เพราะการจราจรของเมืองหลวงกว่าจะหลุดพ้นออกมาได้ก็ปาเข้าไปเกือบห้าโมงเย็นแล้ว รถของฉันจอดที่หน้าอู่ก่อนจะลงจากรถและประคองร่างของคุณลุงที่ยืนเต็มความสูง ส่วนถุงใส่ยาที่ต้องแอบคุณหินก็เอาเหน็บไว้ด้านหลัง “เตี่ย!” เสียงดังตะโกนมาก่อนตัวที่วิ่งมาหยุดตรงหน้าเราสองคน พอคุณหินเห็นฉันเขาก็ตกใจไม่น้อยทีเดียว “ผมเป็นห่วงแทบแย่” “ห่วงทำไม ก็เตี่ยบอกแล้วว่าจะไปหาเพื่อน... พอดีตอนกำลังนั่งรถกลับเจอหนูเจ้าเอยเขาก็เลยพาเตี่ยมาส่ง” คุณลุงพูดเองเสร็จสัพซึ่งฉันก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ “เออจริงสิ หนูเจ้าเอยว่างหรือเปล่ามาทานข้าวกับลุงไหม? วันนั้นที่ช่วยงานลุงยังไม่ได้ขอบคุณหนูเลย” ฉันยิ้มให้กับคุณลุงแต่ก็ไม่วายสบตากับคนตัวสูงที่ประคองร่างคุณลุงไว้ คำพูดของเขาในวันนั้นมันก็ผุดขึ้นมา ฉันจึงส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับก่อนดีกว่า คุณลุงพักผ่อนเถอะนะคะ” “อ้าว เอาแบบนั้นเหรอ?” แต่น้ำเสียงและสีหน้า