“มิตา รับโทรศัพท์หน่อย คุณเอกโทรมา”
ปิ่นตัดสินใจเดินถือโทรศัพท์เข้าไปยื่นให้ดาราสาวที่หน้าเซตในขณะที่พระนางกำลังต่อบทกันด้วยความเคร่งเครียดเพราะซีนนี้คือซีนอารมณ์
ที่เธอต้องทำอย่างนั้นเพราะเอกอนันต์กระหน่ำโทรเข้ามาเป็นสิบสาย แถมยังส่งไลน์มารัวๆ อีกต่างหาก ไม่รู้ว่าหนุ่มสาวคู่นี้มีเรื่องทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า
“พี่ปิ่นรับสายเลยค่ะ บอกเขาว่ามิตาเข้าฉากอยู่ เมื่อคืนที่โทรหาเขา มิตาสะดุ้งตื่นมากลางดึกเพราะฝันร้ายค่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“จ้ะ”
นั่นไง ท่าทางจะมีเรื่องราวระหองระแหงกันจริงๆ สินะ อย่างน้อยๆ น้องสาวของเธอก็คงจะงอนที่เขาไม่รับสาย
“หึ คงจะโทรมาง้อ ก็เล่นตัวหน่อยแล้วกัน เผื่อได้แหวนเพชรสักสองสามกะรัตปลอบใจที่มัวแต่เอาคนอื่นจนไม่ยอมรับสายเธอ”
“ขอบใจที่บอกนะ แต่ฉันว่าฉันอาจเรียกค่าปลอบใจของฉันได้มากกว่านั้น อยากเห็นไหมล่ะ”
คนสวยลอยหน้าลอยตาตอกกลับด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะยกบทขึ้นมาอ่าน ปิดจบบทสนทนาไร้สาระไว้แต่เพียงเท่านี้
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี ดอกกุหลาบสีขาวนำเข้าช่อโตจำนวน 88 ดอก จากนักธุรกิจสุดฮ็อตที่สาวๆ หลายคนอยากครอบครองก็ส่งมาถึงมือนางเอกสาว ท่ามกลางสายตาดุดันที่ลอบมองเธอจากระยะไกล
เธอเปิดการ์ดขึ้นอ่านก็อมยิ้มเล็กน้อยในความใส่ใจของเขา แบบนี้นี่เองสาวๆ ถึงอยากเลื่อยขาเก้าอี้ตำแหน่งคนรักของเธอนัก
“ผมส่งกุหลาบสีขาว 88 ดอก มาง้อมิตา ผมขอโทษ ที่ไม่ได้ปกป้องมิตาจากฝันร้าย ยกโทษให้ผมนะครับ รักมิตาคนเดียว”
“อุ๊ย กี่ดอกคะเนี่ยพี่มิตา ช่อใหญ่มาก อิจฉาจัง”
มยุรีเอ่ยแซวเสียงหวาน ทำทีอยากรู้อยากเห็นอย่างเต็มที่ มิตาจึงเก็บการ์ดใส่กระเป๋าแล้วส่งกุหลาบช่อนั้นให้สาวๆ ทั้งกลุ่มที่จ้องมาที่เธอตาเขม็ง
“อะ เอาไปนับดูสิ”
“นับจริงๆ นะคะ จะส่งมาในความหมายไหนนะ”
นางเอกสาวพยักหน้าให้สาวๆ กลุ่มนั้น แล้วเดินเลี่ยงออกไปโทรหาคนรักหนุ่มที่ส่งไลน์มาถามพอดีว่าได้รับดอกกุหลาบแล้วหรือยัง
“มิตาครับ ผมขอโทษนะครับ ที่เมื่อคืนไม่ได้รับสายมิตา”
“มันยังไม่ใช่เวลานอนของคุณนี่นา คุณไปไหนหรือคะ”
แม้จะรู้อยู่แล้ว แต่ก็อยากจะถาม เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะโกหกอย่างไร เผื่อว่าในอนาคตหากต้องแต่งงานกันไปจะได้เตรียมตัวรับมือถูก เพราะถ้าเธอขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาคงไม่มีทางยินยอมให้สามีของตัวเองไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยแน่ๆ แม้จะเข้าใจในธรรมชาติของผู้ชายเจ้าชู้ที่มีเงินก็ตาม
“เอ่อ พอดีมิตาปฏิเสธไม่ให้ผมไปหา ผมก็เลยโทรนัดเพื่อนออกมาสังสรรค์กันนิดหน่อย ตอนที่มิตาโทรมาผมไม่รู้ตัวเลย เพราะมันเสียงดัง แล้วโทรศัพท์ก็ไม่ได้เปิดเสียงเอาไว้”
เขาไม่ได้โกหกทั้งหมด เขาโทรนัดคนอื่นออกไปสังสรรค์จริงๆ หลังจากที่เธอปฏิเสธเขา เรื่องที่เขาไม่ได้เปิดเสียงโทรศัพท์ก็เป็นเรื่องจริง แถมในตอนนั้น ทั้งเสียงหัวเตียงกระแทกผนัง ทั้งเสียงเนื้อกระทบกันและเสียงครวญครางของผู้หญิงคนนั้นมันดังกลบเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น จนเขาไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าเธอโทรมา ไม่อย่างนั้นเขาคงจะรีบรับสายของเธอก่อนแน่ๆ เรื่องที่เขาโกหกจึงมีเพียงเรื่องเดียวคือผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เพื่อนของเขา แต่คือคู่นอนอีกคนที่เขาเคยรู้จักตอนเรียนอยู่เมืองนอก
และเพราะคู่ขาเก่าคนนี้เป็นผู้หญิงรักสนุกประเภทเดียวกับเขา ไม่ผูกมัด ไม่หึงหวง ไม่ต้องการเงินทองของมีค่า เพราะเธอเองก็มีมากมายจนใช้ไม่หมด เธอต้องการเพียงแค่เซ็กซ์ดีๆ เพื่อปลดเปลื้องความเครียดของร่างกายเท่านั้น เขาจึงไว้ใจที่จะค้างคืนด้วย ทำให้กว่าจะรู้ตัวว่าคนรักโทรมาก็ตอนเช้าที่ต้องแยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว
แม้จะรู้สึกผิดที่ต้องโกหกเธอ แต่ไม่รู้ทำไมถึงหยุดความต้องการด้านนี้ของตัวเองไม่ได้เสียที ทั้งที่เขาตั้งใจจะคบกับเธออย่างจริงจังจนถึงขั้นแต่งงานอยู่กินกันตลอดชีวิต และเขาก็โยนความผิดไปให้กับความผูกพันทางกายของเธอกับเขาที่มันไม่มากพอจะตอบสนองและเติมเต็มความต้องการด้านนี้ของเขาได้
ซึ่งเขาเชื่อว่าหากวันใดเธอยอมให้เขาลึกซึ้งด้วย วันนั้นเขาจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงทุกคนได้อย่างแน่นอน แต่ในวันที่ความต้องการทางกายของเขายังวิ่งไหลแล่นพล่านไปทั่วร่างแบบนี้ เขาจึงเลือกที่จะมีสัมพันธ์ชั่วคืนกับคู่ขาเก่าที่ตอบสนองเขาได้อย่างถึงแก่นและควบคุมง่ายๆ เพียงสองคนเท่านั้น
“เหรอคะ มิตาขอโทษที่โทรไปกวนคุณนะคะ”
แม้จะรู้ว่าเขาโกหก แต่หัวใจของคนรักอย่างเธอกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย เธอรู้ดีว่าที่เขาต้องไปปลดปล่อยกับผู้หญิงคนอื่น เหตุผลหลักมันก็มาจากเธอที่ไม่ยอมมีความสัมพันธ์กับเขาอย่างที่คู่รักปกติทำกัน
ทั้งที่เธอก็ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องมาจากไหนแท้ๆ แต่กลับทำใจมีอะไรลึกซึ้งกับเขาไม่ได้เสียที ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกัน
“ไม่ได้รบกวนเลยครับ แต่ถ้ามิตากลัวจะฝันร้ายแล้วติดต่อผมไม่ได้อีก ก็ให้ผมไปนอนเป็นเพื่อนมิตาสิครับ ไม่ต้องมีอะไรกันก็ได้ ผมทนได้”
“มิตาขอโทษที่เห็นแก่ตัวกับคุณนะคะคุณเอก อดทนอีกหน่อยนะคะ”
เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลให้เธอเองก็รู้สึกผิดที่เป็นคนผลักไสให้เขาไประบายความต้องการกับคนอื่น และจึงโกรธเขาไม่ลงทั้งที่เรื่องแบบนี้ไม่มีทางที่ผู้หญิงคนไหนจะรับได้แท้ๆ
“ผมรอมิตาได้”
“แต่ถ้าคุณรอไม่ได้ เจอคนที่ถูกใจกว่า หรืออยากจะเลิกกับมิตาก็บอกกันตรงๆ นะคะ มิตาเข้าใจและจะไม่โกรธคุณเลย”
“ทำไมมิตาพูดแบบนั้น ถึงผมจะเจ้าชู้ แต่ที่ผมบอกว่าผมรักมิตา ผมรักจริงๆ ที่ผมบอกว่าอยากแต่งงานกับมิตา ผมก็พูดและรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”
“มิตารู้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่าคุณอดทนหน่อยนะ มิตาจะพยายามค่ะ”
“ขอบคุณมากครับมิตา ผมรักมิตานะ”
“ค่ะ มิตาก็รักคุณค่ะ”
นางเอกสาววางสายแล้วเตรียมตัวกลับเข้าไปในบริเวณที่ทีมงานนั่งกันอยู่ แต่กลับถูกกระชากแขนจนถลาตามผู้ชายร่างใหญ่เข้าไปที่มุมลับตาคน
“พัชร์ แกปล่อยฉันนะ”
เขาไม่ปล่อยมือ ยังคงลากแขนเธอให้เดินตามมา กรามแกร่งขบกันแน่น ดวงตาคมกริบแดงก่ำมองตรงไปข้างหน้า ไม่หันกลับมามองหรือพูดอะไรกับเธอแม้แต่น้อย
ท่าทีของเขาทำเอาเธอไม่กล้าโวยวายอะไรออกมามากมาย เพราะสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของเขาเข้าใกล้จุดเดือดขึ้นไปทุกที จึงยอมเดินตามเขาเข้าไปที่มุมตึกลับตาโดยทำเพียงบิดข้อมือเล็กน้อยพอเป็นพิธีเท่านั้น
“โอ๊ย เจ็บนะไอ้พัชร์ แกเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก”
แผ่นหลังเล็กกระแทกผนังทันทีที่เข้ามาอยู่ในมุมลับตา เขาใช้แขนทั้งสองข้างกักขังเธอเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้โดยง่าย ความเจ็บทำให้เธอหลุดคำพูดด่าทอเขาออกมาอีกแล้ว แม้จะรู้ตัวว่าไม่ควรยั่วประสาทเขาในตอนนี้
“รู้สึกเจ็บเป็นด้วยเหรอ นึกว่าหมดความรู้สึกไปแล้วเสียอีก ขนาดโดนผัวสวมเขาไปเอากับคนอื่น เธอยังไม่เห็นจะรู้สึกรู้สาอะไรสักนิด”
“แล้วแกยุ่งอะไรด้วย”
“ก็ฉันเป็นเพื่อนแกไง”
“รู้ตัวด้วยเหรอ ว่าเป็นแค่เพื่อน”
คำพูดของเธอทำเอาเขาชะงัก ที่จริงเขาเป็นแค่เพื่อน เขาไม่มีสิทธิ์มาทำตัวหัวร้อนเพียงเพราะรู้ว่าเธอไม่ได้ทะเลาะหรือเลิกรากับหมอนั่นด้วยเหตุผลที่ไม่มีทางที่ผู้หญิงคนไหนจะรับได้
“รักมากเหรอ ผู้ชายคนนั้น”
“ทำไมต้องถาม คนคบกันก็ต้องรักกันอยู่แล้ว”
“เธอดูไม่เดือดร้อนที่หมอนั่นมีผู้หญิงคนอื่น”
“ฉันไม่มีวันเชื่อเรื่องไร้สาระที่แกกุขึ้นมาหรอกนะ ถ้าไม่มีหลักฐาน ไม่ต้องมาพูดเรื่องแบบนี้กับฉันอีก”
“เธอเชื่อผู้ชายคนนั้นมากกว่าฉันงั้นเหรอมิตา”
“พัชร์ ผู้ชายคนนั้นคือคนที่ฉันคบอยู่ และในอนาคตฉันก็จะแต่งงานด้วย ถ้าฉันไม่เชื่อผัวฉัน จะให้ฉันเชื่อเพื่อนที่มันเคยปล้ำฉันอย่างนั้นหรือไง แกเองมันก็ไม่ได้ดีเลิศมาจากไหน หยุดใส่ร้ายผัวฉันเสียที ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนกับคนอย่างแก ถอย”
มิตาผลักอกแกร่งแต่เขากลับรวบข้อมือทั้งสองข้างนั้นขึงพืดกับผนังเย็นเยียบ แล้วปล้ำจูบเธออย่างรุนแรงราวกับต้องการระบายความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจที่เธอมองเขาด้วยสายตารังเกียจ ทั้งที่เขาแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว