ฉันแทบจะพ่นไก่บาร์บีคิวที่กำลังเคี้ยวในปากใส่หน้าเขา คำพูดสองแง่สามง่ามกำกวมนั่นทำให้ฉันจ้องหน้าคนกวนประสาทอย่างจับผิด โอ๊ย ฉันสับสนจริงๆ นะว่าคนตรงหน้ามันจะมาไม้ไหน ไปไม่ถูก จะจริงหรือหลอกช่วยบอกที ฉันไม่เคยเจอคนแบบนี้ว่ะ
“แล้วกินเสร็จนี่จะกลับเลยปะ?” เขาเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นฉันไม่ตอบ ฉันพยักหน้ารับ
“ก็คงกลับหอเลยอ่ะ ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม”
“อ้าว ตกลงนี่มีห้องมีหอมีบ้านช่องอยู่กับเขาด้วยเหรอเนี่ย” อีตานั่นพูดเย้าหยอกด้วยรอยยิ้มกว้าง แหม พูดจาแบบนี้นี่ อยากมีมวยสักยกใช่ปะ! พอเขาเห็นฉันปั้นปึ่งก็เอ่ยขึ้นต่อ “แล้วอยู่หอไหนอ่ะ?”
“ก็อยู่หอที่มีห้องเยอะๆ ตึกสูงๆ ใกล้ๆ มออ่ะ” ฉันกวนประสาทเขาด้วยใบหน้าจริงจัง หวังจะเห็นหมอนั่นเบ้ปากแรงบ้าง แต่ไม่เลย เขาทำหน้าได้ใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงลัลล้า
“เอ้าเหรอ เหมือนกันเลยอ่ะ สงสัยจะพรหมลิขิต”
“เฮ้ย ใช่พรหมลิขิตเหรอ? อาจจะเป็นเวรเป็นกรรมที่ทำให้เรามาเจอกันก็ได้นะ”
“เออ ก็อาจจะใช่นะ หน้าตาเธอก็ได้อยู่ ดูเหมือนเจ้ากรรมนายเวรดี” คนกวนประสาทยอกย้อนกลับทำเอาฉันสะอึก หือ ไม่ธรรมดานะเนี่ย ความกวนตีนนี่น่าจะเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งของเขาเลยอ่ะ พูดมาแต่ละคำ หาความปกติไม่ได้เลย
“เราก็ว่างั้นแหละ เรากับนายคงไม่เคยทำบุญร่วมกันมาหรอก นายเหมาะจะเป็นคนบาปมากอ่ะ หน้าตาดูไม่น่าเป็นคนดีเลย” ฉันพูดไป มองหน้าเขาไป แล้วก็ส่ายหัวไปพร้อมๆ กันด้วย
“จะบอกว่าเราหล่อแบบแบดบอยใช่ปะ?” เขาหัวเราะร่าแล้วทำท่าพราวทูพรีเซ้นใบหน้าตัวเองแบบสุดๆ อะไรก็หยุดความมโนของเขาไม่ได้จริงๆ นี่ขนาดหลอกด่ายังหาจุดมาชมตัวเองได้ ฉันยอมใจว่ะ
“เออ จริงๆ เจก็หน้าตาดีนะเนี่ย” ฉันตีสีหน้าเรียบเฉยและจริงจังเหมือนกำลังเอ่ยปากชมเขาจริงๆ พลางกวาดสายตามองเบ้าหน้าเขาทุกรูขุมขน คนร่างสูงอมยิ้มเขินก่อนจะหุบลงเมื่อฉันพูดต่อ “ดีกว่าเหี้ยนิดนึงอ่ะ”
ว้ายยยยยยย คิดว่าฉันจะชมล่ะสิ!
ฉันแอบสะใจเล็กๆ เมื่อเห็นคนตรงหน้าเบ้ปากแรงแล้วพ่นหายใจฮึดฮัด เขายัดไก่บาร์บีคิวเข้าปากอีกทีนึงก่อนจะเคี้ยวกร้วมๆ พลางเหล่มาที่ฉันแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วทางกลับหอเปลี่ยวปะเนี่ย?” เขาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ซึ่งปกติไม่ค่อยจะมี ตั้งแต่นั่งกินข้าวด้วยกันมา แทบจะกวนประสาททุกวินาทีจนฉันหงุดหงิด และฉันคิดว่าถ้าเขาอาสาไปส่งฉัน คงได้ฆ่ากันตายก่อนถึงหอแน่ๆ
“ไม่เป็นไร กลับเองได้” ฉันปฏิเสธทันทีเมื่อเห็นเขาพยายามหาจังหวะจะไปส่งฉันที่หอ แหม มุขนี้ฉันก็เจอบ่อยจะตายไป ไม่ได้โง่นะ จะได้ตามไม่ทันอ่ะ คนร่างสูงยิ้มหวานก่อนจะชี้นิ้วเข้าที่หน้าฉัน
“อ๋อ จะบอกว่ามีหน้าตาเป็นอาวุธ ไม่โดนฉุดแน่นอนใช่มะ”
ยิ้มหวานไม่พอ เขาขยิบตาน่าถีบให้ฉันทีนึงด้วย ทำเอาฉันอยากจะกระโดดเข้าไปกัดคอเขาแบบสุดๆ นี่จะไม่เว้นวรรคให้พักหายใจหายคอ คุยปกติเหมือนชาวบ้านกันบ้างเลยใช่ปะวะ?
“หน้าตาเป็นอาวุธรึเปล่าไม่รู้ แต่ตอนนี้มีมีดอยู่ในมือ จะเอาสักทีปะ?” ฉันเอียงคอพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่พร้อมสายตาดุที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกทั้งยังเสริมออฟชั่นด้วยการยกมีดหั่นสเต๊กขึ้นมาชี้หน้าเพื่อให้ดูทรงพลังมากขึ้น แต่อย่าหวังว่าหมอนั่นจะหวั่นเกรง เขาเบ้ปากส่ายหัวกวนประสาทก่อนจะตอบฉันกลับมา
“เราพึ่งคุยกันไม่นาน เธอจะมาเอาเราได้ยังไง ใจเย็นดิ ถึงเราจะจีบเธอแต่เราก็ไม่ง่ายนะ”
เดี๋ยว! ฉันเบิกตาโตสตั๊นกับคำพูดของคนตรงหน้า โอ้โห ให้พูดใหม่นะ ใครจะเอาใคร! ฉันเหรอ?
เฮลโหล สติ!
“ถึงเราจะสวย แต่เราก็เลือกนะ” ฉันว่าพร้อมทำหน้าให้เขาเข้าใจ เอาตรงๆ อีตานี่ก็หล่ออ่ะ หน้าตาดี ดูมีอะไร แต่นิสัยและฝีปากร้ายกาจเกินมนุษย์ไปนิดนึง ฉันว่ามันไม่โอ
“เออ จะว่าไปแล้ว เธอนี่หน้าคล้ายไอ้จีนแดงนะ” อีคนร่างสูงเอ่ยคำหยาบคาย ไม่เกรงใจใบหน้าที่ผ่านการทาเครื่องสำอางค์มาสิบชั้น
พูดแบบนี้นี่กล้ามาก อยากตายเหรอ! รู้มั้ยว่าค่าเครื่องสำอางฉันมันแพงแค่ไหน ใช้เวลาแต่งหน้าเท่าไหร่ กรีดตากี่รอบกว่าจะเท่ากัน แทนที่จะบอกว่าสวย ดันบอกว่าเหมือนไอ้หมาที่คณะวิศวะอะนะ!
“เฮ้ย ตลกละ พูดจาไม่เกรงใจหน้าสวยๆ เราเลยนะ”
“เปล่า ก็จะบอกว่าน่ารักเหมือนกันไง”
เกลียดดดดดดดดดดดด คนอะไรกะล่อนตัวพ่อ! เขามองฉันด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ยพร้อมอมยิ้มเบาๆ ทำเอาฉันอยากจะใช้นิ้วทิ่มตานั่นให้บอดไปซะ เฮอะ คิดว่ามาหยอดแล้วฉันจะเคลิ้มเหรอ?
ไม่มีทาง… ไม่มีทางที่จะไม่เคลิ้มอ่ะดิ!
บ้าฉิบ พูดอ้อล้อไม่ว่าแต่หน้าดันหล่อไง โอ๊ย ฉันยิ่งเป็นโรคแพ้คนหล่ออยู่ เกลียดตัวเองจัง
“คนอะไรวะ หน้าบานเป็นจานทรู จมูกเหมือนหมู ยังดูน่ารัก” เขาพูดกึ่งจริงกึ่งเล่นพลางลากนิ้วชี้รอบๆ หน้าฉัน ทำเอาฉันกลอกตาคิดว่าแม่งชมหรือด่ากันแน่วะ!
“จะชมหรือด่า เอาดีๆ” ฉันมองเขาด้วยสายตาหมิ่นเหม่เพื่อคาดโทษเขา อีตานั่นไหวไหล่แล้วยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก