“ดูปากฐานิดานะคะ ไม่ค่ะ!”
หญิงสาวยืนกรานหนักแน่นรอบที่สิบแม้จะถูกรบเร้าและหลอกล่อด้วยข้อเสนอต่างๆ เช่น ทริปสวีตที่มัลดีฟ บริการถูหลังตอนอาบน้ำ บริการนวดน้ำมันก่อนนอน ทุกข้อเสนอที่กล่าวมานายทุนหนุ่มล้วนแต่หาผลประโยชน์เข้าตัวทั้งนั้นคิดยังไงหล่อนเสียเปรียบทุกทางขาดทุนตั้งแต่ข้อเสนอ ดังนั้นจึงต้องเสียงแข็งไม่อนุญาตให้เขาย้ายมานอนห้องเดียวกันและจะต้องนอนแยกห้องจนกว่าจะแต่งงาน
“ถ้าอย่างนั้นแต่งมันเดือนหน้าเลยพรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน” รวนตอบเหมือนมะนาวไม่มีน้ำ
“ไม่ค่ะ”
“ข้าวหอมไม่ พี่ก็ไม่เหมือนกัน”
ฐานิดาหน้าบึ้งยกสองมือขึ้นกอดอกเชิดใส่ชายหนุ่ม “บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าที่คุณวินขอคบเพราะข้าวหอมอยู่ใกล้มือหรือเปล่า ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงอดทนไม่ได้ทำไมถึงอยากทำให้ข้าวหอมเสียหาย”
บรรลัยล่ะถูกแฟนดราม่าใส่ซะงั้น
“โธ่ ที่รัก พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยออกจะเทิดทูนข้าวหอมด้วยซ้ำ” เขาโอดครวญทำสีหน้าเหมือนทุกข์นักหนา “โอเค เราสองคนจะแยกห้องกันนอน พี่จะพยายามเป็นสุภาพบุรุษให้ถึงที่สุด”
“แล้วทำไมต้องใช้คำว่าพยายามคะ”
“แฮะๆ โทษทีจ้ะพี่พูดผิด”
“ดีมากค่ะ แฟนใครนะน่ารักจัง” สองมือเล็กโอบรัดต้นคอกำยำโน้มเขาลงมาเขย่งเท้าขึ้นจุ๊บแก้มสากระคายไปฟอดใหญ่ก่อนจะโบกไม้โบกมือลา “ดึกแล้วข้าวหอมขอไปนอนก่อนนะคะ ฝันดีค่ะ”
กำลังจะยกมือขึ้นคว้าข้อมือบอบบางกลับมาจูบราตรีสวัสดิ์บ้างแต่ก็ช้าไป ประตูห้องนอนไม้สักแกะสลักปิดใส่หน้าโครมใหญ่เล่นเอาเขาฝันสลาย หมดกัน จบกันตรงนี้ชีวิตราชสีห์ที่กลัวหนู
คืนแรกของการคบกันประเมินให้สิบเต็มสิบมันฟินมากถึงแม้จะฟินอยู่คนเดียวก็เถอะ แต่คืนที่สองและคืนต่อๆ ไปท่าทางนรกมีแววจะมาเยือน ชวินทร์ยืนอยู่ที่เดิมโอดครวญกับตัวเองพักใหญ่กว่าจะเดินคอตกกลับมานอนเดียวดายในห้องนอน
“สอบเสร็จแล้วพรุ่งนี้เราจัดปาร์ตี้ฉลองไหมหรือไม่ก็ไปเเดนซ์ที่ผับของคุณนนท์กัน ผู้ชายอะไรไม่รู้หล๊อหล่อทำไหมเพ้อไปสามวันเจ็ดวัน” ม่านไหมทำตาหวานนึกถึงดวงหน้าคมคายของเจ้าของธุรกิจสถานบันเทิงยามค่ำคืนอย่างชานนท์ บริรักษ์
“หยุดคิดหยุดเพ้อเลยนะไหม คุณนนท์เขามีคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกันแล้วชื่อยิหวา พี่ยิหวาเป็นเพื่อนสนิทของพี่เอ๋ยภรรยาของคุณธันและคุณธันก็เป็นน้องชายของผู้ปกครองข้าวหอมเอง” จัดการดับฝันดับมโนเพื่อนในประโยคเดียวเสร็จสรรพ มีเสียงโห่จากเพื่อนในกลุ่มดังขึ้นพร้อมกัน “ทำไมล่ะ ข้าวหอมแค่พูดความจริง”
“ขอมโนหน่อยก็ไม่ได้ ทุกวันนี้ผู้ชายหล่อๆ รวยๆ ดีๆ มีน้อยลงทุกที” ม่านไหมกระแซะหน้าตึงและเปลี่ยนสีหน้าเร็วมาก ชี้ปลายนิ้วไปด้านหน้า “อุ๊ย! ดูตรงนั้นสิเขามุงดูอะไรกัน”
“บอร์ดแจ้งข่าวทุนปริญญาโทญี่ปุ่นมั้ง ไอซ์เพิ่งเปิดเจอในเว็บเมื่อคืน น่าสนดีนะกะว่าจะลองสมัครบ้างเผื่อฟลุ๊กได้ไปฟรีๆ”
“นึกว่าไอซ์จะช่วยงานธุรกิจของป๊ะป๋าซะอีก”
“ยังก่อนอะข้าวหอม ป๋ายังแข็งแรงดีทำงานเองได้ฉิวมากช่วงนี้ไอซ์ก็เลยอยากเรียนเพิ่มเติมอีกแล้วก็หาประสบการณ์ไปด้วย”
“ว้า... เสียดายจัง” อย่างนี้พี่หมออาร์มก็แห้วสิ
“เสียดายอะไรเหรอ หรือข้าวหอมก็สนใจเหมือนกัน มันมีหลายทุนนะลองดูก่อน” ปราณปรียาบอกเล่าแต่ก็งงเล็กน้อยที่ฐานิดาปฏิเสธบอกไม่ใช่เรื่องนั้น พูดแล้วเงียบไป แปลกๆ ชอบกล
ม่านไหมในชุดนักศึกษาเดินเร็วกลับมารวมกลุ่ม
“บอร์ดอะไรเหรอไหม”
“บอร์ดทุนญี่ปุ่นอย่างที่ไอซ์พูดเมื่อครู่เลย น่าสนใจนะ ไหมคงจะสมัครไปแล้วถ้าที่บ้านไม่อยากให้ไปต่อโทที่อเมริกามากกว่า”
สามสาวเดินเคียงข้างออกจากตึกเรียนสวนทางกับนักศึกษานับร้อยที่เพิ่งออกจากห้องสอบหมาดๆ เอ่ยสนทนากันไปตลอดเส้นทาง “ไหมจะไปเรียนต่ออเมริกาส่วนไอซ์เองก็จะสอบชิงทุนไปเรียนต่อญี่ปุ่น พร้อมใจกันเรียนต่อแบบนี้ข้าวหอมก็เหงาแย่สิ”
“ถ้ากลัวเหงาก็มาสอบชิงทุนญี่ปุ่นกับไอซ์สิ ผลการเรียนกับระดับภาษาของข้าวหอมผ่านฉิวเลยนะ สนใจไหม” ปราณปรียาชวน
“ตัดสินใจยากมาก ข้าวหอมไม่อยากทิ้งคุณวินไปไกลแล้วก็อยากช่วยคุณวินทำงานด้วย รบกวนเขามานานอยากตอบแทน”
“ฮั่นแนะ! ไม่อยากทิ้งคุณวินไปไกลคำนี้มีนัยแฝงไหมนะ แอบคบกันแล้วใช่ไหมถึงพูดอะไรหวานๆ แบบนี้ออกมา”
“บ้า ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยไหมก็พูดไปเรื่อย” พวงแก้มนวลแดงฉ่าสวนทางกับประโยคปฏิเสธก่อนหน้า ถึงจะตกลงคบกันมาสองเดือนเศษๆ แล้วแต่ก็ยังปิดสถานะไว้เป็นความลับเพราะอยากให้อะไรๆ ในตัวเองพร้อมและดีมากกว่านี้ “แน่! ไอซ์ก็อีกคนทำไมต้องแอบอมยิ้มด้วย ข้าวหอมกับคุณวินไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“เชื่อยากนะ...” กล่าวค้างคาแล้วปราณปรียาก็ผินใบหน้าไปทางหน้าตึกยังจุดที่ชวินทร์กำลังเอนกายพิงรถคันหรูยืนนิ่งกอดอกสอดส่องมองเข้ามาในตึกเรียนราวกับมีเรด้าสายตามองหาฐานิดาโดยเฉพาะ “...เล่นมานั่งเฝ้าถึงหน้าตึกคณะแบบนี้”
ม่านไหมมองตามแล้วหันหน้ามามองดวงหน้าหวานปนเขินเอ่ยแซวไปชุดใหญ่ “รักนะแต่ไม่แสดงออก คิดถึงนะแต่ไม่กล้าบอกเธอ ฮิ้ววววววววว หวานกันจังน้ำตาลขึ้นตาตียังไงมดก็ไม่ตาย”
“แซวกันอยู่ได้ทั้งวัน ข้าวหอมไม่คุยด้วยแล้ว”
“อุ๊ย! แก้มแดงใหญ่เลย”
“ไว้คุยต่อในไลน์กลุ่มนะข้าวหอม”