“แกเป็นอะไรเจ้าหัวใจ อย่าเต้นแรงแบบนี้บ่อยนะ เราไม่อยากไม่สบาย” กุมอกข้างนั้นเอาไว้ พยายามสูดลมหายใจเข้าออกให้ช้า ๆ และคงระดับให้ปกติ
แต่เหมือนฉันจะมีปัญหาแล้วล่ะ เพียงแค่ใบหน้าคมผุดขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง รวมถึงความรู้สึกตอนโดนลมหายใจอุ่น ๆ นั้นเป่ารดยังรับรู้ได้จาง ๆ อยู่ไอ้ก้อนมีชีวิตนี้ก็เต้นรัวจนควบคุมไม่ได้อีกแล้ว
“หรือจะไปหาหมอลัลณาดี” บางทีอาจจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในชุดกาวน์สีขาวนั้นดูสักครั้งแล้วละ
Special Part
กันตพลที่เดินออกมาจากห้องนั่งเล่น เขาไม่ได้สังเกตอาการของตัวเองเลยว่าไม่ใช่การเดินออกมาแบบธรรมดา มุมปากที่มักจะเป็นเส้นตรงอยู่ตลอดเวลาบัดนี้กลับยกสูงขึ้นทั้งสองข้างช่วยลดความดุของใบหน้าที่ใคร ๆ ต่างบอกว่าเย็นชานั้นได้เป็นอย่างดี
“นายไม่สบายหรือเปล่าครับ”
ทัศน์เทพที่สังเกตเห็นความผิดปกติของนายตั้งแต่เดินออกมาถามขึ้น จะเรียกว่าถามธรรมดาคงไม่ใช่ ในเมื่อสายตานั้นหยอกล้อผู้เป็นนายออกมาอย่างชัดเจน
“มาหรือยัง”
กันตพลไม่ตอบคำถามไร้สาระนั่นของลูกน้องมือขวาหรอก
ไอ้เทพน่ะ ถ้ายิ่งเดินตามหมากของมัน ยิ่งไม่จบง่าย
“เพิ่งถึงเมื่อสามนาทีที่แล้วครับ” แม้ปากจะรายงานปกติ แต่แววตายังคงมีเลศนัยมองผู้เป็นนายเป็นระยะ ๆ
“มึงเฝ้าเธอไว้”
เขาหมายถึงเฝ้าขัติมากร แม้รู้ดีว่าเธอไม่กล้าเข้าไปวุ่นวายที่ชั้นสองห้องทำงานเขาแต่ก็ชะล่าใจไม่ได้ งานสีเทาพวกนั้นเขาไม่อยากให้คนบริสุทธิ์อย่างเธอต้องมารับรู้ หรือควรบอกว่า ลึก ๆ ในใจกันตพลกำลังหวาดกลัว กลัวว่าถ้าหากเด็กน้อยที่เขาช่วยชีวิตไว้ มารับรู้ถึงอาชีพที่เขาทำอยู่แล้วเธอจะหนีเขาไป
“ครับนาย”
ทัศน์เทพเองก็ไม่ชอบใจคนที่มาติดต่อธุรกิจกับนายเขาในวันนี้เช่นกันเลยไม่ต่อปากต่อคำทำตัวเป็นเด็กร้องโอดครวญเหมือนครั้งที่เขามอบหน้าที่พาทัวร์มหาลัยให้ในคราวนั้น
“ว่าแต่นายไม่เป็นอะไรจริง ๆ ใช่ไหมครับ”
ถ้าจะยั่วเยาะเขาขนาดนั้นก็ไม่ต้องมีแล้วล่ะหางเสียงน่ะ
“ยังอยากเป็นอยู่ไหม มือขวาน่ะ”
แทงใจดำที่สุดก็ประโยคนี้แหละ เล่นเอาสิ่งที่เขากลัวที่สุดในชีวิตว่าจะถูกไล่ออกมาขู่แบบนี้เลิกล้อแล้วก็ได้
“ผมไปหาน้องฟางเซียนก่อนดีกว่า” หางคิ้วร่างกำยำสวมชุดสีดำกระตุกกึก ๆ เมื่อได้ยินสรรพนามแสลงหูนั้น
แต่ช่างเถอะ เขารู้นิสัยลูกน้องคนนี้ดีว่าชอบกวนโอ๊ยเขาแค่ไหน ยิ่งต่อความยาวสาวความยืดต่ออีกคนจะลูบหัวเล่นได้ ขายาว ๆ เลยก้าวไปข้างหน้าโดยมีฮาเทชิคอยตามหลังอยู่ไม่ห่าง
“นายชักจะแปลกใหญ่แล้ว”
คล้อยหลังผู้เป็นนาย ทัศน์เทพที่ชอบสังเกตคนบ่นพึมพำกับตัวเอง ดูอย่างเมื่อเช้าสิ พอบอกว่ามีลูกค้ามาขอพบกลับบอกว่าไม่ว่างติดธุระทั้ง ๆ ที่ไม่มี แถมพอฟางเซียนออกจากบ้านไปแค่ครึ่งชั่วโมง เขากลับสั่งให้เอารถออกแล้วขับไปนั่งเฝ้าสาวน้อยที่มหาลัยจนเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดนั้นขึ้น
จะว่าไปแล้ว ยังไม่ได้ไปจ่ายค่ารักษาให้ไอ้เด็กที่โดนกระทืบจนเข้าโรงพยาบาลนั่นเลยนี่นะ เมื่อคิดได้จึงรีบควักมือถือค้นหากดโทร.สั่งลูกน้องต่ออีกทอด
“เดี๋ยวช่วยเคลียร์ค่ารักษาห้อง 309 ให้ที ใช้ชื่อ...” ทัศน์เทพคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะใช้ชื่อเจ้านายไปเลยดีไหมแต่กลับนึกอะไรสนุก ๆ ขึ้นมาได้จึงบอกคนปลายสายที่ถือสายรอ
“ใช้ชื่อว่า แด๊ดดี้ฟางเซียน”
ทัศน์เทพวางสายไปแล้ว เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วเดินล้วง กระเป๋าผิวปากอย่างอารมณ์ดี อยากรู้จัง สถานะ ‘แด๊ดดี้’ ที่เขาใช้วันนี้ จะมีความหมายแสลงในอนาคตหรือเปล่านะ
[End part]
Kantapol’s Part
หลังจากผมออกมาจากห้องนั่งเล่นก็ตรงดิ่งมาที่ห้องทำงานที่มีร่างบางของอีกคนรออยู่
“ทำไมช้าจังคะ”
ทันทีที่ผมเข้ามาในห้อง ‘เคโกะ’ ลูกสาวยากูซาอย่างอิจิโย เคนัตสึ ก็รีบโผเขามากอดผม
พลั่ก!
ผมรีบผลักอ้อมกอดนั้นออกทันที ไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนมาแตะต้องร่างกาย ...อีกแล้ว
“อ๊ะ! เย็นชาจังนะคะ ห่างกันแค่ครึ่งปีเอง”
จริง ๆ ถ้าเป็นคนอื่น ไม่ได้เจอหน้ากันนานขนาดนั้นก็ต้องหมางเมินเย็นชาใส่ไม่ต่างจากผมอยู่แล้ว
“รีบคุยธุระดีกว่า”
ผมเดินมานั่งบนเก้าอี้บุนวมตัวเขื่องที่มีพนักพิงหลังสูงเลยศีรษะ วางมือข้างหนึ่งลงบนที่พักแขนแสนนุ่มนิ่ม ก่อนจะหยิบซิการ์ของดีขึ้นมาจุดสูบ ปกติมุมนี้ผมไม่เคยปิดบังใคร ยกเว้นคนเดียวที่เธอยังไม่เคยเห็น
อืม... ทำไมต้องคิดถึงเนื้อกายหอม ๆ นั่นขึ้นมาอีกแล้วนะ
บอกเลยว่าเมื่อกี้ตอนที่ผมช่วยบันทึกเบอร์ตัวเองให้ฟางเซียน กลิ่นกายเธอฟุ้งมาก มันหอมยั่วจนผมแทบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่ แต่ยังดีที่ความอดทนผมสูงจึงผ่านมันมาได้ แต่พอมานั่งนึกอยู่ตอนนี้ ไอ้ที่ซ่อนอยู่ในกางเกงกลับเริ่มควบคุมไม่ได้นี่สิ
บ้าฉิบหาย!
“เพลิงหน้าแดง?” เสียงเคโกะทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ที่นึกถึงกลิ่นเย้ายวนนั้น
“ครั้งนี้หายไปนาน จะส่งเข้าหรือรับไป”
ผมเมินคำถามของเธอที่เหมือนแปลกใจในสิ่งที่เพิ่งเห็น
“เพลิงไม่สบายหรือเปล่าคะ”
เสียงพูดไทยของเธอยังฟังแปล่ง ๆ อยู่ แต่ก็ชัดเกินครึ่ง
“ฉันสบายดี”
เหมือนอีกคนยังไม่เชื่อ แต่เพราะรู้นิสัยผมดีเธอเลยปล่อยวางไม่ถามต่อ
“ชิจิต้องการอาวุธครบมือ ขอแบบรุ่นเก่า ๆ เพราะที่นั่นให้ราคาสูง”
[ **「ちち」 คุณพ่อ(ตัวเอง)]
“แล้วทำไมนัตสึซังไม่มาคุยด้วยตัวเอง”
ปกติถ้าเป็นของลอตใหญ่พ่อของเธอจะเป็นคนจัดการเองตลอด หรือถ้ามาก็จะมาคู่กันไม่ใช่ส่งลูกสาวมาคนเดียวแบบนี้
“ชิจิไม่สบาย” คนแข็งแรงอย่างยากูซ่าที่คลุมทุกย่านของคิวชูไม่สบาย ฟังยังไงก็ไม่ขึ้น
“งั้นคงต้องใช้เวลารวบรวมหน่อย ยิ่งของเก่ายิ่งนาน”
ผมส่งสายตาให้เทชิจดรายการทั้งหมดที่เคโกะยื่นมาให้
หมับ!
“ชิจิสั่งไว้ กระดาษแผ่นนี้ต้องให้ถึงมือเพลิงคนเดียว”
ผมจิ๊ปากไม่พอใจเล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบกระดาษที่เธอยื่นให้ตรง หน้า แต่อีกคนกลับตุกติก พอผมจะหยิบเธอกลับดึงกระดาษคืน
“เคโกะอยากให้แบบเป็นการส่วนตัวมากกว่าค่ะ”
ร่างระหงค่อย ๆ ยืนเต็มความสูง รองเท้าบูตสีดำหุ้มครึ่งแข้งกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดังตามจังหวะการเดินของเธอ
ตุบ... เธอทิ้งตัวนั่งลงบนตักผมก่อนจะใช้สองมือโอบกอดรอบคอผมไว้ มือเรียวใช้เกลี่ยตามกรอบหน้าผมราวคนึงหาใบหน้านี้
“เคโกะคิดถึงลีลาแสนเร่าร้อนของเพลิงมากเลยนะคะ” ริมฝีปากบางได้รูปกระซิบข้างใบหูผม เสียงเธอเซ็กซี่เย้ายวนจนผม...
พลั่ก!
“โอ๊ย!”
ร่างบางกระเด็นออกจากตักผมอย่างไม่รีรอให้เธอมาจับต้องร่าง กายผมไปมากกว่านี้อีก
“เพลิง!” ดวงตาเธอวาวโรจน์บ่งบอกว่าทั้งโกรธและเสียหน้าที่ถูกผมผลักไสต่อหน้าลูกน้องผมและลูกน้องเธอเอง
“อย่ารุ่มร่ามกับฉันอีก” ผมสั่งเธอเสียงเรียบเย็น จนอีกคนเบิกตากว้างราวไม่เชื่อหู
“นี่เพลิงกำลังโกรธที่เคโกะไม่มาหานานใช่ไหมคะ”
เธอยังปั้นหน้าและพูดเข้าข้างตัวเองต่อ
“ฉันไม่ได้โกรธ” ผมตอบพร้อมสบตาเธอ
“แต่ฉันไม่อยากให้ใครแตะต้องร่างกายนี้อีกแล้ว”
ผมเห็นสองมือแน่งน้อยของเธอกำหมัดแน่น ทว่าใบหน้าสวยยังคงมีรอยยิ้มผุดอยู่
“เพลิงโกรธจริง ๆ สินะ” เคโกะเป็นพวกหัวแข็ง แถมยังมั่นใจในตัวเองสูง การที่ผมพูดแบบนั้นออกไปทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนตอนที่ร่วมธุรกิจกันใหม่ ๆ ผมไม่เคยหวงตัวแบบนี้ เธอเลยคิดว่าผมโกรธที่เราห่างกันจริง ๆ
“ถ้ายังอยากได้อาวุธพวกนั้นก็ส่งรายการนั้นให้เทชิจัดการ ห้องพักเธอที่โรงแรมฉันให้คนจัดการให้แล้ว”
“โรงแรม?” ครั้งนี้ผมเห็นเธอขมวดคิ้วมุ่นกับสิ่งที่ได้ยิน
“ทำไมเคโกะค้างที่นี่เหมือนทุกทีไม่ได้”
ปวดหัวฉิบ! อดีตก็คืออดีต ทำไมเธอต้องคิดว่าที่ผ่านมาผมจริงจังกับเธอด้วยวะ!
“จัดการที่เหลือด้วย” ผมสั่งเทชิโดยที่ไม่สนใจผู้หญิงที่ยืนตัวสั่นเพราะไม่ได้ดั่งใจ เดินตรงมาที่ประตูหมายจะออกไปข้างนอกเพื่อดูอีกคนว่าไอ้เทพไม่ได้ทำงานพลาด
กึก... สองขาหยุดชะงักกึกทันทีที่มีคนมาขวางหน้าประตูไว้
“กล้าดีนี่” ผมมองหน้าคนที่กล้าขวางทางแม้กระทั่งเจ้าของบ้านอย่างผมทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นแค่สมุนตัวเล็ก ๆ ของผู้มาเยือน
“ไม่ต้อง!” ผมเห็นทางหางตาว่าเทชิเตรียมจะเดินมาจัดการคนที่ขวางหน้าผมเอาไว้จึงสั่งห้าม
“มีอะไรว่ามา” ผมไม่อยากให้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมจนใครบางคนสงสัยเลยเก็บอารมณ์ร้อนไว้ให้ได้มากที่สุด
“คุณเพลิงกัลป์ควรขอโทษนายหญิงก่อน”
ขอโทษ?
เมื่อกี้ผมทำอะไรผิดกับเจ้านายมัน ถึงกล้าขวางทางผมและออกคำสั่งแบบนี้ มุมปากที่เรียบนิ่งตลอดเวลาของผมค่อย ๆ ยกสูงขึ้นข้างหนึ่ง มือที่วางบนไหล่มันค่อย ๆ ออกแรงบีบจนอีกคนนิ่วหน้า
“นายคงยังไม่รู้จักมารยาทไทย การพูดขอโทษ นั้นหมายความว่าคน ๆ นั้นต้องทำผิด แต่สำหรับฉัน...” เพิ่มแรงบีบจนกลายเป็นกดให้ไหล่ข้างนั้นตก ต่ำกว่าระดับไหล่อีกข้าง
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด วันนี้ถือเป็นการสอนมารยาทไทยให้นายครั้งแรก ฉันไม่ถือสาแล้วกัน!” แรงผลักที่ผมส่งให้ ทำเอาคนที่ยืนขวางหน้าผมทรุดลงกับพื้นในท่าคุกเข่าข้างหนึ่ง หางตาผมปรายมองไปยังเจ้านายของมันที่มองมาอย่างเคียดแค้น
“ถ้ายังอยากร่วมธุรกิจกันอีก อย่าเอามันมา” ผมส่งเสียงทุ้มที่แสนจะเย็นยะเยือกออกไปอย่างไม่เอ่ยชื่อ แต่รู้ดีว่าคนอื่นในห้องนี้เข้าใจและจะไม่มีทางเกิดเรื่องนี้ขึ้นเป็นหนที่สองแน่นอน
Special Part
จึก!
เล็บยาว ๆ สีแดงสดจิกเข้าผิวเนื้ออ่อนของอุ้งมือสวยอย่างไม่กลัวเจ็บ เคโกะได้แต่มองแผ่นหลังกว้างที่วันนี้ทำตัวเย็นชาราวกับเธอคือคนแปลกหน้าจนแผ่นหลังนั้นลับสายตาไป
“ผมขอรายการของด้วยครับ”
ฮาเทชิรีบทำตามคำสั่งนาย เดินเข้าไปขอรายการสั่งซื้ออาวุธเถื่อนนั้นทันที
“เจ้านายนายเป็นอะไร”
เธอไร้ซึ่งคนที่จะถามได้แล้วจึงซักไซ้เอาความจากบอดี้การ์ดมือซ้ายของเขาแทน
“อย่างที่คุณเคโกะเห็น”
ถามใครไม่ถาม มาถามคนที่หวงคำพูดยิ่งกว่าชีวิตตัวเองแบบนี้เสียเวลาชะมัด!
“คุณเคโกะจะกลับโรงแรมเลยไหมครับ”
เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ฮาเทชิจึงถามร่างสวยลูกค้าร่วมธุรกิจของเจ้านายด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ฉันยังอยากเดินชมบรรยากาศเพนต์เฮาส์หลังนี้”
ฮาเทชิครุ่นคิดครู่หนึ่ง...
เมื่อกี้นายไม่ได้สั่งห้าม งั้นก็หมายความว่าเธอคนนี้สามารถทำตัวตามปกติได้ ยกเว้นห้ามพักที่นี่... สินะ?
“เชิญครับ ยกเว้นชั้นสี่”
แต่ถึงแม้เขาจะเดาเอา ทว่าเพื่อความรอบคอบจึงตักเตือนผู้มาเยือนไว้ก่อน
“ทำไม? ปกติฉันก็พักที่ชั้นนั้นตลอด”
นั่นก็ถูก แต่มันเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว แถมยังก่อนที่เจ้านายตนจะพาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาแทนที่เธอ
“ผมว่าคุณเคโกะคงไม่อยากให้นายเย็นชากว่านี้”
จะเรียกว่าขู่ก็คงใช่ ฮาเทชิมองออกว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาจริงจังกับเจ้านายตนแค่ไหน แต่ถ้านายไม่เอา ต่อให้เธอจะตื๊อให้ตาย คนที่เย็นชาและเลือดเย็นอย่างเจ้านายตนคงไม่ชายตาแล
“ชิ!”
เคโกะสบถออกมาเบา ๆ อย่างหงุดหงิด ขาเรียวยาวสวมบูตคู่ใจก้าวเดินไปข้างหน้า
“ไม่ต้องตาม!”
เธอหันไปสั่งบอดี้การ์ดที่วันนี้เลือกมาผิดคน กล้าแหย่หนวดเสือทั้ง ๆ ที่อยู่บ้านเขา คนแบบนี้เลี้ยงไว้ช่างเปลือกข้าวสุก กลับญี่ปุ่นคราวนี้ เธอจะบอกให้พ่อจัดการตัดนิ้วก้อยซ้ายทิ้งเพื่อเตือนใจสักหน่อยแล้วละ
เคโกะเดินมายืนอยู่บันไดที่มีทางให้เลือกว่าจะขึ้นชั้นบนหรือลงชั้นล่าง แต่สุดท้ายแม้จะอยากรู้ว่าข้างบนมีอะไรซ่อนไว้เธอก็ต้องเก็บกักความอยากรู้ให้มลายหายไป เลือกเดินลงไปชั้นล่างเผื่อบางทีอาจจะเจอคนที่ทำตัวเย็นชาใส่เธอเมื่อไม่กี้นาทีนั้นก็ได้
“หนูบันทึกเบอร์เฮียเทพแบบนี้นะ”
เสียงผู้หญิงสดใสดังขึ้นตอนที่เธอกำลังจะเดินไปหลังบ้านที่เป็นสวนหย่อม ความอยากรู้ปะปนกับความแปลกใจที่บ้านหลังนี้มีเสียงผู้หญิงคนอื่นที่ฟังแล้วอายุน่าจะยังเป็นวัยรุ่นแน่ ๆ
เคโกะรีบเบี่ยงปลายเท้าหันไปตามทิศทางที่หูเธอได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน ตรงนั้นเป็นข้างบ้านใต้ต้นไม้ใหญ่มีแคร่ไม้และตะกร้าสานที่ทำเป็นเก้าอี้หมุนได้ขนาดใหญ่แขวนอยู่ ที่ตรงนั้นเธอเคยนั่งคลอเคลียกับเจ้า ของบ้านมาก่อน แต่บัดนี้ตรงนั้นกลับมีผู้หญิงผมยาวสลวยแถมยังตัวเล็ก ผอมกะร่องกว่าเธอนั่งแทนที่
โชคยังดีที่คนที่อยู่ข้าง ๆ เธอไม่ใช่เจ้าของหัวใจเธอที่เพิ่งทำเย็นชาใส่กัน ไม่งั้นงานเจรจาธุรกิจวันนี้คงกลายเป็นงานนองเลือดไปแล้ว
“อะแฮ่ม!”
ด้วยความอยากรู้ว่าผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้เป็นใคร แถมยังอยากเห็นใบหน้าที่เห็นเพียงด้านข้างแวบ ๆ ว่าสะสวยแค่ไหน ขาเรียวจึงก้าวเดินไปส่งเสียงให้ทั้งสองคนรู้ว่ามีผู้มาเยือน
“คุณเคโกะ”
แม้ทัศน์เทพจะไม่ค่อยถูกชะตากับเธอ แต่เขาก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของเจ้าของบ้านต้องแสดงมารยาทที่พึงกระทำออกไป
“ไม่เจอกันนาน มีแฟนเสียแล้ว?” เคโกะลองแกล้งกระเย้าแหย่ถาม
“ไม่ใช่แฟนผมหรอกครับ”
ทัศน์เทพรีบปฏิเสธออกไปอย่างไม่เปิดโอกาสให้เธอเข้าใจเขาผิดเป็นหนที่สอง
“ไม่ใช่แฟนนายแล้วหล่อนเป็นใคร”
สรรพนามที่เรียกเหมือนจิกหัวทำให้ทัศน์เทพไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่นั่นไม่ใช่เขาแค่คนเดียวที่รู้สึกแบบนั้น
ขัติมากรเองก็เช่นกัน ไม่ชอบการเรียกแทนเธอว่า ‘หล่อน’ จากริมฝีปากสวยนั้นเลย
“นี่คุณฟางเซียน เป็นผู้หญิงของนาย”
ทัศน์เทพบอกสถานะคนที่เคโกะอยากรู้ออกไปแล้ว
และนั่นทำให้คนได้ยินถึงกับตัวแข็งทื่อไม่เชื่อหูตัวเอง
“คนของเพลิง?”
เธอทวนสิ่งที่เข้าใจด้วยโทนเสียงแข็งปะปนแค่นหัวเราะในที
“ครับ”
ทัศน์เทพไม่รู้ว่าคนตรงหน้าแปลความหมายคำว่า ‘ผู้หญิงของนาย’ เป็นแบบไหน เพราะนั่นไม่สำคัญกับเขาที่เป็นเพียงลูกน้องคนสนิท แต่ถ้าเธอคิดไปในทางที่เขาอยากให้คิดก็จะขอบคุณ เพราะนั่นหมายความว่า ผู้หญิงคนนี้จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับเจ้านายเขาอีก
“นี่กำลังล้อฉันเล่นสินะ เพลิงก็คนหนึ่ง แกล้งเมิน ทำเย็นชา คงโกรธที่ฉันไม่ติดต่อหรือมาหาเลยสิท่าเลยสั่งให้นายพูดทำร้ายน้ำใจฉันแบบนี้”
เฮ้อ! ผู้หญิงอะไรทั้งหลงตัวเอง ทั้งเข้าใจยาก
เขาว่าสิ่งที่พูดออกไปก็น่าจะบอกความหมายไปหมดแล้ว ถ้านายจริงจังกับเธอคงไม่รอให้เธอมาหาอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้หรอก
ดูอย่างฟางเซียนสิ!
เจอกันแค่ครั้งเดียว นายยังพาตัวเธอมาอยู่ข้างกาย ประคบประหงมชนิดที่ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลย
“ถ้าคุณเคโกะคิดแบบนั้นแล้วสบายใจ ผมเองก็ไม่มีอะไรจะราย งานแล้ว ขึ้นห้องเถอะ เผื่อนายเรียกใช้” ประโยคแรกเขาพูดกับแขกผู้มาเยือน ส่วนอีกประโยคเขาหันมาบอกขัติมากรที่ทำเพียงแค่นั่งมองสองคนคุยกันอย่างเงียบ ๆ
“เดี๋ยว!”
“อ๊ะ!”
ต้นแขนขัติทาดรถูกรั้งไว้จากมือบางของคนที่ยืนขวางทางอยู่ ทัศน์เทพเห็นท่าไม่ดีอยากจะเข้าไปช่วยแต่เขาสังเกตเห็นแล้วว่าพอเขาขยับ แรงบีบนั้นก็เพิ่มมากขึ้นจนเนื้อต้นแขนคนถูกบีบปลิ้นออกตามร่องมืออีกคน เขาจึงทำได้แค่รอคอยจังหวะที่เหมาะสมค่อยเข้าไปจัดการ
“ปะ...ปล่อยค่ะ หนูเจ็บ!”
ขัติมากรพยายามดึงมือที่บีบแขนตัวเองออก แต่เหมือนแรงเธอจะน้อยไป แค่พยายามทำให้อีกคนเจ็บบ้างยังทำไม่ได้เลย