เยี่ยนหรงกอดอกใช้ความคิด ในตอนนี้ผู้ที่นางไว้ใจที่สุด และน่าจะเป็นผู้ที่ช่วยนางได้มากที่สุดก็คือ ‘หวังจวิ้น’ แม่ทัพขวาของนาง หากสามารถไปตามหาเขายังแดนเทพได้ การฟื้นพลังก็น่าจะทำได้ง่ายขึ้น
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าการประลองครั้งนี้นางไม่อาจเป็นผู้ชนะ ไม่อาจเป็นตัวแทนมนุษย์เปิดกระจกวิเศษนั่น และไม่อาจแตะต้องกระจกวิเศษบานนั้น หากถูกโดนเพียงนิด ร่างก็คงกลายเป็นเพียงเม็ดทรายก่อนที่จะได้หาวิธีฟื้นฟูพลังเป็นแน่
“การประลองครั้งนี้ข้าคงต้องขอตัว แต่ข้าจะคอยให้กำลังใจศิษย์พี่และช่วยให้ท่านได้เป็นตัวแทนมนุษย์ดังที่ปรารถนา” เยี่ยนหรงฉีกยิ้มให้เหมาะสมกับสถานการณ์
หากเชียนจือหวาได้ไปแดนเทพ ถึงตอนนั้นนางก็แค่เกาะติดศิษย์พี่ไปเปิดหูเปิดตาเท่านั้น หลังจากคำนวณทุกอย่างในหัวเรียบร้อย นางก็ฉีกยิ้มกว้างให้เชียนจือหวาอีกครั้ง
เชียนจือหวาเห็นเยี่ยนหรงปฏิเสธทันควัน แววเจิดจ้าในดวงตาก็หม่นลงเล็กน้อยแต่ก็มิได้ดึงดัน หากศิษย์น้องกลัวอันตรายศิษย์พี่เช่นนางยิ่งไม่ควรไปบังคับ
ก่อนจะถึงการประลองระหว่างสำนัก ภายในสำนักก็ต้องคัดเลือกศิษย์ที่มีความสามารถมากที่สุดสองคนให้ได้ก่อน โดยเหล่าศิษย์สำนักอู่เฉิงที่มีความประสงค์จะเข้ารับการคัดเลือกจะต้องนำชื่อของตนเขียนบนแผ่นไม้ไผ่แผ่นเล็กๆ และนำมาแขวนไว้ที่กระดานไม้หน้าตำหนักหย่งเหอ โดยการประลองภายในสำนักจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
เหล่าศิษย์ในสำนักที่ลงชื่อบนไม้ไผ่ต่างมุ่งมั่นฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อที่จะได้เป็นตัวแทนสำนักไปประลองกับสำนักอื่น แม้แต่เชียนจือหวาก็ไม่เว้น นางฝึกซ้อมทุกเย็นจนถึงดึกดื่น โดยเยี่ยนหรงก็มักจะมาเป็นคู่ซ้อมให้อยู่เสมอ
ในบางครั้งเชียนจือหวาก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดเยี่ยนหรงจึงรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วปานนี้ ท่วงท่าการสะบัดแส้งดงามเข้มแข็งจนแทบจะเข้าขั้นไร้ที่ติ ทั้งที่ศิษย์น้องผู้นี้เพิ่งจะเข้าสำนักมาได้ไม่กี่ปี ยิ่งนางมาเป็นคู่ซ้อมให้ เชียนจือหวายิ่งรู้สึกถึงความห่างชั้น แต่ก็ได้แต่คาดเดาว่าเยี่ยนหรงคงจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงส่ง หากว่าลงสมัครเข้าการประลองจะต้องได้ที่หนึ่งแน่นอน
แต่ไม่ว่านางจะชักชวนอย่างไร ศิษย์น้องผู้นี้ก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นเช่นกัน นางจึงล้มเลิกความคิดนี้อย่างถาวร กลับมาตั้งใจฝึกฝนตนเองให้พร้อมสำหรับการต่อสู้แทน
“ความจริงแล้วภายในสำนักอู่เฉิงนั้นมีวิชาหลากหลายมาก กระบี่กับแส้ใช้ความรุนแรงเข้าปะทะเหมือนกัน วิชาวาดพู่กันข้าว่าไม่น่ากังวล วิชาจับยามท่านแค่ต้องเดาใจคู่ต่อสู้ให้ได้ หากต่อสู้จนชำนาญแล้ว กลยุทธ์ต่างๆ จะช่วยท่านไว้ได้เอง ไม่น่ากลัว”
เยี่ยนหรงเดินกลับไปกลับมาวิเคราะห์ให้เชียนจือหวาฟังก่อนจะหันมาทำหน้าจริงจัง “แต่ที่ข้าคิดว่าน่ากลัวที่สุดคือศิษย์ของผู้อาวุโสไห่ฉินที่ใช้เสียงเพลงในการโจมตี รับมือได้ยากมาก”
เดิมทีศิษย์ในสำนักจะไม่มีโอกาสได้ต่อสู้ประลองกันเองบ่อยนัก ส่วนใหญ่จะออกไปต่อสู้กับอสูรและปีศาจมากกว่า เชียนจือหวาจึงรู้สึกว่าคนรับมือได้ยากกว่าอสูร แต่ยังดีที่ได้เยี่ยนหรงคอยช่วยวิเคราะห์ช่วยคิดวิธีรับมือให้ นางจึงมั่นใจขึ้น แต่ก็ไม่อาจไม่สงสัย เหตุใดศิษย์น้องของนางจึงราวกับมีประสบการณ์การต่อสู้มาหลายสิบปี ทั้งที่ดูแล้วอายุอานามไม่น่าจับอาวุธได้เกินห้าปีด้วยซ้ำ
แต่สงสัยก็ส่วนสงสัย ในตอนนี้นางต้องใช้ความคิดเอาชีวิตรอดจากการฝึกอันโหดหินของเยี่ยนหรงก่อน ศิษย์น้องของนางผู้นี้มาเป็นคู่มือฝึกซ้อมอย่างกระตือรือร้นให้นางเกือบทุกเย็น แต่ละครั้งที่ฝึกกันนั้นเรียกได้ว่าเอาเป็นเอาตายเลยล่ะ
“เอาใหม่” เสียงเฉียบขาดของเยี่ยนหรงดังก้องไปในสายลมยามราตรี นางมีสีหน้าสงบนิ่ง มือสะบัดแส้ไปด้านข้างในท่าเตรียมพร้อม
เชียนจือหวาเหงื่อโซมกายย่อตัวหอบหายใจแรงอย่างเหน็ดเหนื่อย เมื่อได้ยินคำว่า ‘เอาใหม่’ แซ่ในมือก็ร่วงตกลงบนพื้น ดวงตากลมโตจ้องมองเยี่ยนหรงอย่างหวาดผวา “ยังฝึกไม่พอหรือ”
นี่นางฝึกหนักจนแทบจะเท่าเอาการฝึกตลอดหนึ่งเดือนมารวมกันไว้ในวันเดียวแล้ว แต่ศิษย์น้องของนางผู้นี้ยังบ้าพลังจะฝึกต่อ นางมองไปบนร่างของเยี่ยนหรงอย่างพินิจ ไม่มีเหงื่อ ไม่มีความเหนื่อยล้า ไม่มีทีท่าอ่อนเพลีย มีแต่ความสงบนิ่งเหมือนว่าที่ผ่านมานั่งจิบน้ำชาเฉยๆ ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรทั้งนั้น นี่นางยังใช่คนอยู่หรือเปล่า!
“เหลือเวลาแค่ครึ่งเดือนเองนะ” เยี่ยนหรงย้ำเตือนเชียนจือหวา ในมือยังโบกแส้สีเงินเล่นไปมาอย่างสบายๆ
เชียนจือหวากัดฟันสู้อีกครั้ง นางยืดตัวตรงขึ้น สายตาที่อ่อนล้ากลับมุ่งมั่นขึ้นหลายส่วน หลังจากนั้นการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงก็ดำเนินต่อไปอีกค่อนคืน
เมื่อล้มตัวลงนอน คำว่า ‘เอาใหม่ เอาใหม่ เอาใหม่’ ของเยี่ยนหรงยังตามไปหลอกหลอนนางถึงในฝันอย่างโหดร้าย
คืนนั้นเยี่ยนหรงที่นอนเอาหัวหนุนมือตัวเองอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงเชียนจือหวาละเมอพึมพำอยู่ที่เตียงถัดไป เสียงงึมงำเบาๆนั้นจับใจความได้ว่า ‘แขนขาหักแล้ว ยกแขนไม่ขึ้นแล้ว ศิษย์น้องพรุ่งนี้ค่อยมาต่อเถอะนะ’
หากนางมีความรู้สึกปกติเหมือนเมื่อก่อน นางคงจะเอ็นดูเด็กคนนี้ไม่น้อย น่าเสียดายที่นางไม่มีความรู้สึกใดแล้ว
วันเวลาผ่านไปจนถึงงานประลองภายในสำนักอู่เฉิง เหล่าบรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างมีสีหน้ากระตือรือร้น ตื่นแต่เช้ามาเตรียมตัวตั้งแต่ไก่โห่ บ้างเตรียมประลอง บ้างเตรียมจับจองที่นั่งดีๆเพื่อชมการประลองข้างเวที
โดยการประลองนั้นจะมีการจับฉลากประลองกันเป็นคู่ไปเรื่อยๆ คนที่แพ้จะถูกคัดออก คนที่ชนะก็จะได้ประลองกับศิษย์ที่ชนะเช่นกัน จนสุดท้ายเหลือเพียงสองคนที่จะได้เข้าร่วมงานประลองกับสำนักอื่น
เหล่าผู้อาวุโสในสำนักต่างกระจายกันไปสังเกตการณ์การประลองของเหล่าศิษย์แต่ละคู่ เยี่ยนหรงเองก็ตามดูศิษย์พี่ของนางทุกสนาม แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ เชียนจือหวามีความสามารถเหนือกว่าเหล่าศิษย์คนอื่นๆ ทั้งดุดัน ปราดเปรียว เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างหมดจด
การประลองดำเนินไปสามวัน สุดท้ายก็เหลือศิษย์ที่ชนะการประลองมาตลอดอยู่ทั้งหมดสี่คน ได้แก่ ศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสเจ้าสำนักหลิวเส้าชง เชียนจือหวาผู้ใช้แส้ ศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสหม่าจิงอวี่ หยางผู่เยว่ผู้ใช้กระบี่ ศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสชงเหยา จางจิวผู้ใช้พู่กัน และศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสไห่ฉิน ฮวาอิ๋นมี่ผู้ใช้พิณ
รายชื่อทั้งสี่คนที่ปรากฏออกมานั้น จะเริ่มการประลองในวันพรุ่งนี้ โดยคู่ที่จะประลองกันก่อนก็คือ หยางผู่เยว่และจางจิว วันถัดไปจึงจะเป็นการประลองของเชียนจือหวาและฮวาอิ๋นมี่
“ศิษย์น้องจ้าว!” เชียนจือหวาตะโกนเรียกเยี่ยนหรงด้วยรอยยิ้มขณะที่วิ่งเข้ามาหา
เยี่ยนหรงที่กำลังเงยหน้ามองประกาศบนแผ่นไม้กระดานตรงหน้าจึงหันมองไปตามเสียง เห็นเชียนจือหวาวิ่งมาหานางด้วยความดีใจ นางจึงยิ้มตอบกลับ นางอยู่บนโลกมนุษย์มาหลายปีจึงเริ่มเคยชินกับชีวิตมนุษย์แล้ว ส่วนการแสดงสีหน้าท่าทางก็พยายามฝึกจนเป็นธรรมชาติ แม้ข้างในจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลยก็ตาม
“วันมะรืนก็เป็นรอบตัดสินของข้าแล้ว เจ้าคอยดูศิษย์พี่คนนี้ชนะอย่างสง่าผ่าเผยนะ” เชียนจือหวายิ้มจนตาหยี ปากยังอวดอ้างตัวเองไม่หยุด
“ที่ผ่านมาท่านยังไม่เคยประลองกับศิษย์ของผู้อาวุโสไห่ฉินเลย ที่ข้าเคยบอก การใช้เสียงดนตรีเป็นอาวุธนั้นรับมือได้ยากยิ่ง” เยี่ยนหรงยังคงวิเคราะห์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม แต่การพูดจาตรงไปตรงมาของนางทำให้เชียนจือหวาสีหน้าเจื่อนลง
“เจ้าคิดว่าข้าจะสู้ไม่ได้หรือ” เชียนจือหวาผู้ร้อนแรงทำสีหน้าไม่ยอมรับ จะอย่างไรนางก็ต้องเอาชนะให้ได้
“มิใช่สู้ไม่ได้ เพียงแต่ต้องรอบคอบสักหน่อย” เยี่ยนหรงยิ้มน้อยๆ ให้เชียนจือหวาที่ยืนอยู่ข้างกาย เชียนจือหวาในชุดสีแดงโดดเด่น ถึงแม้แววตาจะมุ่งมั่นแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าอยู่หลายส่วน เมื่อต้องประลองติดกันหลายวันร่างกายย่อมต้องการพักฟื้นเป็นธรรมดา
“ลงเขาไปหาอะไรกินกัน ข้าจะพูดให้ท่านฟังรอบหนึ่ง”