บทที่ 10
ญานิดานั่งหน้าแดงก่ำเมื่อถูกเพื่อนๆ ในแผนกบัญชีต่างพากันมาล้อมวงอยู่ตรงหน้า แต่แค่นั้นคงไม่ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนกำลังจะตายแบบนี้ หากเพื่อนๆ พวกนั้นไม่จ้องมองมาที่ปากช้ำๆ ของหล่อนราวกับจะพิสูจน์ให้ได้ว่าใครเป็นคนทำให้ปากของหล่อนบวมเจ่อแบบนี้
“นิดาหกล้มจริงๆ”
“หกล้ม? ใครจะเชื่อจ๊ะนิดา ดูสิ ปากช้ำแบบนี้ โดนจูบมาแน่ๆ เลย”
เพื่อนคนหนึ่งที่ช่างเจรจาไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทองตั้งข้อสังเกตได้อย่างแม่นยำ แต่จะให้หล่อนยอมรับออกไปได้ยังไงว่าถูกลูเซียสขยี้ปากมา
“ไม่ใช่นะ นิดาไม่ได้...”
“อย่าโกหกเลย บอกหน่อยได้ไหมว่าใครจูบ ใช่กรรชัยหรือเปล่า” คราวนี้เป็นเพื่อนสาวอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ
ญานิดารีบส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
“ไม่ใช่นะ พี่ชัยไม่ได้จูบนิดา เอ่อ คือว่านิดาหกล้มจริงๆ”
พยายามปฏิเสธเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้วมั้ง แต่ก็ไม่มีใครยอมเชื่อสักคน ทุกคนตั้งข้อสังเกต พูดกันอย่างสนุกสนาน จนหล่อนอยากจะลากลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอด เอ...กลับบ้านเหรอ? กลับไม่ได้หรอก ปากบวมแบบนี้ แม่เห็นคงตกใจตาย คิดแล้วก็เกลียดขี้หน้าผู้ชายบ้าอำนาจอย่างลูเซียสนัก นี่เขาจะรู้ไหมว่า หล่อนกำลังตกที่นั่งลำบากจากการกระทำเอาแต่ใจของเขา
“ฉันก็ว่าไม่ใช่กรรชัยหรอก ผู้ชายที่จะจูบจนผู้หญิงปากช้ำได้ขนาดนี้ คงจะเร่าร้อนบนเตียงน่าดู นี่นิดาบอกได้ไหมว่าเธอนอนกับผู้ชายคนนั้นหรือยัง”
“เอ่อ...คือว่า...ไม่นะ ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด”
“แล้วกรรชัยรู้เรื่องนี้หรือเปล่า เธอสวมเขาให้กรรชัยใช่ไหม หรือว่าเลิกกันแล้ว”
และทุกคนก็ยังไม่ยอมหยุด จนญานิดาอับอายจนถึงขีดสุด ร่างงามลุกขึ้นยืน มือบางคว้ากระเป๋าถือขึ้นมากำแน่น ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ประตูห้องอย่างลนลาน
“จะไปไหนน่ะนิดา จะกลับบ้านแล้วเหรอ” เพื่อนคนเดิมที่สันนิษฐานได้อย่างน่ารังเกียจร้องถาม ญานิดาหยุดนิ่งอยู่หน้าประตู กัดฟันตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ
“นิดาปวดหัว ฝากลาพี่หญิงให้ด้วย”
“จะกลับไปทำให้มากกว่าจูบใช่ไหมจ๊ะนิดา”
เพื่อนๆ พากันหัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจ ในขณะที่ญานิดาแสนจะอับอาย มือบางกำลังจะกระชากประตู แต่มันก็เปิดออกเสียก่อน และภาพตรงหน้าก็ทำให้หญิงสาวถึงกับเบิกตาค้างอย่างตกใจสุดขีด
ผู้ชายคนที่เป็นสาเหตุให้หล่อนถูกล้อเลียนยืนอยู่ตรงหน้า เขาสง่างามหล่อเหลาไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ใด
“จะไปไหนล่ะนิดา เวลางานไม่ใช่เหรอ” ลูเซียสไม่ได้เป็นฝ่ายถาม แต่เลขาฯ ของเขาเป็นคนถามขึ้นมาเอง
“นิดาลาค่ะ ปวดหัวนิดหน่อย”
สาวน้อยเม้มปากแน่น พยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้สุดความสามารถ ก่อนจะขยับกายเปิดทางให้คนตัวโตก้าวเข้าไปภายใน และเขาก็ก้าวผ่านหล่อนไปราวกับตัวหล่อนมันคืออากาศธาตุที่เขามองไม่เห็น
หญิงสาวสาวเท้าเร็วๆ มุ่งหน้าไปยังลิฟต์ น้ำตาที่ซ่อนเอาไว้ไหลออกมาด้วยความอดสู หล่อนมันก็แค่ของเล่นที่ลูเซียสอยากจะเอาชนะเท่านั้น
‘คนใจร้าย คนใจดำ คนเอาแต่ใจ ฉันเกลียดคุณที่สุด’
มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง แต่มันก็ไม่สามารถจะหยุดความเสียใจนั่นได้ และม่านน้ำตาก็ทำให้การมองเห็นของหล่อนด้อยประสิทธิภาพลงอย่างน่าตกใจ จนมองไม่เห็นใครที่เดินสวนมาตรงหน้า
“ร้องไห้ทำไมนิดา ใครทำอะไรนิดาเหรอ” เป็นเสียงของกรรชัยนั่นเอง หญิงสาวรีบปาดน้ำตาทิ้ง แล้วฝืนยิ้มออกมา
“ปะ...เปล่าค่ะ นิดาปวดหัวเลยลากลับบ้านน่ะค่ะ”
กรรชัยขมวดคิ้วมองสตรีตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมปวดหัวล่ะ เมื่อเช้าที่ป้ายรถเมล์ก็ยังดีๆ อยู่เลย แล้วนั่น...ทำไมปากบวมแบบนั้น”
เสียงสูงๆ ของผู้ชายตรงหน้าทำให้ญานิดาต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองเอาไว้อย่างมีพิรุธ ก่อนจะปฏิเสธออกไปอย่างไม่สมจริงนัก
“นิดา...เอ่อ คือว่านิดาหกล้ม...”
“หกล้มปากต้องแตกสิ ไม่น่าจะบวมช้ำแบบนี้ คล้ายกับถูกจูบแรงๆ มาเลย”
คำพูดของกรรชัยที่พึมพำออกมาเบาๆ ทำให้หญิงสาวหน้าร้อนผ่าวด้วยความอดสูอย่างรุนแรง เกลียดๆๆ ลูเซียสเหลือเกิน
“นิดาหกล้ม ถ้าพี่ชัยไม่เชื่อก็ตามใจ นิดาขอตัวค่ะ”
ญานิดารีบตัดบท ก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์อย่างรวดเร็ว จนกรรชัยเรียกไม่ทัน จำต้องเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเองในสภาพงุนงง โดยไม่ทันสังเกตว่ามีร่างสูงๆ ของใครคนหนึ่งเดินสวนทางมา
ลูเซียสขบกรามแน่นจนแทบละเอียดเมื่อพบว่าลิฟต์ได้พาญานิดาลงไปชั้นล่างเสียแล้ว ชายหนุ่มสบถออกมาอย่างเดือดดาล หมุนตัวเดินกลับไปยังลิฟต์ส่วนตัวของตนเองที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามอย่างรวดเร็ว
“สั่งให้รปภ.ป้อมหน้าปิดประตูทางออกไว้ทุกทาง”
ชายหนุ่มสั่งรปภ.ที่ยืนทำหน้าที่เปิดปิดลิฟต์ให้กับเขาเสียงห้วนจัด ก่อนจะก้าวหายเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดรออยู่
“ครับท่านประธาน” รปภ.รับคำเสียงนอบน้อม ก่อนจะทำตามคำสั่งของผู้ทรงอำนาจอย่างลูเซียสทันที
“ปิดประตูหน้าทั้งหมด อย่าให้ใครเข้า-ออก รอคำสั่งจากท่านประธาน”