“แต่บ้านยังดูใหม่อยู่เลยนะคะ”
“ครับ” เขายิ้ม “บ้านนั้นทิ้งร้างมาตั้งแต่แม่ตาย เมื่อก่อนผมก็มานอนเล่นทั้งบ้านเก่าๆ แบบเดิมมันดิบๆ ดี แต่เมื่อหลายปีก่อนตรงครัวหลังคารั่ว ผมเลยสั่งให้รีโนเวทบ้านนี้ใหม่ไปเลย สตูดิโอที่เราจะทำงานด้วยกันผมก็ทุบห้องสองห้องรวมกันให้ใหญ่ขึ้น และเป็นฝั่งที่หันหน้าออกทางทะเล”
กณิการ์ชะงัก รู้สึกว่าไอร้อนมันลามวูบวาบไปตามแก้มอีกครั้งเมื่อเขาพูดถึงการทำงานที่เธอไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าต้องเปิดเผยเนื้อหนังมากขนาดนั้น
“ช่วงปีแรกๆ ผมแค่มาพักผ่อน มารีเฟรชตัวเองเพื่อกลับไปรับภาระงาน แต่นั่งมองวิวทะเลไปๆ มาๆ ผมก็อยากวาดรูป พอได้เริ่มวาดรูปแรก ผมก็อยากวาดรูปอื่นๆ อีกเรื่อยๆ พอวาดรูปวิวมากๆ ก็เบื่อ เลยลองวาดพอร์เทรตดู แต่ผมน่ะ ถ้าไม่มีแบบให้วาดตามหรือไม่มีคนอธิบายให้วาดตามคำบอกเล่า ผมจะวาดไม่ออกเลยต้องหานางแบบ เลยมาจบที่โมเดลลิ่งของคุณตรีชนิน” เขาเอ่ยนามสกุลของไปรยา “ภาพที่วาดออกมาผมก็ไม่ได้เอาไปเผยแพร่ที่ไหนหรอก แต่ผมรู้สึกว่าได้ชาร์จพลังนะ จะได้มีแรงไปสู้กับงานต่อ”
เขาส่งคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตไปให้ และได้เห็นเธอทำตาโต ร้องว้าว...ออกมาเบาๆ
“คุณวาดเก่งจัง”
กณิการ์รับแท็บเล็ตไปมองหน้าจอที่วาดเป็นภาพเหมือนของเธอที่กำลังนั่งฟังเขาอย่างตั้งใจ ผู้หญิงในรูปนี้ดูคล้ายเธอราวกับพิมพ์กันออกมา แม้แต่แววตายังดูมีชีวิตชีวาสุกใสอย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่เขาใช้เวลาขีดๆ เขียนๆ ปากกาลงบนแท็บเล็ตแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้นเอง
“คุณวาดในแท็บเล็ตเล่นเอาก็ได้นี่คะ เวลาเบื่อๆ เครียดๆ กับงาน”
“มันไม่เหมือนกันนี่ครับ ระหว่างคอมพิวเตอร์กับกระดาษ ก็เหมือนหนังสือเล่มกับอีบุ๊กนั่นละ ผมรักจะอ่านหนังสือแล้วสูดกลิ่นกระดาษไปด้วยมากกว่า” ชายหนุ่มถือวิสาสะลุกขึ้นมายืนข้างหลังเก้าอี้เธอ ร่างสูงโน้มลงมาใกล้ แล้วจิ้มหน้าจอเปิดไฟล์ลับแบบต้องใส่รหัสผ่านออกมา มีภาพวาดมากมายในนั้น “แต่จริงๆ แล้วผมวาดเล่นอยู่บ้างเหมือนกัน ระบายความเครียดในแต่ละวันออกไปบ้าง แต่ไม่ได้ขออนุญาตเจ้าตัว”
กณิการ์นั่งนิ่งตัวแข็ง หัวใจเต้นโครมครามด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อเขาโน้มหน้าลงมาจนลมหายใจเป่ารดข้างแก้ม เธอแอบกลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้นด้วยว่าไม่เคยมีชายใดนอกจากพี่ชายเข้ามาชิดใกล้แบบนี้ แต่อาการเป็นธรรมชาติของเขา ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะทำรุ่มร่าม ก็ทำให้เธอไม่รู้จะหลบเลี่ยงไปทางไหนดีที่จะไม่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเสียมารยาท
ระหว่างนั้นเขาเลื่อนภาพให้เธอดูทีละภาพ มีทั้งภาพเลขาฯ หญิงชาวอิตาลีในชุดสูท รวบผมตึงเปรี๊ยะ และสวมแว่นหนาเตอะกำลังคร่ำเคร่งกับงานเอกสาร ภาพสุนัขวิ่งเล่นกับเด็กในสวนสาธารณะ ภาพถ้วยกาแฟมีควันฉุย มองไปมองมากณิการ์ก็เริ่มมองตามเพลินจนความรู้สึกอึดอัดค่อยๆ คลายลง และพบว่าตนเองเป็นฝ่ายเลื่อนภาพไปเรื่อยๆ ก่อนหยุดตรงภาพหนึ่งที่เป็นภาพหน้าร้านมัทนา มง กาโตว์ จากถนนเส้นที่ขึ้นชื่อว่ารถติดที่สุดเส้นหนึ่งของกรุงเทพฯ
“ทำไมคุณถึงวาดร้านนี้คะ” เธอชี้พร้อมยิ้มกว้าง ขณะกวาดสายตาไปทั่วภาพวาดนั้น
“ที่นี่...” เขาคิดนิดหนึ่ง “อ้อ จำได้เลาๆ ว่าตอนนั้นรถติดมาก ผมเช็กไฟล์งานจากเลขาฯ เสร็จเลยเงยหน้ามองวิวข้างถนน แล้วก็เห็นร้านนี้ ผมว่ามันแปลกดีที่มีอะไรวินเทจแบบนี้อยู่ริมถนนในสถานที่ที่มีตึกสูงๆ อยู่เต็มไปหมด ของจริงสวยกว่าที่ผมวาดมามากนะ ต้นกุหลาบออกดอกเต็มร้านอย่างกับงานเทศกาลดอกไม้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าอยู่ประเทศอะไร นานจนลืมไปแล้ว”
เขาหัวเราะเบาๆ แล้วก้มลงมองหน้าเธอ ก่อนจะเพิ่งพบว่าตนเองโน้มลงมาใกล้จนเกินเหตุ เสียจนปลายจมูกเกือบชนเข้ากับแก้มใส แมทเทียชะงัก นิ่งขึงไปครู่หนึ่ง ก่อนพยายามตัดใจจะผละห่างออกมาจากพวงแก้มหอมกรุ่นยิ่งกว่าดอกไม้ใดในโลกที่เขารู้จัก แต่กณิการ์กลับหันมามองเขาในตอนนั้นพอดีด้วยรอยยิ้มหวานละมุน
“คือร้านนี้...” เธอพูดได้แค่นั้น ก็ราวกับทุกสรรพสิ่งรอบกายนิ่งงัน
หญิงสาวนั่งนิ่ง ตัวแข็งทื่อ มองสบนัยน์ตาสีทองอำพันราวกับแอลกอฮอล์ชั้นดีที่เธออ่านความรู้สึกเขาไม่ออก เพิ่งรู้สึกถึงกลิ่นอายความแข็งแกร่งของบุรุษเพศที่รายล้อมในบรรยากาศ เขาเบียดเธอเกินไป ชิดเธอเกินไป ตั้งแต่เมื่อไร เธอไม่รู้ตัวเลย
แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือเหมือนเธอถูกตะปูยักษ์ตอกตรึงไว้ให้ขยับไม่ได้ ทั้งที่ใบหน้าของเขาและเธอห่างกันแค่เพียงลมหายใจคั่น ไม่สิ...ริมฝีปากบนของเขาแตะริมฝีปากบนของเธอเบาๆ ทว่าสัมผัสที่แตะกันด้วยความบังเอิญกลับทำให้กณิการ์รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเรือกลางทะเลที่กำลังโยกคลอนด้วยเกลียวคลื่นขนาดมหึมา
หญิงสาวเป็นฝ่ายได้สติและถอยหนี จนแมทเทียหลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มชะงัก ขยับห่าง พึมพำขอโทษแล้วลุกไปนั่งฝั่งตรงกันข้ามดังเดิม
ความเงียบก่อตัวขึ้นเนิ่นนาน ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายถามเพื่อทำลายความอึดอัด
“เมื่อกี้คุณจะพูดอะไรเหรอครับ ร้านนั้นทำไม”
กณิการ์เกือบจะตอบตามจริงอยู่แล้ว แต่ก็นึกได้ก่อนว่าเธอปลอมตัวมาเป็นนางแบบในสังกัดโมเดลลิ่งของไปรยา แล้วจะบอกเขาได้อย่างไรเล่าว่าร้านนั้นเป็นร้านของเธอเอง
“คือ...จะบอกว่าร้านนี้อยู่ที่กรุงเทพฯ นี่เองค่ะ ฉันเองก็ผ่านบ่อยๆ เลยจำได้” เธอพูดพลางยิ้มและรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่เรามาคุยรายละเอียดเรื่องงานกันดีกว่านะคะ”
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเวนิตาจะหายสนุก และเบื่อจะลอยไปลอยมาตามคลื่นทะเลแล้ว วิญญาณเด็กหญิงจึงลอยกลับมายังระเบียงร้านอาหารที่บิดาของเธอและกณิการ์กำลังคุยกันเพลินจนหญิงสาวไม่ทันเห็นเธอ
เวนิตาฟังดูก็รู้ว่าเป็นการคุยรายละเอียดเรื่องงานพรุ่งนี้ ประมาณว่าเจอกันกี่โมง ตรงไหน ใส่ชุดแบบไหน และแมทเทียอธิบายว่ากณิการ์ไม่ต้องถอดเสื้อผ้าทั้งหมด เขามีชุดให้ใส่ และจะให้เธอใส่บอดี้สูทไว้ข้างใน
วิญญาณน้อยเอียงคอมองสองหนุ่มสาว ก่อนผินหน้ามองพระจันทร์เสี้ยวที่ฉายประกายวาวบนฟ้ามืดหม่น และแอบอธิษฐานในใจ
ขอให้ภารกิจครั้งนี้ของเธอผ่านไปด้วยดี...