03
= The situation took away =
ห้างสรรพสินค้าในช่วงสายของวัน เนื่องจากช่วงนี้มหาลัยมีกิจกรรมมากมายให้ทำหนึ่งในนั้นคือการปิดการเรียนการสอนเพราะมหาลัยถูกใช้ให้เป็นสนามสอบระดับภาค ฉันก็เลยไม่มีเรียนแต่ก็นัดกับนานาและไพลินออกมาทานเค้กกันที่ห้าง
“มาแล้วจ้า” นานามาถึงไพลินก่อน “สั่งเลยมะ เดี๋ยวไพลินมาก็ค่อยสั่งอีก”
“โอเค พี่คะสั่งอาหารหน่อยค่ะ” ฉันพยักหน้าตอบตกลงหลังจากวันนั้นที่ไปรับรถก็ผ่านไปราวสองอาทิตย์แล้ว ฉันเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ควรจะคิดนั่นคือคำพูดของคุณหินที่หักดิบฉันจนไปไม่เป็นเลยทีเดียว ฉันสลัดความคิดออกไปเมื่อได้อาหารตามที่สั่งซึ่งเครื่องดื่มมาก่อนอันดับแรก
“เออ เจ้าเอยเธอรู้จักพี่ฮาร์ทคณะสถาปัตฯ หรือเปล่า?” เอาจริงคือฉันไม่ได้ว่างถึงขนาดมีเวลาไปนั่งส่องรุ่นพี่ต่างคณะหรอกนะ เพราะฉะนั้นผู้ชายที่นานาเอ่ยถึงฉันไม่รู้จักเลยจึงได้แต่ส่ายหน้าพลางดูดน้ำแตงโม “พี่เขาเป็นท็อปอะ เห็นว่ากำลังจะจีบเธอ”
“จีบฉัน? ทำไมอะ” งงไม่น้อยกับการที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมาจีบ เพราะถ้าจีบนั่นหมายถึงเขาชอบฉัน แต่เราสองคนยังไม่เคยเจอกันเลยนะทำไมถึงได้อยากจีบฉันล่ะ
“ก็จีบไง จีบเธอเป็นแฟน”
“อันนี้ฉันรู้ แต่เขาชอบฉันเหรอถึงได้จีบอะ” ถามกลับไปนานาก็ส่ายหน้า
“รู้มาแค่นี้ โปรไฟล์ดีนะฉันแสกนให้แล้วว่าหล่อ รวย นิสัยอันนี้ต้องดูตอนมาจีบแล้วกัน” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “แต่พูดถึงความหล่อ นี่ฉันยังเสียดายนายหินที่อู่ซ่อมรถอยู่เลยนะ”
“...” เงยหน้ามองนานาที่กำลังมองจานเค้กที่ถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อย
“หล่อ ล่ำ หุ่นแบบน่ากินมากอะ... ไม่น่าจนเป็นแค่ช่างซ่อมรถกระจอกๆ เลยเนาะ”
“เขาเป็นลูกชายเจ้าของอู่”
“หือ? เป็นลูกชายของลุงพี่เมฆอ่อ” พอพูดไปแบบนี้นานาก็ตื่นเต้นขึ้นไปอีก ก่อนจะทำหน้าบูดอีกครั้ง “แต่ก็ได้แค่นั้น ยังไงก็จนอยู่ดี ฉันไม่ชอบผู้ชายที่ทำงานมีกลิ่นเหงื่อเหม็นๆ ตามตัว ตามหน้า ตามมือมีแต่คราบน้ำมัน สกปรกนะเอาจริง”
“ก็เขาทำงานซ่อมรถ ไม่ได้เป็นนายแบบโพสท่าเหมือนแฟนเธอนี่”
“ก็รู้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะความหล่อมันกินไม่ได้ หล่อแค่ไหนฉันก็ไม่เอาหรอก”
“ทำยังกับว่าคุณหินจะเอาเธองั้นแหละ”
“ว่าไงนะเจ้าเอย?” ฉันที่เผลอพูดอะไรออกไป จึงส่ายหน้าให้กับนานาที่ยังคงมองด้วยความสงสัยกับคำพูดของฉันก่อนหน้านี้
“ไพลินมาพอดี” เพื่อนสาวอีกคนมาได้จังหวะพอดีเลย แต่ทว่าสีหน้าที่บูดบึ้งกับดวงตาที่ปูนโปนนี่มันยังไงกัน? “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเหมือนคนร้องไห้มาทั้งคืน”
“ทะเลาะกับพี่ยิมน่ะสิ เขาว่าฉันเอาแต่ใจ... เอาแต่ใจตรงไหนอะแค่เขาไปเที่ยวฉันก็อยากไปด้วย” ไพลินระบายความอึดอัดใจออกมาจนฉันเอื้อมมือไปบีบไหล่เบาๆ “ก็รู้นี่ว่าพี่ยิมรวยมาก ผู้หญิงแต่ละคนที่มาอ่อยคือทำให้พี่ยิมหลงไปได้เลย”
“ยังไงอะ?” นานาถามขึ้นมาบ้าง เท่านั้นล่ะไพลินถึงกับปล่อยโฮออกมาทันที
“เมื่อคืนเขาไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นน่ะสิ ฮือ” ฉันถึงกับไปไม่เป็นเลย ถ้าหากการมีแฟนรวยอวดสังคมได้แต่สุดท้ายเขากลับทำให้เราเจ็บปวดมากที่สุด ฉันว่าฉันขอเลือกคนที่เขาแคร์เราดีกว่าแม้จะไม่ได้มีหน้าตาในสังคมหรือเป็นคนที่มีพร้อมไปทุกอย่าง เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแล้วทำตัวแย่แบบนี้ อย่าหวังว่าคนอย่างฉันจะไปต่อเลย
“เลิกดีไหม ผู้ชายแบบนี้ไม่รักใครจริงหรอก... เขานอกใจเธอไปนอนกับคนอื่นได้ครั้งแรก มันก็ต้องมีครั้งต่อไปนะไพลิน” พยายามปลอบใจเพื่อนแต่ไพลินก็ยังคงสะอึกสะอื้นแล้วมองฉัน
“แต่ฉันรักพี่ยิม ฉันเลิกกับเขาไม่ได้”
“เธอถามตัวเองนะไพลินว่าจริงๆ แล้วเธอรักเขาอย่างที่ใจบอกหรือเปล่า?” แม้จะไม่มีเคยมีประสบการณ์เรื่องความรักมาก่อน แต่ฉันก็พอจะรู้ดีว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำต่อไป เช่นการถูกแฟนนอกใจ “ฉันจะไม่บังคับให้เธอเลิกกับเขา แต่ให้เธอไปคิดทบทวนดูดีๆ ถ้าหากมันมีแบบนี้อีก ไม่มีใครช่วยเธอได้นอกจากตัวเธอเอง”
“...”
“ฉันพูดอะไรมากไม่ได้หรอก สุดท้ายถ้าพวกเธอคืนดีกันฉันต่างหากที่จะกลายเป็นน้องหมา”
นานาถึงกับผุดหัวเราะออกมาทันทีที่ฉันเอ่ยคำพูดจบ จากนั้นเราสามคนก็นั่งกินเค้ก ไปช้อปปิ้งซื้อของและสุดท้ายคือการไปดูหนังที่แม้ว่าฉันจะไม่ได้อยากดูแต่ก็ต้องดู ออกมาจากห้างตรงลานจอดรถหน้าห้างนานาก็มีแฟนมารับ ส่วนไพลินที่เพิ่งทะเลาะกับแฟนก็มาง้อถึงที่ ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะเลิกกับแฟนหรอก
ฉันยังไม่ได้รู้จักรักใครสักคน เพราะฉะนั้นฉันจะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดไม่ได้หรอก
รถของฉันเคลื่อนตัวออกจากห้างเพื่อตรงกลับบ้าน ระหว่างทางก็ผ่านโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งฉันจะไม่สนใจเลยถ้าหากคนที่เดินออกมาไม่ใช่คนที่คุ้นตา “นั่นมัน... คุณลุงพ่อคุณหินนี่?”
ดูเหมือนว่าท่านจะแย่เอามากๆ เลยนะถึงได้ล้มนั่งลงบนม้านั่งรอรถเมล์ ฉันจึงหักเลี้ยวรถจอดเลยที่ป้ายรถเมล์และลงจากรถเดินตรงไปหาท่านที่กำลังสูดดมยาหอมอยู่ พอท่านเห็นการมาของฉันก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจและเอาถุงยาซ่อนไว้ที่ด้านหลัง
“หนูเจ้าเอย หนูมาทำอะไรที่โรงพยาบาล?”
“หนูต่างหากที่ต้องถามคุณลุงค่ะ” ฉันถอนหายใจและประคองร่างสูงที่เดินก้าวอย่างช้าๆ ไปยังรถของตัวเอง เพื่อพาท่านไปส่งที่อู่ซ่อมรถที่เพิ่งจะรู้เมื่อกี้เลยว่าหลังอู่ที่ฉันเดินไปหาคุณหินบ่อยๆ เยื้องไปนิดหนึ่งที่มีต้นไม้ปกคลุมเป็นทางเดินไปยังบ้านของพวกเขา “ตกลงคุณลุงมาโรงพยาบาลเพราะป่วยใช่ไหมคะ ทำไมถึงไม่ให้คุณหินพามาคะ?”
“หินงานเยอะ” คุณลุงตอบพลางดื่มน้ำที่ฉันส่งให้ท่าน “แค่นี้ก็รับผิดชอบมากพอแล้ว ไหนจะดูแลอู่ ดูแลในบ้าน... ลุงไม่อยากให้หินเขาเหนื่อยไปมากกว่านี้”
“แล้วพี่เมฆล่ะคะ?” ฉันถามกลับไปคุณลุงก็มีท่าทีที่อึดอัด “หนูรู้แล้วค่ะว่าพี่เมฆเป็นลูกของคุณลุง”
“งั้นเหรอ” น้ำเสียงเหนื่อยหอบเอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่ายังไงฉันก็ต้องรู้เรื่องนี้เข้าสักวัน “ปกติเขาไม่ค่อยมาที่อู่ เขาไปอยู่กับแม่เขาที่ตึกขายทองอยู่ในตลาดน่ะ”
นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมฉันถึงไม่สนใจพี่เมฆและต่อว่าเขาไปในวันนั้นเพื่อให้เลิกยุ่งกับฉัน แม้แต่พ่อของตัวเองเขายังไม่คิดจะดูแลเลย แบบนี้มันเกินไปมากๆ เขาน่ะเป็นลูกแท้ๆ ของคุณลุงนะขนาดคุณหินที่เป็นลูกเลี้ยงยังดูแลท่านได้ดีกว่าลูกแท้ๆ ซะอีก
“ลุงขอร้อง หนูเจ้าเอยอย่าบอกเรื่องนี้กับหินนะ”
“คะ?” ขมวดคิ้วและหันไปสบตากับท่านที่ทำหน้าสีหน้าอ้อนวอนให้ฉันปิดเรื่องที่มาโรงพยาบาลไว้
“บอกเขาว่าเจอลุงแถวตลาดหรืออะไรก็ได้ เพราะลุงบอกหินไว้ว่าลุงมาหาเพื่อน” ฉันถึงกับพูดไม่ออกเลย ทำไมคุณลุงถึงต้องให้ฉันปิดบังเรื่องมาโรงพยาบาลด้วย? ถ้าบอกคุณหินเขาก็จะได้ช่วยดูแลไม่ดีกว่าเหรอ “นะหนูเจ้าเอย ถือว่าลุงขอ”
คำพูด สีหน้าและแววตาของท่านทำให้ฉันเลิกคิดอะไรมากนอกซะจากตอบตกลงด้วยการพยักหน้ารับ “ก็ได้ค่ะ”