เช้าตรู่ของอีกวัน
“โอ้โห เช้าวันนี้อากาศดีเหมือนเดิม นี่กระต่ายน้อย เจ้าอยู่ไหน ออกมาเล่นกับข้าหน่อยสิ” หยางซือซือที่เพิ่งตื่นนอนนั่งลงบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม หันซ้ายหันขวาหาเจ้ากระต่ายเวทเพื่อนของนาง
“เอ๋ เจ้าอยู่ไหนนะ มาเล่นกับข้าหน่อย พรุ่งนี้ข้าอาจจะไม่ได้เจอเจ้าแล้วนะ” หยางซือซือเดินวนรอบต้นไม้สองสามรอบแต่ก็ไร้วี่แวว นางอยากเล่นกับมันทั้งวัน เพราะพรุ่งนี้นางก็จะบรรลุตบะเซียนเก้าขั้นแล้ว วันเวลาหนึ่งแสนปีบนดินแดนมนุษย์ใกล้สิ้นสุด
“ไหน ๆ ข้าก็ต้องกลับสวรรค์วันพรุ่งนี้แล้ว ขอข้าได้เที่ยวเมืองมนุษย์รอบ ๆ นี้ดีกว่า กลับไปแล้วคงจะลงมาเล่นไม่ได้แน่ ๆ” หยางซือซือเคยพยายามถอดจิตวิญญาณเพื่อลงไปเที่ยวล่างเขา หากแต่ว่าพลังเซียนของนางอ่อนแอจึงได้แค่อยู่ที่เดิมริมผาเดียวดายเท่านั้น
เมื่อลองเข้าหลาย ๆ ครั้งไม่เป็นผล นับแต่นั้นมาเกือบแสนปีนางก็ไม่เคยลองอีกเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้นางรู้สึกว่าพลังเซียนนางแกร่งขึ้น อาจจะทำได้ จึงลองดูอีกสักตั้ง
“โอ๊ะ! ได้ผลจริง ๆ ด้วย ฮ่า ๆ เอาล่ะ วันนี้ข้าขอเที่ยวเล่นให้หนำใจเลยแล้วกัน” หยางซือซือไม่รอช้า วิ่งกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขไปตามทางอย่างไม่มีจุดหมาย ราวกับนางลืมไปแล้วว่าเซียนมีพลังเหาะเหินลอยกลางอากาศได้
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หยางซือซือก็เห็นควันไฟอยู่ลับตา นางคิดว่าแถวนั้นคงจะเป็นหมู่บ้านของมนุษย์ จึงรีบวิ่งไปยังจุดหมายคิดว่าจะได้เห็นอะไรสนุก ๆ เพียงแต่ว่าภาพที่นางได้เห็นกลับผิดไปจากที่คิดมากโข ควันไฟที่นางเห็นนั้น ไม่ใช่ฟืนที่ชาวบ้านก่อขึ้นเพื่อหุงหาอาหาร แต่เป็นควันที่ไหม้หมู่บ้าน มนุษย์ที่นางอยากเห็นกลับนอนเรียงรายบนพื้นดิน พื้นบ้าน เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว กลิ่นคาวเลือดโชยแตะจมูก
หยางซือซือก้าวเท้าเดินเข้าไปในหมู่บ้านนั้นช้า ๆ ทางซ้ายและขวาไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ความหดหู่ในใจนางเริ่มก่อตัวขึ้น สีหน้าของนางซีดเผือก จู่ ๆ นางได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาของคนผู้หนึ่งดังมาไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่ หยางซือซือรีบเดินไปที่ตรงนั้น
“เจ้ายังไม่ตายนี่นา” หยางซือซือดีใจ นางพบคนรอดชีวิตคนหนึ่งนอนราบอยู่บนพื้นดิน เนื้อตัวเขาเต็มไปด้วยเลือด อาการบาดเจ็บสาหัส หยางซือซือไม่รอช้าร่ายเวทรักษาเพื่อช่วยเขา ผ่านไปค่อนวัน คน ๆ นี้จึงลืมตาตื่นขึ้นมา
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” นางถามเขา ลืมไปว่าตนเองเป็นเพียงจิตวิญญาณดอกท้อ ไม่มีผู้ใดมองเห็นนาง ครั้นนึกได้จึงนั่งมองเขาข้าง ๆ
“ทำไมข้ายังไม่ตาย ทำไมถึงเป็นข้าที่ยังไม่ตาย” เสียงสิ้นหวังของเขาดังขึ้น นางรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ดีใจที่ตนเองฟื้นขึ้นมา
นางเคยพบมนุษย์ผู้หนึ่งขึ้นมาที่ริมผาเดียวดายเพราะรู้ตัวว่าเป็นโรคร้าย ชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน หลังจากฟังเขารำพึงรำพัน นางก็สงสารใช้พลังเซียนรักษาเขาให้หายดี นางเห็นเขาดีใจกระโดดโลดเต้น ขอบคุณเทพเทวาที่ช่วยเหลือ ผิดกันกับคนที่อยู่ตรงหน้าลิบลับ
หยางซือซือร่ายเวทบริสุทธิ์สายหนึ่งแล้วแตะที่หน้าผากของเขาอย่างอ่อนโยน “ขอข้าดูความทรงจำของเจ้าได้หรือไม่” เพียงแค่แวบเดียวที่นางได้เห็นภาพในอดีตของเขา นางชักมือกลับในทันที ไม่เพียงแต่เห็นเรื่องราวของเขาในชีวิตนี้ แต่ย้อนกลับไปในอดีตชาติที่เขาเคยผ่านมา สีหน้าหยางซือซือเศร้าสร้อยลงในทันใด นางเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงได้พูดเช่นนั้น หากเป็นตัวนางเอง ไม่รู้ว่าจะทนได้ไหวสักแค่ไหน
“เสิ่นชิว ข้าเข้าใจแล้ว” นางพึมพำเบา ๆ
เสิ่นชิวมองไปรอบ ๆ เห็นผู้นำนอนจมกองเลือด ดวงตาไม่อาจหลับลงได้ เขาหยัดตัวลุกขึ้นเดินไปที่ร่างของเขา ค่อย ๆ ลูบเปลือกตาช้า ๆ ท่านลุง ท่านอาที่เคยช่วยเหลือเขาด้วยความเอ็นดู บัดนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว อีกฟากหนึ่ง เขาหันไปดูร่างลู่ฟางหรง จำได้ว่าภาพสุดท้ายที่เห็น นางยืนอยู่ตรงนี้ เพียงแต่บนพื้นดินที่ว่างเปล่ามีเพียงแค่สร้อยข้อมือที่เขาเคยให้นางเอาไว้วางอยู่
“ฟางหรง เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่” เมื่อไม่เห็นร่างของนาง เขายังคงมีความหวังว่านางอาจจะยังรอดชีวิต ต้องมีใครสักคนช่วยนางไว้ได้
เสิ่นชิวเริ่มมีความหวังแม้เพียงเล็กน้อย ร่างกายของเขาหายดีเพราะพลังรักษาของหยางซือซือ เขาขนย้ายร่างของคนในหมู่บ้านมาไว้ที่กลางลาน เรียงท่อนฟืนรอบ ๆ ร่างของพวกเขา จุดไฟทำพิธีการส่งวิญญาณให้คนทั้งหมู่บ้านด้วยตัวคนเดียว ในหัวคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ซ้ำไปซ้ำมา ความคิดเหล่านั้นทำร้ายจิตใจของเขา คำพูดที่เขาลืมมันไปแล้วย้อนกลับมาตอกย้ำอีกครั้ง
“อัปมงคล”
“ลางร้าย”
“หายนะ”
เสิ่นชิวยิ้มเย้ยหยันตนเอง น้ำตาเหือดแห้งจนไม่อาจไหลได้อีกต่อไป หลังเสร็จสิ้นพิธี เขาเดินออกจากหมู่บ้านอย่างไร้จุดหมาย เท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำไปบนพื้นดิน คมหิน เศษไม้ แต่ชีวิตเขาไร้ความรู้สึกไปแล้ว
หยางซือซืออยากกอดเขาเหลือเกิน นางพยายามถ่ายทอดพลังเซียนเพื่อให้เขาได้คลายความทุกข์ในใจไปบ้าง หากแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ได้ผล สิ่งใดกำลังปิดกั้นพลังของนางนั้น ไม่อาจรู้ได้ จึงทำได้แค่เพียงเดินอยู่เคียงข้างเขาอย่างเงียบ ๆ
กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดไม่รู้ หยางซือซือมองไปข้างหน้าก็รู้สึกได้ว่ากำลังเดินมาที่ริมผาเดียวดาย นางรีบไปยืนรอเขาอยู่ใต้ต้นดอกท้อที่ยามนี้บานสะพรั่ง
“หากเป็นอาณาเขตของข้า คงจะทำได้กระมัง” หยางซือซือคิดในใจ
เสิ่นชิวเดินมานั่งใต้ต้นดอกท้อ สายตาเลื่อนลอย ไม่รู้ตัวว่าเดินมาไกลเพียงไหน เขาหลับตาลงด้วยความเหนื่อยหวังจะพักเพียงชั่วครู่ จู่ ๆ จิตใจของเขาพลันรู้สึกสงบ สารพัดความรู้สึกที่ประเดประดังตลอดทาง เวลานิ่งเงียบ เขาทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าด้านบนก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“ชีวิตข้า จบสิ้นแต่เพียงเท่านี้ คงจะดีกว่าใช่หรือไม่ สวรรค์! ต่อให้หนีไปที่ใด ข้าก็คงหนีโชคชะตาเช่นนี้ไม่พ้นใช่หรือไม่ ข้าไม่อยากให้คนที่อยู่รอบตัวข้า ต้องพบเจอเรื่องราวเลวร้ายเพราะข้าอีกต่อไปแล้ว จบสิ้นเสียที” เสิ่นชิวพูดเช่นนั้นแล้วลุกเดินมาที่ริมผา เพื่อจบสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องทำ จากนี้ไม่มีอีกแล้วลางร้ายหายนะ
“เสิ่นชิว!” หยางซือซือตะโกนเรียกเขา เพียงแต่สายไปเสียแล้ว เขาไม่ได้ยินเสียงของนางแม้แต่น้อย นางพยายามที่จะช่วยเขาแต่พลังกลับส่งไปไม่ถึง “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
นางมองเห็นเสิ่นชิวค่อย ๆ ทิ้งตัวลงจากหน้าผา ปลิดชีวิตตนเองในชาตินี้ “ไม่นะ!” เสียงของหยางซือซือร้องเรียกเขา
“ข้าเข้าใจแล้ว เสิ่นชิว” หยางซือซือสละตบะเซียนเก้าขั้นให้เขาโดยไม่รู้ว่าชีวิตของนางก็จะจบสิ้นลงเพียงเท่านี้เช่นกัน
“ข้า หยางซือซือ ขอให้เจ้า ไม่ว่าชาติหน้าจะเกิดเป็นผู้ใด ขอให้เจ้าแข็งแรง แข็งแกร่ง มีแต่ความสุข มีแต่โชคดี ปกป้องคนที่เจ้ารักได้ อยู่กับคนที่เจ้ารักตลอดไป” สิ้นคำพูดของนาง ตบะเซียนเก้าขั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นพรอันประเสริฐพุ่งเข้าหาร่างของเสิ่นชิวที่กำลังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ สิ่งที่นางทำให้เขาได้มีแค่เพียงเท่านี้จริง ๆ
ในวันนั้นเอง กลีบดอกท้อแสนปีร่วงหล่น ปลิวไปตามสายลม หยางซือซือสลายหายไป กระต่ายเวทที่ปรากฏตัวขึ้นเพราะรับรู้ถึงความผิดแปลกไปรีบกลับคืนสู่เจ้าของ
“หยางซือซือ!” เสียงตะโกนของเขาดังก้อง แม้จะรีบมาหานางเท่าใด ก็ยังคงสายไปอีกครั้ง