนใจกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่หญิงสาวลากเข้ามาและเด็กน้อยที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขน ก่อนหันไปพูดซุบซิบสลับกับปรายตาเหยียดหยามมองอีกครั้งแล้วครั้งเล่า หญิงสาวรับรู้ว่ามีสายตาหลายคู่มองตนอยู่ และรู้ด้วยว่ากำลังซุบซิบนินทาเรื่องอะไร แต่เธอไม่ใส่ใจดวงตาจดจ่ออยู่ที่โลงสีขาว ซึ่งวางอยู่ท่ามกลางแจกันดอกกุหลาบสีขาวสลับชมพูที่จัดวางอย่างสวยงาม ใกล้โลงสีขาวมีรูปถ่ายขนาดใหญ่ของหญิงสาวในชุดราตรี ไม่ต่างจากภาพชุดที่ถ่ายสำหรับงานมงคลแต่อย่างใด ใบหน้าผู้หญิงในภาพนั้นยิ้มแย้มอย่างสดใส ดวงตาสีเดียวกับเธอทอประกายแห่งความสุข ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่แปลกแต่อย่างใดที่เจ้าสาวในภาพจะสดใสร่าเริงเช่นนี้ แต่มันกลับทำให้คนมองสลดหดหู่ใจ รูปพวกนี้สมควรวางไว้ให้คนชื่นชมที่ห้องจัดเลี้ยงในงานวิวาห์ หาใช่มาวางไว้ที่หน้าหีบศพในศาลาที่พระกำลังสวดอภิธรรมเคล้าเสียงร่ำไห้อย่างอาลัยอาวรณ์ของญาติมิตรที่ยังตัดใจไม่ขาดเช่นนี้ หน้าชุดรับรองสำหรับแขกผู้ใหญ่และเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม พรมผืนหนาปูทับเสื่อพลาสติกขนาดใหญ่ที่ทอเป็นผืนเดียว ลาดเต็มพื้นที่ว่างจากบริเวณที่วางหีบศพถึงยกพื้นที่ซึ่งพระภิกษุกำลังนั่งสวดพระอภิธรรมอยู่ บนพรมผืนหนาบรรดาญาติของผู้ล่วงลับนั่งประณมมือไหว้พระรับฟังบทสวดมนต์ บางคนกำลังซับน้ำตาที่ซึมออกมา หนึ่งในนั้นคือหญิงวัยกลางคนที่ดวงตาแดงก่ำจากการร่ำไห้และกำลังได้รับการปลอบโยนจากญาติๆ ซึ่งเป็นผู้หญิงต่างวัยที่นั่งอยู่ด้วยกัน และทุกสายตาก็เหลียวไปที่ร่างซึ่งมาหยุดยืนมองรูปถ่ายหน้าหีบศพ “แม่ก้อย” เสียงเรียกชื่ออย่างคาดไม่ถึงดังขึ้น แม้ไม่ดังจนกลบเสียงพระที่กำลังสวดอภิธรรม แต่เรียกให้สายตาหลายคู่เพ่งมองหญิงสาวเจ้าของชื่ออย่างเพ่งพิศมากขึ้น ก่อนที่เสียงนินทาจะดังกลบเสียงพระสวดหญิงสาววัยใกล้เคียงกับคนที่ตกเป็นเป้าสายตาก็ยืนขึ้น เดินเข้าไปหากระชากแขนแล้วถามลอดไรฟัน “นังก้อย ใครให้แกมา” หญิงสาวนามแจ่มจันทร์ถามเสียงเขียว ทั้งยังออกแรงลากเจ้าของชื่อ คนถูกกระชากแขนจนเกือบเซ มองกลับสายตาแข็งกร้าว เธอกลัวว่าแรงกระชากของแจ่มจันทร์จะทำเด็กหญิงในมือร่วงตกลงพื้นได้จึงขืนตัวเอาไว้ วางกระเป๋าที่ลากมาแล้วผลักแจ่มจันทร์กลับพร้อมพูดเสียงลอดไรฟัน “ปล่อยแขนฉัน” “ไม่ปล่อย ออกไปจากศาลาเลยนังก้อย” แจ่มจันทร์ทำหน้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่ยอมปล่อยแขนหญิงสาวที่หวังอัปเปหิออกไปเสียจากงานศพ “เธอมีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉัน แล้วปล่อยแขนฉันได้แล้วนะ” ก้อยหรือกณิศาก็ไม่ยอมเช่นกัน เมื่อแจ่มจันทร์ไม่ยอมฟังเสียงยังกระชากแขนทั้งที่เธออุ้มเด็กเอาไว้ในมือ เธอจึงผลักอีกครั้งด้วยแรงทั้งหมดจนแจ่มจันทร์ผงะไปข้างหลังแล้วล้มลงก้นกระแทกพื้นทันที “โอ๊ย! อี...” แจ่มจันทร์ร้องโอดโอย ยกนิ้วชี้หน้าผรุสวาทด้วยความโกรธ แต่มีเสียงตวาดห้ามไว้ “หยุดเสียที นี่มันในวัดในวา พระก็กำลังสวดอยู่” หญิงวัยกลางคนใบหน้าซีดเซียวไร้การปรุงแต่งดวงตาแดงก่ำจากการร่ำไห้หันมาห้ามทั้งคู่ แม้เสียงปรามนั้นจะตะคอกแต่ไม่ได้ดังเกินไปเพราะแค่สองคนยื้อยุดกันก็เป็นเป้าสายตามากพอแล้ว จึงไม่อยากร่วมวงตกเป็นเหยื่อจากดวงตาอีกหลายๆ คู่ไปด้วย ก่อนที่นางจะหันไปหากณิศาที่มองมาอย่างสำนึกผิดและขออภัยอยู่ในที “กลับไปคอยที่บ้านก่อน” “แม่!” กณิศาพ้อเสียงละห้อย แต่ไม่กล้าเอ่ยอันใดอีกเมื่อเห็นแววตาแข็งกร้าวระคนตัดพ้อของนางสายบัวผู้เป็นแม่ หญิงสาวรีบยกมือไหว้ทั้งที่มีเด็กน้อยในอ้อมแขน อ้อนวอนเบาๆ “ให้ก้อยจุดธูปบอกพี่เกดก่อนได้ไหมคะ” “จะบอกอะไรล่ะ บอกว่าน้องชั่วๆ ที่มันหนีไปกับแฟนของพี่สาวตัวเองกลับมาแล้วนะหรือ” แจ่มจันทร์ได้ทีจึงพูดถากถางขึ้นอีกทั้งคำพูดและสายตา เพราะเจ็บใจที่ถูกกณิศาทำให้เจ็บตัวจนก้นระบบในเวลานี้ แต่เธอก็ถูกปรามเบาๆ จากแม่ตนเอง “พอทีเถอะจันทร์” แล้วหันไปพูดกับกณิศา “กลับไปคอยที่บ้านเถอะแม่ก้อย ให้นายชาติขับรถไปส่ง” นางสำรวยผู้มีศักดิ์เป็นน้าบอก ก่อนหันมองหาชายที่เอ่ยชื่อเพื่อจะให้ไปส่งกณิศาที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดนี้เท่าใดนัก เมื่อไม่เห็นอยู่ในสายตาจึงหันไปสั่งบุตรสาวของตนเอง “จันทร์ไปตามนายชาติมาซิ” “ผมขับรถไปส่งเองครับ” เสียงทุ้มแทรกขึ้นจากด้านหลังของหญิงสาวที่กำลังถูกกีดกันออกไปให้พ้นจากบริเวณงานจนทุกคนหันไปมองพร้อมเพรียงกัน ชายเจ้าของคำพูดยิ้มบางๆ ให้ทุกสายตา ก่อนจะหันมาค้อมศีรษะให้กณิศา “เชิญครับคุณก้อย” เขาเอ่ยชวนอย่างสนิทสนม แล้วหยิบกระเป๋าเดินทางของเธอมาถือเอาไว้ เพื่อไม่ให้เจ้าตัวปฏิเสธได้ กณิศามองชายหนุ่มแล้วหันกลับไปมองแม่ ที่ยังวางหน้านิ่งเหมือนไม่ไยดี ไม่เหมือนสำรวยและแจ่มจันทร์ที่ยังจับจ้องเธอและเด็กน้อยในอ้อมแขน ผู้เป็นน้าพยักหน้าสนับสนุน ส่วนแจ่มจันทร์ผู้เป็นลูกกลับแสยะมุมปากส่งสายตาเหยียดหยาม กณิศาไม่สนใจคนทั้งคู่เท่าแม่ของตนเอง และรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อนางสายบัวเมินหนี หันไปสนใจกับเสียงสวดพระอภิธรรมต่อ หญิงตัดสินใจเดินตามชายคนดังกล่าวไปเพราะขืนยืนอยู่ตรงนี้ต่อ นอกจากจะเป็นเป้าสายตานานขึ้นแล้ว หัวตาเธอก็เริ่มร้อนน้ำตาที่เกิดจากความน้อยใจแม่กำลังจะเอ่อคลอ แต่มิวายยังหันไปมองรูปถ่ายของกนกกรพี่สาวที่ล่วงลับอย่างสำนึกผิด ที่ตนยังไม่ได้มีโอกาสจุดธูปหน้าหีบศพเพื่อขออโหสิกรรมในสิ่งที่ผ่านๆ มา สายตาหลายคู่เฝ้ามองจนกณิศาอุ้มเด็กน้อยออกไปนอกศาลา เดินตามชายหนุ่มไปที่ลานจอดรถ แล้วหันกลับมาซุบซิบพูดคุยจนบางคนตั้งหน้าตั้งตาพูดถึงเรื่องของหญิงสาว จนลืมไปว่าเวลาและสถานที่นี้พึงอยู่ในความสำรวม “ถ้าเป็นลูกสาวฉัน จะตีให้หลังลายแล้วขังไว้ในห้องไม่ให้ออกมาร่าน หนีตามผู้ชายไปแบบนี้หรอก” “หน้าไม่อาย ยังมีหน้ากลับมาอีกแถมกระเตงลูกมาด้วย เป็นฉันจะตะเพิดไปให้ไกลไม่ให้เหยียบเข้าบ้านหรอก ขายขี้หน้าจริงๆ” “เด็กที่อุ้มมานะเหมือนจะเป็นผู้หญิงเสียด้วย คอยดูเถอะอีกหน่อยก็หัวกระไดไม่แห้ง ดอกทองเหมือนแม่มันนั่นแหละ” “แอ้ม!” เสียงกระแอมดังขึ้นด้านหลังวงนินทาจนทั้งหมดสะดุ้งโหยง หุบปากที่กำลังจะด่าว่าอย่างเมามัน แต่ไม่มีสักคนที่จะกล้าหันกลับไปมองว่าผู้ใดส่งเสียงขัดจังหวะขึ้น มือที่ประณมไว้แค่ระดับตักรีบยกขึ้น ก้มหน้าสำรวมประหนึ่งคนซาบซึ้งในรสพระธรรม แต่ยังมิวายชายตามองซึ่งกันและกันเป็นระยะๆ เหมือนจะมีสัญญาต่อกันว่าเรื่องที่พูดนั้นยังไม่จบไม่สิ้น ในขณะที่คนส่งเสียงขัดขึ้นด้วยความรำคาญนั้นหันไปมองตามร่างหญิงสาวที่ถูกนินทาอย่างเวทนา ต่อไปแม้จะเสร็จสิ้นงานศพของกนกกรแล้ว แต่กณิศาจะต้องตกเหยื่อจากปากของชาวบ้านไปอีกนานทีเดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม