บทที่ 8
เสียงห้าวแต่ทรงอำนาจสุดๆ ของผู้ชายที่หล่อนคงจำได้ไม่มีลืม ดังออกมาจากรถสีดำคันยาวเหยียดที่เป็นรถประจำตำแหน่งของท่านประธานสายการบินเมเนนเดซแอร์เวย์ กระจกตรงห้องผู้โดยสารถูกเลื่อนลงครึ่งบาน และนั่นมันก็ทำให้ญานิดาประสานเข้ากับสายตาคมกล้าที่มืดดำราวกับคืนเดือนดับอย่างจัง รู้สึกเหมือนเนื้อตัวกำลังอยู่ในตู้อบ ร้อนผ่าว เบ่งบาน อึดอัดจนไม่ทราบแน่ชัดว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรกันแน่
ใบหน้างามแดงก่ำขึ้นมาโดยอัตโนมัติ มือเรียวยกขึ้นลูบปากอิ่มที่คลายช้ำแล้วอย่างลืมตัวเมื่อสมองไม่รักดีดันย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนในลิฟต์ จุมพิตที่แทบจะเรียกได้ว่าบ้าคลั่งและประกาศชัยชนะของลูเซียส
“ขึ้นรถ!” เสียงห้วนของเขาดังขึ้นอีก และมันก็ทำให้หญิงสาวได้สติ เมินหน้าหนีพร้อมๆ กับเลือกที่จะปฏิเสธ
“ดิฉัน...ไปเองได้ค่ะ”
รีบก้มหน้า ก้าวเท้าหนี ไม่มีกะจิตกะใจที่จะสนใจแม้กระทั่งเสียงกรี๊ดกร๊าดของแม่สาวๆ ตรงป้ายรถเมล์ที่พากันร้องออกมา เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าที่หล่อเกินคำบรรยายของลูเซียสจากทางกระจกรถที่ถูกลดลงครึ่งหนึ่ง
“อย่าขัดคำสั่งของฉัน”
น้ำเสียงกระด้างทำให้เท้าของญานิดาชะงัก สันหลังเย็นเยือก พยายามที่จะเข้มแข็ง หล่อนไม่จำเป็นต้องกลัวเขานี่ ขนาดกรรชัยซึ่งเป็นคนรักหล่อนยังปฏิเสธได้เลย แล้วทำไมผู้ชายคนนี้หล่อนถึงจะทำไม่ได้ล่ะ
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ทำงาน ท่านประธานสั่งดิฉันไม่ได้หรอกค่ะ”
น้ำเสียงที่ปั้นจนมันราบเรียบดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนที่หญิงสาวจะรีบก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ยังไม่ทันจะครบสามก้าว ข้อมือบางก็ถูกกระชากแรงๆ ด้วยอุ้งมือใหญ่ที่ร้อนผ่าว ร่างอรชรกระเด็นเข้าไปปะทะแผ่นอกกว้างที่ซ่อนอยู่ในเสื้อเชิ้ตราคาแพงอย่างแรง
“บอกแล้วไงว่าอย่าขัดคำสั่งของฉัน”
น้ำเสียงเดือดดาลดังขึ้นเหนือศีรษะ ญานิดาช้อนตาขึ้นมองด้วยความหวาดกลัว และก็เหมือนกำลังจมดิ่งลงก้นทะเลเมื่อได้สบกับนัยน์ตาสีดำแสนลึกลับของผู้ชายตรงหน้า
“แต่ว่า...”
“หุบปาก และขึ้นรถซะ ก่อนที่ฉันจะจับเธอยัดใส่รถเสียเอง”
คำพูดแสนกระด้างฟังแล้วขนลุกซู่ดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่แสนสง่างามของลูเซียสที่เดินตรงไปยังรถลีมูซีนซึ่งจอดรออยู่
“และอย่าคิดว่าฉันไม่กล้า เพราะฉันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ หากสิ่งนั้นมันคือสิ่งที่ฉันต้องการ”
และเรือนกายสูงสง่าก็หายเข้าไปในรถคันหรูทันที เมื่อผู้ชายใส่สูทสีดำที่คงจะเป็นบอดี้การ์ดประจำตัวของเขาเปิดประตูให้
ญานิดาเม้มปากแน่น มองผู้ชายที่นั่งหลังตรง คอตั้ง ราวกับราชสีห์อยู่ในรถด้วยความขัดใจ แต่ก็ทำอะไรมากไปกว่าการเดินขึ้นรถไปนั่งข้างๆ เขาไม่ได้ แม้ระหว่างทางจะได้ยินคำสบประมาทจากแม่สาวๆ ที่หลงใหลได้ปลื้มลูเซียสไม่ขาดสายก็ตาม
“ผู้ชายหล่อราวกับเทพบุตร ทำไมแม่นี่ยังกับขอทาน”
“ยายนี่คงทำของใส่แน่เลย ถึงได้ผู้ชายหล่อๆ แบบนี้มาเป็นแฟน”
“ดูสิ ไม่สวยแล้วยังเล่นตัวอีก เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะรีบกระโดดขึ้นรถเลย”
และนี่แหละคือคำพูดของแม่ผู้หญิงที่ป้ายรถเมล์พวกนั้น พวกที่ในดวงตาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
“ท่านประธานไม่ควรทำแบบนี้”
เมื่อขึ้นมานั่งข้างๆ หญิงสาวก็เริ่มชวนทะเลาะทันที แม้กลิ่นไอแห่งนักล่าของผู้ชายตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆ จะชวนหลงใหลมากแค่ไหนก็ตาม
“ไม่มีอะไรที่ฉันไม่ควรจะทำ หากว่าฉันต้องการ”
‘คนเผด็จการ!’
ญานิดาร้องด่าลูเซียสอยู่ภายในใจ ก่อนจะรีบขยับตัวไปจนร่างเล็กๆ ของตัวเองแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกับบานประตู
แต่เหตุผลที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่เพราะกลัวว่าผู้ชายสุดหล่อคนนี้จะล่วงเกินอะไรหรอกนะ แต่หล่อนกลัวใจตัวเองมากกว่า รสจูบร้อนๆ ของเขายังติดตรึงอยู่ในสมอง แค่นั่งใกล้ๆ ได้กลิ่นโคโลญอ่อนๆ จากกายกำยำ แค่นี้หัวใจก็สะท้านสะเทือน ทรวงอกอวบอิ่มที่ซ่อนอยู่ในบราเซียร์ลูกไม้สีขาวเก่าๆ เบ่งบานแปลกประหลาด และมันก็ทำให้หล่อนอึดอัดในช่องท้องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกคล้ายๆ กับมีผีเสื้อเป็นร้อยตัวบินอยู่ในท้อง วูบวาบ หวามไหวขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์
ลูเซียสชำเลืองมองใบหน้างดงามหมดจด ไร้ซึ่งการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางใดๆ ที่ตอนนี้กำลังนั่งก้มหน้างุดอย่างพึงพอใจ เขาจำสายตาตื่นตระหนกและแก้มสาวที่แดงก่ำของเจ้าหล่อนยามที่สบตากับเขาได้เป็นอย่างดี
ญานิดายังไม่ลืมเรื่องจุมพิตในลิฟต์เมื่อคืนนี้ เหมือนกับเขาที่ยังไม่อาจจะลบภาพบ้าๆ นั่นออกจากหัวได้เลยแม้แต่วินาทีเดียวเช่นกัน และที่น่าเดือดดาลมากกว่านั้นก็คือ เขาอยากจะทำมันใหม่ อยากจะจูบปากอิ่มสีสวยที่หวานจับใจของเจ้าหล่อนอีกครั้งในรถคันนี้
บ้าชะมัด นี่เขาคงต้องบ้าไปแล้วอย่างที่ดิมิเทรียสบอกแน่ๆ เพราะไม่งั้นทำไมถึงได้รู้สึกอยากจะลากแม่นี่ขึ้นเตียงทุกลมหายใจเข้าออก แถมยิ่งอยู่ใกล้ ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือแบบนี้ ร่างกายก็ยิ่งตื่นเร้าอย่างรุนแรง
ตอนนี้เหมือนกับว่าเขาไม่ใช่ลูเซียส เมเนนเดซ ผู้ชายที่แสวงหาความสัมพันธ์ชั่วข้ามขืน ผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเป็นดอกไม้ริมทาง แต่กลายเป็นผู้ชายอีกคนหนึ่ง ผู้ชายคนที่กำลังหัวใจเต้นแรงเพราะกำลังมีความรัก
“ทำไมไม่ขึ้นรถไปกับคนรักของเธอล่ะ”
จากที่นั่งก้มหน้ามองมือของตัวเองอยู่ก็ต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่นั่งหลังตรงอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างๆ ด้วยความตื่นตระหนก
“ท่านประธานทราบหรือคะ”
รอยยิ้มเหยียดๆ แต้มมุมปากบางเฉียบของลูเซียส ก่อนจะละสายตาจากหนังสือพิมพ์ในมือมาจ้องมองใบหน้าสวยซึ้งของสตรีข้างกายด้วยสายตาอำมหิต
“ฉันรู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้”
“แต่ว่าดิฉันไม่คิดว่า...เรื่องของดิฉันท่านประธานควรจะรู้ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว”
โต้กลับไปเสียงสั่นเทา ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือว่าหัวใจ ก็ไหวสะท้านราวกับกำลังยืนอยู่บนแผ่นดินที่ไหวสักแปดริกเตอร์
“ทำไมฉันจะรู้เรื่องของผู้หญิงที่ฉันจูบในลิฟต์ไม่ได้ล่ะ”
คำตอบนุ่มๆ แต่เชือดนิ่มๆ ของลูเซียสทำให้ญานิดาแก้มแดงก่ำ ร่างกายชาหนึบไร้เรี่ยวแรง ขัดขืนไม่ได้แม้กระทั่งถูกดึงขึ้นไปนั่งซ้อนตักแกร่งของผู้ชายตัวโต
“และฉันก็อยากจะทบทวนมันอีกครั้ง”
มือใหญ่อบอุ่นจับข้อเท้าของสาวน้อยให้คร่อมอยู่ข้างกาย ขณะก้มหน้าลงไปหาแม่สาวน้อยคนสวยที่ตอนนี้กำลังเบิกตากว้างอย่างตกใจตรงหน้า กลีบปากของเจ้าหล่อนเป็นสีชมพูระเรื่อ แย้มยิ้มออกจากกันราวกับรอคอยจุมพิตดุดันจากเขา
“เอ่อ...ไม่นะ”
พยายามขัดขืน เพราะตอนนี้ตัวเองอยู่ในสภาพที่น่าละอายเหลือเกิน นั่งคร่อมอยู่บนตักของลูเซียส ทุกสัดส่วนในเรือนกายแนบชิดสนิทสนมกับคนตัวโตจนแทบจะหลอมละลายกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยเฉพาะอกสาวที่บี้แบนไปกับแผงอกกว้างที่เต็มไปด้วยลอนกล้ามเนื้อหนั่นแน่น