ตุ๊บ!! เอกสารถูกโยนลงบนโต๊ะด้วยแรงโมโห ฉันเพียงยืนสบตากับหัวหน้างานนิ่งๆ ฉันรู้ว่าที่เขาเรียกพบในวันนี้เพราะเรื่องที่ไปบุกกระทืบคนร้ายเมื่อวาน มันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วในเมื่อตอนนี้ถ้าหากว่าฉันจะถูกไล่ออก
“คุณจะรับผิดชอบยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด”
“ฉันยอมรับผิดครั้งนี้เพราะทำผิดกฏของบริษัท”
“คุณกำลังจะบอกว่ายินดีที่จะลาออกงั้นหรอ จริงๆผมก็ไม่อยากเสียนักข่าวฝีมือดีอย่างคุณไปหรอกนะ แต่ที่ผ่านมาข่าวที่คุณทำทำไมถึงมีข้อมูลเพียงนิดเดียว แถมเมื่อวานก็ไม่มีสติจนกลายมาเป็นข่าว ถ้าคุณจะรับผิดชอบด้วยการลาออกผมก็จะยินดีเซนต์อนุมัติให้”
ไม่เห็นต้องพูดยาวเหยียดเลย จะบอกว่าอยากให้ลาออกก็พูดมาตรงๆดีกว่า โถ่ ไอ้เราก็นึกว่าจะชมที่แท้ก็แค่พูดให้ดูดี ส่วนไอ้เรื่องข้อมูลอ่ะ อยากจะบอกเหลือเกินว่าได้มาจนล้นแต่แค่ส่งข้อมูลไปอีกทางแค่นั้น
“ดีเลยค่ะ ฉันก็ไม่อยากทำงานที่นี่แล้วเหมือนกัน เงินเดือนก็น้อย โบนัสนิดเดียวแถมต้องออกไปเสี่ยงตายอีก” ว่าจบฉันก็ยื่นใบลาออกทันที
“คนหยิ่งทะนงอย่างคุณ ไม่นานก็คงไม่มีอะไรเหลือ เชื่อผมสิ”
“แล้วคนที่ชอบใส่หน้ากากเข้าหาคนอื่น คุณคิดว่ามันไม่ดูจอมปลอมลวงโลกไปหน่อยหรอคะ”
“นี่เธอ…”
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าคุณชอบขโมยงานของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ดูมีความสามารถเยอะดีนะคะ” ไม่คิดจะสนใจเสียงที่ดังตามหลัง ก้าวขาออกพ้นประตูก็มุ่งหน้าเพื่อออกจากบริษัททันที การทำงานมันก็มีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อยังมีลมหายใจอยู่จะไปกลัวอะไรกับแค่การตกงาน
“บาร์แกคิดดีแล้วใช่ไหม”
“อืม คิดดีแล้ว แกไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกหน่า”
“เราไปคุยที่ร้านกาแฟดีกว่า”
“ห้ะ นี่มันพรมลิขิตชัดๆ” หลังจากมานั่งที่ร้านกาแฟได้ไม่นานก็ตัดสินใจเล่าเรื่องระหว่างฉันกับนายเคนตะให้ยัยลิเดียร์ฟัง เริ่มจากการที่ดันซวยถูกเลือกให้ไปแต่งงานกับนายเคนตะ
“มันไม่ใช่พรมลิขิตแต่มันคือความซวยของฉันต่างหาก”
“แกไม่ต้องห่วงเรื่องข่าว ฉันจัดการให้เรียบร้อยแล้ว โดยการเขียนข่าวให้เป็นข่าวลือ ใช่สิ มีครั้งหนึ่งที่คุณเคนตะเคยมีข่าวออกเดทกับดาราสาวคนหนึ่งเหมือนจะชื่อว่า..มัดหมี่นี่แหละ”
“แล้วมาบอกฉันทำไม”
“ก็คุณมัดหมี่ไงล่ะที่ทำให้คุณเคนตะเป็นผู้ชายไร้หัวใจมาจนถึงทุกวันนี้” อย่างนายนั่นนะหรอจะถูกผู้หญิงหักอก
“แล้วตอนนี้เธอคนนั้นอยู่ไหน แล้วทำไมทั้งสองคนถึงเลิกกัน”
“เพราะแม่คุณเคนตะไม่ชอบยังไงล่ะ ถึงกับหาผู้หญิงอย่างคุณอลิซมาประเคนขนาดนั้นแกคิดว่าความรักของทั้งสองจะราบรื่นหรือเปล่าล่ะ ส่วนตอนนี้เธอน่าจะไปเรียนการแสดงที่ต่างประเทศ อ้อ เรื่องนี้เป็นข่าววงในที่ฉันหาได้ นอกจากฉันแล้ว โนจ้ะ ไม่มีใครรู้”
“แหม่ รู้สึกภูมิใจเหลือเกินนะ”
“แล้วแกล่ะยัยบาร์ คุณเคนเป็นยังไงบ้าง เขาเป็นผู้ชายอบอุ่นใช่ไหมะ” เกือบจะสำลักน้ำออกมา
“แกใช้อะไรดูว่านายนั่นเป็นผู้ชายอบอุ่น”
“เอ้า ทำไมล่ะ ฉันอยู่สายบันเทิงมานานดูก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ชายอบอุ่น”
“ใส่หน้ากากไม่ว่า หยุดพูดเรื่องเขาได้แล้ว พอดีฉันมีธุระต้องไปทำต่อ ไว้เจอกันใหม่”
“อืม บาย กลับดีๆนะแกระวังถูกใครฉุดเข้าล่ะ” ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเพื่อนเดินจนลับสายตา มองบรรยากาศรอบๆก็มีแต่รถที่แล่นผ่านเต็มถนน ไม่เหมือนตอนที่อยู่บ้านที่มีแต่ทุ่งนานต้นไม้เขียวขจี จะว่าไปก็คิดถึงบ้านแฮะ
Rrr Rrr
เสียงจากมือถือทำให้หลุดจากภวังค์ พอเห็นว่าเป็นใครที่โทรเข้ามาความตื่นตัวแล่นผ่านร่างกายอันนิ่งๆของฉันทันที อะแฮ่ม นะโม มะโม เย็นไว้
“สวัสดีค่ะ”
( อะไรกัน เวลาคุยกับผมทำไมเสียงต้องสั่นล่ะ )
“ปกติค่ะ เอ่อ ว่าแต่ท่านโทรมาแบบนี้..”
( ผมกำลังจะส่งคู่หูไปให้ในไม่ช้า หวังว่าคุณจะพอใจ )
“คู่หูอะไรกันคะ บาร์ไม่อยากได้”
( ผมจะปล่อยให้คนในหน่วยต้องทำงานคนเดียวได้ยังไง เอาเป็นว่าคุณก็รับๆไปเถอะ )
อะไรเนี่ย ท่านนะท่าน จะทำอะไรทำไมไม่ปรึกษากันเลย คิดจะส่งใครมาก็ได้หรือไง แล้วหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่ยอมบอก คิดว่าอีบาร์บี้คนนี้มาตาทิพย์หรือไงกัน
แฉ๊ะ แฉ๊ะ เจ้าของใบหน้าหล่อชวนมองอย่างน่าหลงไหล รูปหล่อพ่อรวยดีกรีหนุ่มนักแสดงมาแรงและกำลังจะขึ้นแท่นเป็นประทานบริษัทยักษ์ใหญ่อยู่ตอนนี้สร้างความสนใจให้กับผู้หญิงไฮโซไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่นักแสดงเดียวกัน
อลิซที่กำลังยืนโพสท่ากับเคนตะอย่างสง่างาม เธอคือหนึ่งในนั้นที่หลงรักผู้ชายคนนี้ แต่พยายามเท่าไหร่ก็ได้แค่ความเย็นชากลับมา เธอแพ้ผู้หญิงในความทรงจำของเขาและเธอก็เกลียดผู้หญิงคนนั้น
“เคนคะ หลังจากถ่ายแบบเสร็จเราไปหาอาหารญี่ปุ่นทานดีไหม” มือบางยื่นไปกอดท่อนแขนแกร่งแน่น ริมฝีปากแดงคลี่ยิ้มออกมาให้สายตาหลายคู่ที่กำลังจับจ้องมาที่เธอและเขา
“วันนี้ผมไม่ว่าง” ร่างสูงดึงแขนตัวเองกลับก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องเพื่อเปลี่ยนชุดโดยไม่สนใจอลิซแม้แต่น้อย มือหนาคว้ามือถือกดโทรหาใครคนหนึ่ง ไม่นานปลายสายก็กรอกเสียงเชิงหงุดหงิดมา ซึ่งทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
( ว่าไงคะ คุณสามี )
“ขับรถมารับฉันที่กองถ่ายต้องมาถึงที่นี่ภายในสิบนาที”
( นายจะบ้าหรอ ขับรถนะไม่ได้นั่ง ฮ.ไป ดูสภาพบ้านเมืองก่อนรถก็ติด แล้วผู้จัดการอยู่ไหนทำไมไม่ให้เขามาส่ง )
“ผู้จัดการไม่ว่าง แค่นี้นะ อย่าช้า”
คิดว่านายเป็นใครถึงมาสั่งให้ฉันทำ ภายในสิบนาทีใครมันจะขับรถไปถึงเร็วขนาดนั้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งกวาดสายตาไปมองไปตามถนนจู่ๆก็นึกอะไรออก ถ้าไปกับตุ๊กๆล่ะ
“ลุงไปสวนทานตะวันให้เร็วที่สุด ถ้ามีทางลัดก็ไปทางลัดเลยค่ะ” เกือบตกรถเมื่อลุงกระตุกเกียร์เหยียบคันเร่งมิด
“เองรีบขนาดนั้นเลยหรือนังหนู”
“ใช่ค่ะ พอดีต้องรีบไปจับว่าผัวแอบมีกิ๊กหรือเปล่า ฉันก็เลยต้องพึ่งลุงนี่แหละ”
“ได้ ลุงเองก็เกลียดผู้ชายหลายใจเหมือนกัน จับดีๆล่ะ” กรี๊ด ได้แต่กรี๊ดในใจ อยากจะบอกว่าไม่เอาแล้วได้ไหม ฉันยังไม่อยากไปเฝ้ายมโลกนะ หลับตาเพราะไม่กล้ามองทาง ลุงขับเร็วจนรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา แต่ทุกอย่างก็คลี่คลายลงเมื่อรถเบรคจอดนิ่งสนิท
ฉันเดินลงจากรถด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด “เป็นไงบ้างนังหนู”
“สบายมากลุงแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้ ลุงรอตรงนี้แปปหนึ่งนะ” บอกลุงเสร็จก็เดินเข้าไปในสวนทานตะวันแต่เดินยังไม่ถึงทางเข้ากลับต้องก้าวถอยหลังมาตั้งหลัก ฝูงชนจำนวนมากมุ่งตรงมาทางฉันพร้อมกับกล้อง
“คุณใช่ไหมคะที่เป็นผู้หญิงในรูปนี้”
“เอ่อ..”
“ข่าวลือที่ถูกแพร่ออกมามันคือเรื่องจริงใช่ไหม ที่คุณกับนักแสดงหนุ่มอิสระแต่งงานกัน” อะไรกัน พวกเขาได้รูปวันแต่งงานของฉันมาจากไหน มันหลุดออกมาได้ยังไง
“คือฉัน ฉัน..” พอถูกถามแบบนี้กลับตอบไปถูก ฮือ ฉันควรทำยังไงดี เป็นนักข่าวอาชญากรรมอย่างฉันไม่เคยแม้แต่คลุกคลีกับคน ส่วนมากก็อยู่เบื้องหลังของข่าวข้อมูลไม่เคยออกหน้าเอง มาเจอแบบนี้ก็ไปไม่ถูกเหมือนกันนะ
“สรุปมันคือเรื่องจริงใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ” เสียงทุ้มดังขึ้น ได้แต่มองร่างสูงเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ข้างๆ แต่ที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือเขากำลังโอบไหล่ฉันต่อหน้านักข่าว เขาคิดจะทำอะไร
“ที่คุณเคนตอบมาเมื่อกี้ ถ้าเธอคือภรรยาลับของคุณแล้วกับคุณอลิซมีสถานะแบบไหนกันคะ”
“ผมกับอลิซเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกัน แต่ผู้หญิงคนนี้คือภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมาย ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ปกปิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเราสองคน “
“ขอทราบเหตุผลได้ไหมคะ”
“เพราะภรรยาของผมเธอเป็นคนนอกวงการ ผมไม่อยากให้เธอต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ ต่อจากนี้ขอพื้นที่ส่วนตัวให้พวกเราด้วยนะครับ” ว่าจบแขนฉันก็ถูกดึงให้เดินตามออกจากตรงนั้นเข้ามายังห้องแต่งตัวที่ตอนนี้มีดารานักแสดงมากมายยืนอยู่ และพวกเขาคงจะรู้แล้วว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น
“อยู่ในนี้ห้ามออกไปไหน ผมฝากด้วยนะยิ้มหวาน”
“ได้ค่ะ” พอดึงสติตัวเองกลับมาก็มีพี่ที่ชื่อยิ้มหวานพามานั่งอีกห้องหนึ่ง
“พี่ชื่อยิ้มหวานนะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเคนตะ” ผู้จัดการก็อยู่ทำไมต้องให้ฉันแบกหน้ามารับด้วย แถมยังทิ้งลุงไว้คนเดียวอีก
“บาร์บี้ค่ะ เอ่อ บาร์ขอออกไปตอนนี้ได้หรือเปล่า คือยังไม่ได้จ่ายค่ารถเลย” เพียงยิ้มแห้งๆออกมาเพราะตอนนี้ลุงน่าจะรออยู่
“เดี๋ยวพี่เอาไปจ่ายให้ รถตุ๊กๆใช่ไหมพอดีพี่เห็นเราลงมาจากรถนั้น”
“ใช่ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ นั่งรอคุณเคนตะที่นี่ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด”
พี่ยิ้มหวานเดินออกไปไม่นานก็มีบุคคลที่ไม่รู้จักเดินเข้ามา ไม่ใช่อลิซแต่เขาเป็นผู้ชาย เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีในระดับหนึ่ง สายตาของเขาที่ใช้มองฉันมันสื่อถึงความสนใจ
“ดูดีๆก็ไม่เลวนี่ ได้ข่าวว่ามาจากต่างจังหวัดหรอ”
“คุณเป็นใครก็ไม่รู้ ทำไมฉันต้องบอกเรื่องส่วนตัวด้วย” เขาเพียงเค้นหัวเราะ
“เธอไปอยู่ไหนมาถึงไม่รู้ว่าฉันคือเรนจินักแสดงดัง” ฉันพยักหน้าเชิงเข้าใจก่อนจะหยิบมือถือมากดเล่นโดยไม่สนใจอีกคนในห้อง
“เย็นชาจังนะ ไม่คิดจะแนะนำตัวหน่อยหรอ”
ติ้ง รูปที่ถูกส่งเข้ามาทำให้ฉันจ้องไปที่คนตรงหน้าอีกครั้ง ยกมือถือขึ้นมองสลับกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเก็บมือถือไว้ดังเดิม
พรึบ!! จัดการพลักอีกฝ่ายจนแผ่นหลังของเขาชิดกำแพงซึ่งเรนจิมีสีหน้าตกใจไม่น้อยกับการกระทำของฉัน
“เป็นนายใช่ไหมเรนจิ”
“หมายถึงอะไร” มัวแต่เล่นตัวอยู่ได้ ไวกว่าความคิดก็ปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายออกก่อนจะจิ้มไปที่สัญลักษณ์บริเวณหน้าอกของเขา
“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคู่หูเป็นดารา” พูดออกมาแบบเซ็งๆเพื่อให้เขาได้ยิน และดูว่าอีกฝ่ายก็กำลังตกใจไม่ต่างกับฉัน
“ล้อเล่นหน่า แล้วนั่นเธอจะทำอะไร”
“โทรบอกหน่วยให้ส่งคนอื่นมาแทนไง”
“เฮ้ ไม่ได้นะ” แกร็ก ในขณะที่เรนจิแย่งมือถือจากฉันนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยร่างสูงอีกคน เคนตะมองมาที่พวกเราสองคนสลับกันก่อนจะมาหยุดที่เสื้อไม่ได้ติดกระดุมของเรนจิ
“คิดจะทำอะไรกัน” มือหนาดึงฉันให้ออกห่างจากเรนจิทันที
“ผมแค่แวะมาทักทายนิดหน่อย เป็นถึงภรรยาของรุ่นพี่ก็เลยอยากทำความรู้จักแค่นั้น”
“กลับ” ตอนนี้เกิดอาการมึนงงไปหมดแล้ว จู่ๆก็ถูกลากออกจากห้องโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยแถมเหมือนเขาจะอารมณ์ไม่ค่อยดีอีกด้วย
“นี่ ทั้งหมดมันไม่ใช่ความผิดของฉันนะ นายเองต่างหากที่บอกให้ฉันมา”
“อย่ามัวแต่พูดมากแล้วรีบขึ้นรถ จะรอให้นักข่าวแห่มาอีกหรือไง”
“รู้แล้วหน่า”
โปรดติดตามตอนต่อไป..........