แต่เมื่อได้กลิ่นสาบคล้ายศพเน่าลอยฟุ้งมาทางหน้าบ้านพายุจึงหันไปมองก่อนจะเห็นดวงวิญญาณผู้หญิงผมยาวใส่ผ้าถุงไม่ใส่รองเท้ายืนจ้องมองสามคนที่นั่งบนรถมอเตอร์ไซค์เพราะเข้ามาในบ้านไม่ได้
เห็นแบบนั้นพายุก็ถอนหายใจออกมาแรง ๆ เพราะไม่รู้เลยว่าสามคนนี้ใครมันเป็นคนพาผีตนนั้นมาที่บ้านของเขาด้วย
ทางด้านฟ้าใหม่เมื่อเสขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดในบ้านเธอก็เหลือบมองพายุที่ยืนกอดอกอยู่หัวบันไดบ้าน เขาสวมใส่แค่ผ้าโสร่งผืนเดียวท่อนบนเปลือยเปล่าเผยหน้าอกกำยำที่มีรอยสักสังวาลย์เสือคู่และยันต์แปดทิศเด่นชัด
ถึงแม้เห็นหน้าเขาในระยะไกล ๆ แต่ฟ้าใหม่ก็รู้ว่าหล่อมาก…
ทางด้านพายุละสายตาจากผีตนนั้นเดินย่ำลงไปข้างล่างหยุดยืนบันไดขั้นสุดท้ายที่มีต้นว่านพระตะบะวางอยู่
ทำให้เสเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของพายุชัด ๆ ก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากและไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อจึงรีบยกกระเป๋าของฟ้าใหม่และพระพายลงจากรถแล้วหันไปเอ่ยบอกทั้งสองคนที่ไม่ยอมลงจากรถสักที
“ข่อยสิเมียบ้านแล้วหมู่เอื้อยลงจากรถแหน่” (ฉันจะกลับบ้านแล้วพวกพี่ลงจากรถหน่อย) พระพายได้ยินแบบนั้นก็ลงจากรถหันไปส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้พายุพร้อมน้อมรับความผิดที่ไม่ยอมบอกพายุก่อนว่าจะพาฟ้าใหม่มาบ้านด้วยทำให้พายุมีสีหน้าดูไม่ค่อยรับแขกแบบนั้น
หารู้ไม่ว่าพายุไม่โกรธเคืองเรื่องนั้นเท่ากับใครมันพาผีมาที่บ้านเขาด้วย…
เมื่อทุกคนลงจากรถหมดแล้วไอ้เสก็รีบขับรถออกไปทันที พายุมองตามรถไอ้เสที่วิ่งไกลออกไปเรื่อย ๆ แต่ผีตนนั้นก็ยังไม่มีวี่แววจะไปไหนมันยังยืนอยู่ที่เดิมทำให้พายุรู้ทันทีว่ามันตามใครมา
พอรู้แบบนั้นก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่ที่พระพายพาเพื่อนมาบ้านโดยไม่บอกก่อนแถมเพื่อนยังพาผีมาบ้านเขาอีก
“พาผู้ได๋มานำ?” (พาใครมาด้วย?) เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความน่าเกรงขาม
“หมู่ข่อย” (เพื่อนฉัน)
“สวัสดีค่ะ” ฟ้าใหม่รีบยกมือไหว้คนตรงหน้าตามมารยาทก่อนจะส่งยิ้มให้พายุตามที่พระพายเคยบอกไว้ ทั้งที่เธอเองก็กลัวสายตาคู่นั้นที่มองมาไม่น้อยแต่ก็พยายามทำใจดีสู้เสือเข้าไว้
“พามาเฮ็ดหยัง?” (พามาทำไม?)
“มาเที่ยวเล่นซื่อ ๆ นี่ละ” (มาเที่ยวเล่นเฉย ๆ นี่แหละ)
“มาผู้เดียวบ่ว่าดอก” (มาคนเดียวไม่ว่าหรอก) พายุบ่นพึมพำคนเดียวก่อนจะเหลือบมองเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มที่ยืนมองเขาตาปริบ ๆ ซึ่งมันก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อยแต่ในตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิดนอกจากจะทำยังไงกับผีตนนั้น
เพราะถ้าหากเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ตามเธอมาในช่วงที่เธอดวงตกก็จัดการง่ายหน่อย แต่ถ้าหากเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเธอละก็ เห็นทีต้องไล่เธอออกจากบ้านพร้อมกับผีตนนั้นแน่ ๆ
พายุยืนครุ่นคิดไม่ตกช้อนตามองใบหน้าฟ้าใหม่ที่ยืนยิ้มให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ แล้วเอ่ยบอกพระพายให้รีบพาฟ้าใหม่ขึ้นบ้านทันที
ซึ่งทั้งสองก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย…
“แกถือไหวไหม?”
“ไหว ๆ สบายมาก แกเดินนำไปเลย” ฟ้าใหม่รีบหยิบกระเป๋าสองใบขึ้นมาสะพายแล้วยกกระเป๋าลากใบใหญ่เดินตามพระพายไปที่บันไดด้วยท่าทีทุลักทุเลซึ่งพายุก็กอดอกยืนมองนิ่ง ๆ โดยไม่คิดที่จะเข้าไปช่วย
ขณะที่ฟ้าใหม่กำลังจะเดินผ่านพายุขึ้นไปบนเรือนกลิ่นตัวหอม ๆ ของเธอก็กระทบปลายจมูกเขาเต็ม ๆ พายุจึงแอบชำเลืองมองหน้าฟ้าใหม่เล็กน้อยแต่เมื่อเธอหันมาสบตากันเขาก็เบือนหน้าทางอื่น…
เมื่อฟ้าใหม่กับพระพายขึ้นไปบนเรือนเรียบร้อย พายุก็มองไปหน้าบ้านเห็นผีห่าตนนั้นจ้องมองหน้าเขาเขม็งเหมือนโกรธแค้นเขามาก…
“มึงมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นซะ” สุ้มเสียงหนักแน่นกับใบหน้าเคร่งขรึมบ่งบอกว่าเขาไม่ได้เกรงกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว
“อย่ามายุ่ง” ผีตนนั้นขยับปากพูดทำให้น้ำเหลืองไหลย้อยออกมาทางปากส่งกลิ่นเหม็นเน่าจวนเจียนจะอ้วก
“เป็นผีอย่ามาเก่งกว่าคน เดี๋ยวมึงก็ตายอีกรอบหรอก ไปซะพรุ่งนี้กูจะให้เขาทำบุญไปให้” พูดจบพายุก็ปัดมือไล่มันแล้วเดินกลับขึ้นไปบนเรือน ปล่อยให้ผีตนนั้นยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้สวดไล่มันแต่อย่างใด เพราะมองก็รู้ว่าเป็นแค่ผีเร่ร่อนธรรมดาไม่ได้มีฤทธิ์แกร่งกล้าอะไร…