“นั่นเจ้ากำลังทำอะไร!” เสียงทุ้มต่ำถามอย่างไม่สบอารมณ์ของผู้ที่เดินเข้ามาในห้องครัวนั้นทำให้ลุงหลันหยุดมือที่ง้างอีโต้อยู่
“เถ้าแก่ชางไยท่านไม่รอข้างนอกเล่า”
เขาลดมือลงทำให้ซิงถิงที่หัวใจแทบจะหยุดเต้นมีความหวังขึ้นมา
“ช่วย…ฮึก ช่วยข้าด้วย ฮื่อออ” นางปล่อยน้ำตาลงมาทันที ภาพเด็กผอมแห้งคนหนึ่งที่มีเลือดอาบหัวทั้งน้ำตานองหน้ามันทำให้รู้สึกถึงความน่าสงสารจนบีบหัวใจ “เถ้าแก่ช่วยข้าด้วย ฮื่อ”
“หุบปาก!” ลุงหลันตะโกนลั่นใส่ซิงถิง
“ว้าย! นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย” ป้าหลันที่เพิ่งตามเข้ามาเอามือปิดปากอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพห้องครัวและซิงถิง
“…” ลุงหลันเม้นปากแน่น ดวงตาสีดำสนิทยังคงมีเพลิงโทสะอยู่
“ข้าก็แค่แอบทำอาหารเท่านั้น ฮื่อ ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ ข้าจะไม่มาแอบใช้ห้องครัวอีกแล้ว”
คำสารภาพของนางทำเอาทั้งสองถึงกับเบิกตากว้าง เถ้าแก่ชางที่ได้สติก่อนพาร่างท้วมเดินไปยังหม้อที่มีน้ำแกงสีเหลืองทองเหลืออยู่ครึ่งค่อนหม้อ ก่อนจะตักใส่ถ้วย…
“เถ้าแก่ชาง!” ลุงหลันตกใจกับสิ่งที่เถ้าแก่กระทำ…
มืออวบยกถ้วยน้ำแกงขึ้นมาสูบดม กลิ่นหอมหวานของมันเทศชวนให้น้ำลายสอทำเอาเขาต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ และหักห้ามใจไม่ให้ชิมน้ำแกงนั่น พลางมองเด็กรูปร่างผอมแห้งอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กคนนี้จะเป็นผู้ทำน้ำแกงหม้อนี้
“เด็กคนนี้เป็นสตรีหรือเจ้าถึงต้องลงโทษ”
“ขอรับ”
ซิงถิงเงยหน้าขึ้นมองชายร่างท้วมอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ใครเป็นคนสอนเจ้าทำอาหาร”
“มะ…ไม่มีใครสอนข้าหรอก” นางตัดสินใจตอบกลับไปอย่างนั้น เพราะไม่อาจจะบอกเรื่องที่นางเรียนรู้มาจากชาติก่อนได้ “ข้าผิดไปแล้วข้าจะไม่แอบใช้ห้องครัวอีกแล้วข้าขอโทษ” นางก้มหัวจนติดพื้น หวังให้พวกเขาไว้ชีวิตนาง แม้ซิงถิงจะยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดที่นางแอบมาใช้ห้องครัวถึงทำให้ลุงหลันโกรธถึงเพียงนี้
เถ้าแก่ชางถึงกับรู้สึกประหลาดใจ แม้จะไม่มีใครสอนแต่น้ำแกงหม้อนี้…พรสวรรค์ เด็กคนนี้มีพรสวรรค์…
“ไม่เคยมีใครบอกเจ้าสินะว่าสตรีห้ามทำอาหาร”
“…!” ซิงถิงเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง “ไม่…เหตุใดเล่า”
เถ้าแก่ชางยิ้มให้ซิงถิงอย่างอ่อนโยน เขาวางถ้วยน้ำแกงลงบนโต๊ะเหมือนเดิมก่อนจะหันไปเอ่ยกับลุงหลัน “เด็กคนนี้ไม่รู้เรื่องเสียหน่อย อีกทั้งนางยังทำกินเองไม่ได้บังคับให้พวกเจ้ากิน”
คำพูดของเถ้าแก่ชางทำให้ลุงหลันใจเย็นลง เขาหันไปสบสายตากับภรรยาที่กำลังทำหน้าลำบากใจเช่นกัน
“เอาเช่นนี้ไหม หากพวกเจ้าไม่สบายใจเด็กคนนี้ข้าจะรับไว้เอง”
“เถ้าแก่ชาง…ซิงถิงเป็นผู้ช่วยเพียงคนเดียวของพวกเรา หากท่านรับนางไป แล้วใครเล่าจะช่วยพวกข้าทำงาน” ป้าหลันเอ่ย
“เช่นนั้นข้าจะยกเงินเดือนนี้ให้พวกเจ้าใช้หาคนใหม่ดีหรือไม่” เถ้าแก่ชางเอ่ยเสนอ แน่นอนว่าข้อเสนอของเขาเป็นจำนวนเงินที่มิใช่น้อย สามารถใช้หาคนใหม่ได้ถึงสองสามคนเลยทีเดียว และแน่นอนว่าที่เถ้าแก่ชางเสนอให้เงินมากเพียงนี้ก็เพราะว่าเขาต้องการให้ทั้งสองปิดปากเงียบ…
สองสามีภรรยารีบตอบตกลงทันที “ขอรับๆ แหะๆ ดีขอรับ” ลุงหลันยิ้มจนแก้มปริ ก่อนจะวางมีดอีโต้ลง
เมื่อการเจรจาสำเร็จ ป้าหลันก็พาซิงถิงไปทำแผลที่หัว “เป็นบุญของเจ้าแล้ว” นางเอ่ยกับซิงถิงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะส่งซิงถิงให้ขึ้นรถม้าไปกับเถ้าแก่ชาง
ภายในรถม้า ซิงถิงรู้สึกเหมือนกับโล่งไปทั้งหมดเมื่อหลุดออกมาจากที่นั่นได้ นางก้มหน้ามองมือตัวเองที่ยังคงกำแน่นและสั่นยังไม่หาย เสียงสั่นๆ เอ่ยออกมา “เถ้าแก่ชางข้า…ข้าขอบคุณท่าน”
เถ้าแก่ชางเงยหน้าจากตำราที่กำลังอ่านอยู่ มืออวบใหญ่วางบนหัวของเด็กหญิงอย่างไม่นึกรังเกียจ ทำให้ซิงถิงรับรู้ถึงไออุ่นจากผู้อื่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน หยาดน้ำตาใสเออขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงรีบปัดมันออกทันที ไม่ว่ายังไงถึงตอนนี้กายนางจะเป็นเพียงเด็ก แต่ส่วนลึกนั้นก็โตแล้วจึงไม่อยากจะแสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมา
“เจ้าชื่ออะไรนะ”
“ข้าชื่อซิงถิง”
“เจ้าชอบทำอาหารหรือ?”
“ใช่เจ้าคะ”
“ซิงถิงหากข้าให้โอกาสเจ้าทำครัว เจ้าสนใจหรือไม่”
“ข้าสน!” นางตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด ทำให้ใบหน้าอวบเผยรอยยิ้มเอ็นดู
“แม้จะมีโอกาสถูกตัดหัวงั้นหรือ” คำถามนี้ทำให้ซิงถิงเงียบไปชั่วขณะ
“ทำไมถึงต้องห้ามสตรีทำอาหารด้วยละเจ้าค่ะ”
เถ้าแก่ชางถอนหายใจ “การทำอาหารเป็นทักษะที่ต้องให้ความใส่ใจกับรายละเอียด รสชาติของอาหารก็ซับซ้อน ในตำราการทำอาหารมีความเชื่อว่าสตรีมีปัจจัยบางอย่างที่ส่งผลต่อรสชาติของอาหาร และช่วงเวลาของสตรีที่มีระดูการปะปนของเลือดทำให้ไม่บริสุทธิ์…ไม่สะอาดเป็นที่น่ารังเกียจ”
เขาอธิบายให้ซิงถิงฟังอย่างใจเย็น
แม้จะสับสนและมีข้อโต้แย้งในใจอยู่บ้าง แต่ซิงถิงเองเมื่อชาติที่แล้วตอนเป็นเชฟ นางเองก็เคยอ่านเจอเหมือนกัน…แต่เป็นเรื่องของวัฒนธรรมในประเทศญี่ปุ่นที่ห้ามไม่ให้เพศหญิงทำซูชิ เนื่องจากปัจจัยทางด้านกายภาพที่อาจส่งผลให้รสชาติของซูชิผิดเพี้ยนไป
แต่นั้นก็เป็นเรื่องนานมาแล้วและปัจจุบันก็ไม่ได้มีข้อห้ามนี้ แต่ทว่าของที่นี่ เหตุที่ห้ามไม่ให้สตรีทำอาหารเห็นทีจะเป็นเรื่องวัฒนธรรมที่บุรุษมักจะเป็นใหญ่เหนือสตรีเสียมากกว่า ‘อ้า ยุคโบราณของแท้เลยสินะ เห็นทีผู้หญิงที่นี่คงถูกกำหนดในหลายๆ เรื่อง ไม่ใช่แค่ห้ามทำอาหารแน่…’ แต่แม้จะรู้ข้อห้ามนี้นางเองก็อยากจะเป็นเชฟอีกครั้ง…ความสุขของการทำอาหาร นางไม่สามารถทิ้งมันไปได้จริงๆ แม้จะต้องเสี่ยงหัวหลุดออกจากบ่าก็ตาม
“ข้า…ข้าอยากทำครัว”
ซิงถิงเงยหน้าขึ้นสบตาเถ้าแก่ชางด้วยสายตาแน่วแน่ ความหนักแน่นของเด็กหญิงตัวน้อย มันทำให้เถ้าแก่พอใจ เขายิ้มที่มุมปากก่อนจะเอ่ย
“เช่นนั้นข้าก็จะสนับสนุนเจ้า”
จากภาพในชนบทเริ่มเปลี่ยนเป็นตัวเมือง ซิงถิงมองภายนอกรถม้าด้วยแววตาตื่นเต้นเป็นประกายสดใส หลังจากที่เข้าตัวเมืองมาไม่นานรถม้าก็จอดที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
“ถึงแล้วขอรับเถ้าแก่”
คนขับรถม้าเปิดผ้าคลุมออก เมื่อเถ้าแก่ชางลงไปซิงถิงก็ลงตามไปติดๆ แล้วเดินตามเขาเข้าไปในโรงเตี๊ยม สภาพของโรงเตี๊ยมนี้แม้จะดูไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่ามีลูกค้าไม่น้อยทีเดียว เพราะนี่อาจจะเป็นช่วงเวลามื้อเย็นแล้วก็ได้ ร่างเล็กเดินตามเถ้าแก่ชางเข้าไปจนกระทั่งถึงครัว…
“โอ้ว เถ้าแก่ ทำไมท่านไม่ให้คนมาเรียกข้าล่ะขอรับ ท่านไม่เห็นต้องเดินเข้าครัวมาเองเลย”
คนที่ซิงถิงคิดว่าเป็นพ่อครัวใหญ่รีบเช็ดไม้เช็ดมือแล้วเดินมาหาเถ้าแก่ชางทันที ซิงถิงที่หลบอยู่หลังเถ้าแก่ชางอย่างประหม่าแอบโผล่หน้ามาเล็กน้อยให้พ่อครัวใหญ่เห็น
“เอ่อ เถ้าแก่เด็กคนนั้น…”
“พ่อครัวคนใหม่” เถ้าแก่เอ่ย ก่อนจะดันตัวซิงถิงให้ก้าวออกไปข้างหน้า
“ขะ…ขอฝากตัวด้วยขอรับ!” นางพยายามทำเสียงทุ้มต่ำแล้วโค้งตัวก้มหัวลงอย่างนอบน้อม หัวใจของนางเต้นตุบๆ กลัวว่าจะมีใครจับได้ ใช่ตอนนี้นางต้องปิดบังตัวตนไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าตัวนางคือสตรี หาไม่แล้วไม่มือนางก็หัวนางจะต้องขาดแน่
“เถ้าแก่ ท่านล้อเล่นแล้ว เขาเด็กขนาดนี้…อย่างมากก็เป็นแค่ผู้ช่วยในครัว…”
“ซือถาง…เจ้าจะไม่ให้โอกาสซิงถิงได้แสดงฝีมือหน่อยหรือ”
พ่อครัวซือทำท่ากระอักกระอ่วน แบบไม่เชื่อว่าซิงถิงจะสามารถทำอาหารได้
“ชะ…เช่นนั้นก็ได้ขอรับ” เขาหันมามองซิงถิงอย่างพิจารณา “เจ้าลองทำอะไรก็ได้มาให้ข้าชิมหนึ่งจาน”
พ่อครัวซือทิ้งคำสั่งเอาไว้ แล้วตามเถ้าแก่ชางออกไปจากห้องครัว
ซิงถิงมองสำรวจรอบๆ ในห้องนี้มีผู้ช่วยพ่อครัวอยู่อีกสองคน นางยิ้มทักทายพวกเขาโดยมีคนหนึ่งยิ้มตอบนาง ส่วนอีกคนที่อายุพอๆ กับนางแต่โตกว่านิดหน่อยไม่สนใจมองนางแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ซิงถิงไม่มีเวลาจะมาทักทายใครเพราะนางต้องสำรวจวัตถุดิบภายในห้องครัวเสียก่อน
ร่างเล็กๆ เดินไปตรงชั้นเก็บวัตถุดิบแล้วใช้สายตากวาดสำรวจ ที่ครัวนี้มีผักหลากหลายชนิดเลยทีเดียว แต่ดูไม่ค่อยสดสักเท่าไหร่นัก แล้วก็มีจำพวกเส้นด้วย… ‘อืม…ถ้าเมนูเส้นจะดีไหมนะ’ ซิงถิงเอื้อมมือไปจับเส้นหมี่ซั่วขึ้นมาดู “โอ้วแปะก๊วยก็มีของดีเลยนะเนี่ย”
“จะทำเมนูง่ายเกินไปก็ไม่ดี…ยากเกินไปก็ไม่ได้” นางบ่นรำพึงกับตัวเองเบาๆ แน่นอนว่าที่นางไม่อยากทำเมนูยากเกินไปเพราะกลัวว่าผู้อื่นจะสงสัยความสามารถของนาง เนื่องจากตอนนี้นางยังเป็นเพียงแค่เด็กอยู่ “เอาเป็นผัดหมี่ซั่วละกัน”
ซิงถิงจัดการเตรียมวัตถุดิบที่จำเป็นออกมา ก่อนจะเริ่มลงมือทำทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา
ไม่นานนักนางก็จัดการล้างผักที่จะใช้และเตรียมวัตถุดิบจนเสร็จ
“ข้าตั้งไฟให้นะ” ผู้ช่วยพ่อครัวคนหนึ่งที่ดูอายุประมาณสิบกว่าปีเอ่ยเสนอตัวเข้าช่วย ก่อนจะเริ่มตั้งเตาให้ซิงถิง
“ขอบคุณขอรับ” นางยิ้มแป้น “ท่านชื่ออะไรหรือ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องเรียกท่านก็ได้ เรียกข้าว่าซือเทียนเถอะ”
“อะ…อื้ม” ซิงถิงพยักหน้าตกลง
หลังจากที่ตั้งเตาจนกระทะเกือบร้อนแล้ว ซิงถิงก็ไปลากเก้าอี้มาปีนให้ความสูงของตัวเองพอดีกับเตา นางจัดการใส่น้ำลงไปรอให้เดือดแล้วลวกเส้นหมี่ เมื่อเส้นหมี่สุกได้ที่นางก็คีบมันออกใส่ชามที่ตัวเองเตรียมน้ำเย็นเอาไว้เพื่อทำให้เส้นหยุดสุกก่อนจะนำออกไปพักให้เส้นสะเด็ดน้ำ แล้วทำกับถั่วหวานเหมือนกัน
“ซือเทียนช่วยข้าหยิบของหน่อยได้หรือไม่” นางหันไปถามซือเทียน เนื่องจากมือนางสั้น ทั้งยังยืนอยู่บนเก้าอี้จึงเอื้อมไปหยิบไม่สะดวกมากนัก
ซือเทียนพยักหน้า
“เปลี่ยนกระทะให้ข้าหน่อยสิ”
เขาจัดการเปลี่ยนกระทะให้นางตามคำขอ ซิงถิงรอสักพักให้กระทะเดือดแล้วใส่น้ำมันลงไป ตามด้วยกระเทียมสับเจียวไฟอ่อนจนได้กลิ่นหอม เนื่องจากที่นี่ใช้เตาแบบฟืนจึงลำบากกับซิงถิงไม่ใช่น้อยที่ต้องคอยยกกระทะคุมไฟ นางจัดการนำกระเทียมที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองขึ้นมาไว้ขอบกระทะก่อนเพื่อกันไหม้และให้กระเทียมกรอบ จึงใส่เห็ดหอมที่หั่นและแช่น้ำเอาไว้ลงไปผัดจนน้ำที่อยู่ในเห็ดหอมออกมา แล้วนำกระเทียมเจียวลงไปคลุก ใส่เต้าหู้ปลา ซอสปรุงรส ซอสหอยนางรม น้ำตาลทราย และน้ำเปล่าไปอีกนิดหน่อย
ซือเทียนมองเด็กร่างเล็กที่ทำครัวอย่างคล่องแคล่วแล้วนึกชมในใจไม่ได้ แม้เขาจะเข้าครัวมาหลายปีแล้ว แต่ยังทำคล่องแคล่วได้ไม่ถึงครึ่งของนาง และยังคงเป็นได้แค่ผู้ช่วยพ่อครัวอยู่
หลังจากผัดให้เข้ากันแล้ว ซิงถิงก็ใส่แปะก๊วย ตามด้วยถั่วหวาน และแครอท ก่อนจะคลุกเคล้าให้เข้ากัน และสุดท้ายจึงใส่เส้นที่ลวกเอาไว้ลงไปผัด
กลิ่นหอมของผัดหมี่ซั่วทำเอาซือเทียนถึงกับมองกระทะที่ซิงถิงทำไม่วางตา ทั้งหน้าตา รูปร่างล้วนดูน่ากิน ไม่ต้องชิมเขาก็รู้ว่าต้องอร่อยแน่
“เจ้าทำอาหารได้น่าทานจัง”
ซิงถิงยิ้มตอบแบบเขินๆ
เมื่อพ่อครัวซือกลับมาเขาก็ต้องประหลาดใจกับกลิ่นหอมของผัดหมี่ซั่ว ซิงถิงที่ทำเสร็จพอดีรีบนำจานมาตักใส่ให้พ่อครัวซือได้ลองชิม เขามองอาหารตรงหน้าอย่างพิจารณาก่อนจะลองชิม…
คำแรกที่เข้าปากพ่อครัวซือสัมผัสได้ถึงความมัน…ความนุ่มเหนียวของเส้น และกลิ่นหอมของเห็ดหอม ความอร่อยที่ลงตัวไม่มันเลี่ยนจนเกินไปทำให้เขากินเพลินจนหมดจาน เมื่อพ่อครัวซือวางลงตะเกียบลงแล้วเงยหน้าขึ้น ก็พบกับดวงตาใสแป๋วที่จ้องมองอย่างมีความหวังของซิงถิง และซือเทียน
“อะแฮ่ม” พ่อครัวซือแกล้งทำเป็นไอกลบเกลื่อน ซิงถิงก็รีบเทน้ำชาให้เขาทันที เขารับไปดื่มก่อนจะเอ่ย “ถือว่าดีทีเดียว ต่อไปนี้เจ้าคือพ่อครัวของที่นี่”
“เย้~~” ซิงถิงกับซือเทียนต่างร้องออกมาอย่างดีใจ
เด็กชายอีกคนที่อยู่ในห้องครัวมาตลอดมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะลอบออกไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครสังเกต…