ตอนที่ 4 เสิ่นชิวผู้อาภัพ

1368 คำ
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของภูเขาลูกใหญ่ เด็กชายอายุสิบขวบกำลังนั่งขอทานอยู่ริมถนนในตลาด สภาพหน้าตามอมแมมของเขาจำแทบไม่ได้เลยว่าเป็นลูกของผู้ใด เขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งบ่ายก็ยังไม่ได้เงินสักอีแปะเดียว เวลานี้ขอเพียงมีคนใจดีแบ่งปันซาลาเปาซักลูกแก่เขาก็ดีใจมากแล้ว “นี่เจ้าตัวอัปมงคล ไปนั่งที่อื่นไกล ๆ พวกข้าเสียที มีเจ้าอยู่แถวนี้ พวกข้าเลยพลอยไม่ได้เงินขอทานสักอีแปะ” ชายวัยกลางคนโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา พยายามจะพูดไล่ให้เด็กชายสิบขวบไปไกล ๆ แต่พอเห็นเขาไม่ขยับคล้ายไม่ยอมฟังคำพูดทำหูทวนลม ก็พาลโกรธคิดว่าเด็กชายกำลังท้าทาย “พูดดี ๆ ด้วย ไม่ได้ยินหรืออย่างไร ข้าบอกให้ไปซะ” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วถุยน้ำลายใส่ แต่เด็กน้อยยังคงไม่ขยับ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายเขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นไปที่ไหน ท่าทางของเขายิ่งทำให้ขอทานโมโหจนออกแรงยกเท้าเตะไปที่ลำตัวแห้งผอมของเขา หวังให้ตกใจรีบวิ่งหนีไป แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เด็กชายล้มลงไปตามแรงที่ส่งมา โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ “มันตายแล้วหรือ” ขอทานคนหนึ่งพูดขึ้นมา ต่างคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กรีบวิ่งหนีแยกย้ายกันไป เด็กชายนอนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานจนตะวันลับฟ้าจึงได้ลืมตาตื่นขึ้น เมื่อเห็นท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปแล้วก็ทำให้นึกถึงคนที่รออยู่บ้าน เขารีบวิ่งกลับไป ลืมความเจ็บปวดและความหิวโหยเพราะเป็นห่วงคน ๆ นั้นมากกว่าตัวเอง “ท่านแม่ ข้าขอโทษที่กลับบ้านช้า ท่านแม่หิวหรือไม่” เขาเอ่ยปากถามทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้ามา เมื่ออยู่ต่อหน้านาง เขาพยายามฝืนทำตัวให้แข็งแรงเพราะไม่อยากให้นางกังวล “เสิ่นชิว ข้ายังไม่หิว รอเจ้ากลับมาค่อยกินพร้อมกัน” น้ำเสียงแหบของนางพยายามตอบเขาเท่าที่จะมีแรงไหว หญิงวัยกลางคนผู้นี้ป่วยออดแอดมานานแล้ว นางรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ไม่อาจดูแลบุตรชายตัวเล็กเพียงคนเดียวให้ดีกว่านี้ได้ “ท่านแม่รอข้าสักครู่ ข้าจะต้มโจ๊กมาให้” เสิ่นชิวเดินออกมาข้างนอกบ้านเพื่อดูเสบียง เขาก้มลงเปิดฝาไหใบเล็ก ข้างในเหลือเม็ดข้าวไม่ถึงหนึ่งกำ จึงไม่รอช้ารีบก่อไฟ ตักน้ำมาต้มข้าวก่อนที่จะดึกไปมากกว่านี้ หลังจากที่นางหลับไปแล้ว เสิ่นชิวออกมานั่งข้างนอก คิดถึงเรื่องวันพรุ่งนี้ ที่ตรงนั้นในตลาดคงจะกลับไปไม่ได้แล้ว เขาควรจะต้องไปที่ไหน วันนี้ร่างกายมีรอยช้ำเพิ่มขึ้นอีก ดีที่ว่าสวมเสื้อทับอยู่ แม่ของเขาจึงไม่ทันสังเกตเห็น เมื่อมองลอดหน้าต่างเข้าไปข้างในบ้าน แค่เพียงเห็นหน้ามารดาก็รู้สึกปวดใจ ตัดพ้อชีวิตที่ผ่านมา จะมีวันไหนบ้างที่โชคชะตาจะเห็นใจเขา “อย่างน้อยขอพรให้แม่ของข้าแข็งแรงได้หรือไม่ เพียงเท่านี้ ข้าก็พอใจมากแล้ว นางเป็นคนเดียวที่ยังอยู่เคียงข้างข้า ข้าไม่อยากเสียนางไป” เสิ่นชิวแหงนหน้ามองดวงจันทร์กลมโตที่ส่องแสงสีนวล นับตั้งแต่ที่เสิ่นชิวจำความได้ เขาเห็นเพียงมารดาที่ดูแลเขาด้วยความรัก ทั้งชีวิตมีกันอยู่แค่สองคน และเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนรอบ ๆ ข้างต้องรังเกียจมารดากับเขาถึงเพียงนั้น ภาพที่นางใช้ตัวเป็นโล่กำบังไม่ให้ใครมาทำร้ายเขาตอนที่ยังเป็นเด็ก รอยช้ำบนใบหน้าของนางดูสาหัสแต่นางก็ไม่เคยบ่นหรือทำตัวอ่อนแอให้เขาเห็น ยามที่มีคนมาดุว่าด่าทอเขา นางจะปิดหูเขาทั้งสองข้างเอาไว้ สาบานได้เลยว่าพวกเขาไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใครเลยจริง ๆ พอเข้าสู่ช่วงที่เขารู้ความมากขึ้น สิ่งที่เขาได้ยินตลอดทั้งชีวิตเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้อื่นรังเกียจ “ไอ้ตัวอัปมงคล” “ลางร้าย” “อย่ามาใกล้ข้านะ ข้าไม่อยากโชคร้าย” “ออกไปจากหมู่บ้านนี้ซะ ถ้าไม่อยากตาย” สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือคำพูดที่ว่า “แกมันตัวกาลกิณี อยู่ที่ไหน ไปที่ไหนก็มีแต่คนตาย ลูกของแกมันตัวกาลกิณี” ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจว่าคนที่ชาวบ้านเกลียดฝังกระดูกก็คือตัวเขานั่นเอง วันหนึ่งเสิ่นชิวจึงมีความคิดที่จะหนีออกจากบ้าน หากไม่มีเขาแล้ว อย่างน้อย นางจะยังมีที่ให้อยู่ ไม่ต้องพลอยลำบากอดอยาก โดนรังเกียจเพราะตัวเขาอีกต่อไป แต่นางกลับเก็บเสื้อผ้าใส่ย่ามเอาไว้แล้วพาเขาออกจากหมู่บ้านนั้นทันที พวกเขาสองคนย้ายที่อยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางขยันทำงานเพื่อหาเลี้ยงเขา เมินเฉยต่อคำด่าสารพัดเพื่อเลี้ยงดูเขา นางไม่เคยปล่อยมือจากเขาเลย ราวกับรู้ว่าเขาคิดเช่นไรจึงพูดกับเขาครั้งหนึ่ง “เจ้าคือลูกของข้า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใด ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า คำพูดของผู้อื่น เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเจ้า” ทุกครั้งที่หวนนึกถึงคำพูดของนาง เขาก็ยิ่งเจ็บปวดใจ กระทั่งอาหารวันละหนึ่งมื้อหรือแม้แต่ยารักษานาง เขายังหามาให้ไม่ได้ นานวันเข้าร่างกายของนางยิ่งทรุดโทรม ยาที่มีนั้นเหลือใช้เพียงแค่สองวัน ได้แต่หวังจริง ๆ ว่าโชคชะตาจะใจดีกับเขาบ้าง รุ่งเช้า เสิ่นชิวรีบไปต้มข้าวที่เหลือก้นหม้อใหม่อีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปที่ตลาดในเมือง แม่ของเขาคอยพร่ำสอนให้ยึดถือคุณธรรมความดีมาตลอด จึงทำให้เขาประพฤติตนอยู่ในกรอบ ในใจเพียงคิดว่าขอแค่ครั้งนี้ ชีวิตเขาหมดหนทางแล้วจริง ๆ เสิ่นชิวดักรอบางอย่างอยู่ที่ซอยแคบ ๆ ตัวสั่นงันงกกังวลถึงสิ่งที่จะทำ “จนตรอกแล้วหนอ ชีวิตข้า” ความเป็นความตายของแม่อยู่ตรงหน้า ทำให้เขาไม่คิดถึงเรื่องใดอีกต่อไป เสิ่นชิวปราดตามองคนที่แต่งกายดี ใส่ของประดับมีค่าราคาแพงที่เดินผ่านไปมา พลันมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนรอใครสักคนอยู่ จึงทำทีเดินไปใกล้นาง มือน้อย ๆ ของเขาค่อย ๆ ดึงถุงเงินที่นางเก็บไว้ออกมาอย่างเบามือก่อนจะรีบวิ่งหนีไปอีกทาง ทว่าโชคไม่ได้เข้าข้างการกระทำครั้งนี้ เสิ่นชิวไม่ทันได้เปิดดูเงินในถุง ก็มีอันธพาลกลุ่มนึงโผล่มาดึงถุงจากมือเขา เสิ่นชิวยื้อแย่งไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ อย่างไรเสียต้องปกป้องเงินถุงนี้ไว้ให้ได้ แม่ของเขารอยาและอาหารจากเขาอยู่ เรี่ยวแรงของเขาเพิ่มขึ้นราวกับเป็นเฮือกสุดท้าย ในที่สุดอันธพาลทนไม่ไหวลงไม้ลงมือกับเขาอย่างไม่สนใจสายตาคนในตลาด แม้จะพยายามทำสุดความสามารถแล้ว ร่างกายที่บอบช้ำก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหวอีกต่อไป “ท่านแม่ ข้าขอโทษ หากวันนั้น ข้าหนีไปให้ไกลจากท่าน ชีวิตของท่านคงจะดีกว่านี้ ข้าขอโทษจริง ๆ” เสิ่นชิวนึกภาพใบหน้าของนาง น้ำตารินไหลจากหางตา เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงนอนสลบอยู่ตรงนั้นท่ามกลางชาวบ้านที่มามุงดู
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม