“เหลือเวลาอีกครึ่งปี อย่างไรพวกท่านก็ต้องต่อสู้ให้เข้าขากันให้ได้ ข้าจะอาสาเป็นคู่ซ้อมให้เอง” เยี่ยนหรงกล่าวกับเชียนจือหวาและหยางผู่เยว่หลังจากทั้งหมดคารวะส่งผู้อาวุโสชงเหยากลับไปแล้ว
“เจ้าคนเดียวสู้กับพวกเราสองคนน่ะหรือ” หยางผู่เยว่แม้จะประจักษ์ฝีมือเยี่ยนหรงในช่วงหลายวันมานี้ แต่นางรับมือพวกเขาสองคนได้จริงหรือ
เชียนจือหวาที่ยืนอยู่ข้างหยางผู่เยว่ใช้ศอกกระทุ้งเขาไปทีหนึ่ง
“นางคนเดียวก็เกินพอแล้ว”
ที่ผ่านมาตอนเยี่ยนหรงเป็นคู่ซ้อมมือให้ ศิษย์น้องผู้นี้ไม่เคยพลาดพลั้งโดนนางเล่นงานเลยสักครั้ง อีกทั้งตอนสู้กันสีหน้าท่าทางเยี่ยนหรงก็ยังดูสบายๆ ไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าอะไรอีกต่างหาก
เมื่อก่อนนางก็อยากรู้นักหนาว่ามันเพราะอะไรศิษย์น้องที่เข้าสำนักทีหลังหลายปีฝีมือจึงรุดหน้าอย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้ แต่ตอนนี้นางไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว นางเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าเกิดจากพรสวรรค์ของเยี่ยนหรงเป็นแน่ วิชาลับอะไรนางล้วนไม่นึกถึง เพราะนางมั่นใจมากว่าหากศิษย์น้องมีของดี จะต้องแบ่งปันกับนางจนหมดอย่างแน่นอน นางสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีอย่างจริงใจนี้
ทั้งสามตั้งท่าเตรียมพร้อมบนลานฝึกกว้างที่อยู่ด้านหลังของตำหนักหย่งเหอ ที่ด้านข้างลานฝึกยังมีจางจิวกับฮวาอิ๋นมี่มาคอยดูอยู่ด้วย เผื่อว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรได้อีกแรง
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง และสายลมอ่อนที่พัดผ่าน มิตรภาพของหนุ่มสาววัยแรกรุ่นกำลังผลิบานอย่างสวยงาม
เยี่ยนหรงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่ฟากหนึ่งของลานฝึก ยังมิได้เรียกแส้สีเงินที่พันอยู่รอบเอวนางออกมาเป็นอาวุธ
เชียนจือหวาที่ยืนอยู่กับหยางผู่เยว่อีกฟากหนึ่งของลานฝึก ก่อนหน้านี้เคยชินกับการฝึกซ้อมของเยี่ยนหรง จึงเริ่มจู่โจมก่อนทันที
แส้เป็นอาวุธที่สามารถใช้โจมตีได้ทั้งระยะใกล้ไกล มีทั้งความรวดเร็วและรุนแรง สามารถแปรเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ เหมาะแก่การต่อสู้กับอาวุธที่มีรัศมีโจมตีปานกลางเช่นกัน
ส่วนกระบี่นั้นแน่นอนว่าเป็นอาวุธที่เน้นสู้ระยะประชิด ความว่องไวแข็งแกร่งถือเป็นจุดเด่นที่สามารถจู่โจมจนศัตรูไม่ทันตั้งตัว
เมื่อต้องต่อสู้เคียงข้างกัน กระบี่ควรเข้าสู้ซึ่งหน้า แส้ฉวยโอกาสลอบโจมตีขัดขวางฝ่ายตรงข้ามในภาพร่วม แต่เชียนจือหวากับหยางผู่เยว่เริ่มต้นก็สู้ตามสัญชาตญาณแล้ว โรมรันกับเยี่ยนหรงอยู่นานทั้งคู่ก็ยังไม่อาจโจมตีเข้าใกล้เยี่ยนหรงได้
คนหนึ่งมุทะลุ บุกทะลวงไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจใคร อีกคนก็มองภาพรวมได้ดีเยี่ยมแต่กลับไม่สามารถหาโอกาสเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้ได้
เห็นได้ชัดว่าเชียนจือหวากับหยางผู่เยว่นั้นยังต้องปรับตัวกันอีกมากเพื่อที่จะต่อสู้สอดประสานกันให้ได้
จางจิวและฮวาอิ๋นมี่ก็ผลัดกันมาช่วยเป็นคู่ซ้อมให้เชียนจือหวาและหยางผู่เยว่ด้วย
การฝึกดำเนินไปจนปรากฏดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าจึงยุติ
เยี่ยนหรงมองเชียนจือหวาและหยางผู่เยว่ที่มีสีหน้าท่าทางเหนื่อยล้าเต็มทนพลางคิด
ยังดีที่หยางผู่เยว่บังคับกระบี่บินได้ตามใจนึก จากนิสัยแล้ว สองคนนี้ควรสลับตำแหน่งกันอย่างยิ่ง!
ค่ำวันนั้นหลังจากซ้อมมือกันเสร็จ เชียนจือหวาออกปากเลี้ยงหม้อไฟทุกคนอย่างใจกว้าง หลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมามาก ทั้งห้าคนจึงเดินลงเขาไปตลาดในเมืองด้วยกัน
จางจิวเอ่ยชมเยี่ยนหรงหลายครั้งอย่างเป็นมิตร ส่วนฮวาอิ๋นมี่นิสัยเงียบขรึม แต่นางก็ยังชมเยี่ยนหรงสั้นๆ ว่ายอดเยี่ยม ถือเป็นการยอมรับจากใจจริงแล้ว
ทั้งห้าเมื่อได้ประลองกลับสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วจากการยอมรับนับถือในฝีมือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะมีจางจิวที่เป็นมิตร เข้าได้กับทุกผู้ทุกคน และยังคุยสนุกอย่างยิ่ง จึงทำให้บรรยากาศการกินหม้อไฟของทั้งห้าทั้งเป็นกันเอง และผ่อนคลาย
หากว่ากันตามอายุมนุษย์ ทั้งหมดก็ถือว่าไม่ใช่เด็กแล้ว กินหม้อไฟรสเผ็ด ท่ามกลางอากาศหนาว จะขาดสุราดีไปได้อย่างไร
จางจิวกล่าวว่าสุราใบไผ่ของร้านนี้เป็นสุราใบไผ่ชั้นยอด หากไม่ลิ้มลองจะต้องเสียใจ เชียนจือหวาได้ยินก็รีบสั่งมาทันที
ด้านเยี่ยนหรงนั้นเนื่องจากไม่มีความรู้สึกหิว ลิ้นนางก็ไม่อาจรับรส อาหารทุกชนิดบนโลกตอนนี้ก็เหมือนกันไปหมด นางจึงไม่ได้จดจ่ออยู่กับอาหารหรือการสนทนาของเด็กน้อยทั้งสี่ตรงหน้า ในหัวคิดถึงแต่เรื่องแดนอสูร เผ่าปีศาจ กระจกแปดทิศ และอีกหลายอย่าง
เมื่อหม้อไฟถูกยกมาวางตรงหน้า เนื้อและเครื่องในสัตว์ก็ถูกยกตามมาไม่ขาดสาย น้ำสีแดงส้มที่มีน้ำมันและเครื่องเทศลอยอยู่บนผิวกำลังเดือดพล่านในหม้อเหล็กใบใหญ่ ช่างชวนให้น้ำลายสอยิ่งนัก
เยี่ยนหรงก็ถูกภาพตรงหน้าดึงกลับมาจากอาการเหม่อลอยเช่นกัน สิ่งนี้ตั้งแต่อยู่โลกมนุษย์มานางก็เพิ่งเคยเห็น จนใจที่ไม่สามารถรับรสได้ ช่างน่าเสียดายโดยแท้
เนื้อชิ้นบางเมื่อถูกคีบแกว่งลงไปในน้ำสีแดงที่เดือดพล่านก็แทบจะสุกในทันที
เยี่ยนหรงเห็นคนอื่นกินก็กินตาม เห็นคนอื่นพูดคุยก็พูดคุยด้วยบ้าง เห็นคนอื่นดื่มนางก็ยกถ้วยข้างตัวขึ้นดื่มบ้าง เพื่อให้กลมกลืนไปกับทุกคน
แต่เมื่อนางยกถ้วยขึ้นดื่มจนหมด จางจิวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หันมาถามนางอย่างเป็นมิตรว่า สุราใบไผ่รสชาติดีหรือไม่
เยี่ยนหรงงุนงงเล็กน้อย เนื่องจากนางไม่รู้รสและไม่ได้กลิ่น จึงคิดว่าถ้วยที่ตนเพิ่งดื่มไปคือน้ำชาธรรมดา นางเหลือบมองไปยังถ้วยว่างเปล่าที่ตนเพิ่งดื่มไปเมื่อครู่
อืม…ดื่มไปไม่น้อยเลย
“เอ่อ ปกตินางไม่ดื่มสุรา” เชียนจือหวาเพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นได้ จึงได้แต่ทำหน้าเจื่อน “ศิษย์น้องเป็นอย่างไรบ้าง คงมิได้แพ้สุราจนอันตรายถึงชีวิตกระมัง” เชียนจือหวาสีหน้าวิตกกังวล
เยี่ยนหรงรักษาความสงบนิ่งของตัวเองไว้เป็นอย่างดี นางเพียงยิ้มน้อยๆ และกล่าวตอบ “ดื่มไปถ้วยเดียวไม่อาจนับเป็นกระไรได้ เพียงแต่ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระต้องไปจัดการนิดหน่อย เชิญท่านทั้งสี่กินหม้อไฟกันต่อเลย ข้าขอตัวก่อน” เยี่ยนหรงลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อน พยายามให้ดูเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ให้ข้าไปเป็นเพื่อนหรือไม่” เชียนจือหวาเตรียมลุกตาม แต่เยี่ยนหรงหันกลับมายกมือห้ามไว้ก่อน
ก่อนจากไปนางยังอุตส่าห์หันกลับมากล่าวย้ำสั้นๆ ว่า “พรุ่งนี้หลังจากฝึกกับเหล่าผู้อาวุโสเสร็จจะต้องซ้อมต่อ ห้ามพัก” นางจะต้องทำให้สองคนนี้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันให้ได้ มิใช่สู้กันไปคนละทิศละทางเช่นนี้
เชียนจือหวากับหยางผู่เยว่ได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างเห็นอกเห็นใจ ส่วนจางจิวกับฮวาอิ๋นมี่ก็พยายามกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ จะมีสักกี่คนกันที่เคยเห็นท่าทางเหมือนลูกแมวหงอยของเชียนจือหวา ศิษย์น้องของนางช่างไม่ธรรมดาจริงๆ
เยี่ยนหรงเมื่อออกจากร้านหม้อไฟก็พยายามฝืนร่างของตนไม่ให้เดินเซไปมาจนผิดสังเกต เดินตรงดิ่งกลับขึ้นไปบนสำนักอู่เฉิงทันที
กล่าวไปก็น่าอาย ความจริงแล้วที่นางไม่อาจดื่มสุรานั้นเป็นเพราะคออ่อนอย่างยิ่ง คออ่อนเสียจนน่าเวทนา สุราเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้นางล้มพับได้แล้ว
สมัยที่นำทัพออกรบ หากนางอยากดื่มสุราร่วมกับเหล่าทหารเพื่อปลุกใจก่อนออกรบ รองแม่ทัพขวาหวังจวิ้นซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสหายที่รู้ใจนางที่สุด มักจะแอบเปลี่ยนสุราในไหของนางให้เป็นน้ำชาก่อนที่จะกล่าววาทะกับเหล่าทหารก่อนสู้ศึก
คนที่เคยเห็นนางเมาพับก็คงมีแต่หวังจวิ้นกับกู้เฉิงแล้ว ช่างน่าอายเสียจริง
เยี่ยนหรงคิดถึงเรื่องราวเก่าก่อนก็อดส่ายหน้าอย่างดูแคลนตัวเองไม่ได้
นางไม่ได้มุ่งหน้ากลับไปที่เรือนพักของตนเพราะระยะทางไกลเกินไป นางรีบพุ่งตัวไปที่หน้าป่าปริศนาที่อยู่ใกล้กว่า คลายผนึกและเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว เมื่อนางเข้าไปแล้วผนึกก็ปิดลง กลายสภาพเป็นป่าทึบอันมืดมิดอีกครั้ง
ที่นี่เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยของนาง เป็นสถานที่ฟื้นฟูพลัง เป็นสถานที่ที่งดงามและสุขสบาย เป็นสถานที่ที่นางชอบที่สุด นางรู้สึกปลอดภัย และสบายใจทุกครั้งที่ได้เข้ามาในป่าปริศนาแห่งนี้
เมื่อก้าวเข้ามาภายในผนึก นางก็มองไปที่เรือนไม้หลังเดิม พลางคิดในใจ ไกลเกินไป นางประคองร่างมาจนถึงที่นี่ได้ก็เกินคาดแล้ว ไม่อยากเดินต่อไปอีกแล้ว
เยี่ยนหรงมองไปรอบตัวก็เห็นทุ่งหญ้าอ่อนนุ่มผืนใหญ่อยู่ทางซ้ายมือของนาง หญ้าสีเขียวอ่อนพวกนั้นไม่ได้สูงมากนัก ไม่ต่างอะไรกับฟูกนอนผื่นใหญ่ที่กางไว้รอนางไปซุกไซร้ให้สบายตัว
นางเดินโซเซไปล้มตัวลงนอนบนนั้นอย่างสบายใจ ถึงอย่างไรเทพผู้สร้างสถานที่แห่งนี้ก็ไม่เคยโผล่มาให้นางเห็นสักครั้ง ในเมื่ออยู่คนเดียว ก็จงทำตัวตามสบายให้ถึงที่สุด